บทที่ 510 พิธีมอบรางวัลกำลังจะเริ่มขึ้น

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ

บทที่ 510 พิธีมอบรางวัลกำลังจะเริ่มขึ้น

บทที่ 510 พิธีมอบรางวัลกำลังจะเริ่มขึ้น

คุณย่าซูอดชมฝีมืออันประณีตของเถาฮวาไม่ได้

“ฝีมือแบบนี้ ในอนาคตได้เป็นช่างตัดเสื้อที่ดีแน่นอน” แกดีใจที่เห็นหลานชายดูดีมากในชุดใหม่

“คุณย่า ตอนนี้ป้าเถาฮวาก็เป็นช่างตัดเสื้อที่ดีอยู่นะคะ แต่ในอนาคตอาจจะไม่ได้เป็นปรมาจารย์ทางด้านเสื้อผ้าแล้วก็ได้!”

ทีแรกเธอคิดจะว่า ป้าเถาฮวาอาจจะเป็นพวกดีไซเนอร์หรืออะไรสักอย่าง แต่คิด ๆ ดูก็ไม่น่าเป็นไปได้

แกเก่งเฉพาะเรื่องตัดเย็บเสื้อผ้า แต่ด้านการออกแบบพูดตามตรงยังไม่ดีเท่าที่ควร

โชคดีที่แกมีเซนส์อยู่บ้าง ถึงจะออกแบบเองไม่ได้แต่ก็ยังสามารถบอกได้ว่าอันไหนสวย อันไหนไม่สวย บางทีก็ดูรอบเดียวแล้วทำเสื้อผ้าที่เหมาะ ๆ ออกมาได้

เถาฮวายิ้ม “เด็กคนนี้จะเป็นหรือไม่เป็น ป้าก็ยังเป็นช่างตัดเสื้ออยู่ดีนี่นา แล้วจะยังเป็นปรมาจารย์อะไรอีกล่ะ?”

หลังจากสนทนากันไปสักพัก พวกเราก็เดินทางไปยังสถานที่มอบรางวัลภายใต้การนำของอวี่รุ่ยหยวน

สถานที่มอบรางวัลอยู่ที่หอประชุมของคณะวิจิตรศิลป์ อวี่รุ่ยหยวนคุ้นเคยกับที่แห่งนี้ดีจึงเดินทางมาถึงอย่างรวดเร็ว

ยามมองซื่อเลี่ยงที่เหมือนกับศิษย์ของเธอ มุมปากหญิงชรายกโค้ง

คนอื่น ๆ ที่มาถึงคณะวิจิตรศิลป์ก็แปลกใจที่บรรยากาศไม่ค่อยเหมือนมหาวิทยาลัยอื่น ๆ พอสมควร

แต่ทุกคนก็แสร้งเป็นเมินเฉย ทำให้คนอื่น ๆ มองไม่ออกว่าแท้จริงแล้วพวกเขาประหม่ามากแค่ไหน

อวี่รุ่ยหยวนไม่ต้องถามทางด้วยซ้ำ ก็ตรงมาถึงหอประชุมที่มอบรางวัลได้

เสี่ยวเถียนคิดว่าย่าบุญธรรมต้องเกี่ยวข้องกับคณะแห่งนี้แน่นอน

ในหอประชุมมีโต๊ะ เก้าอี้ และม้านั่งตั้งเรียงราย

เพราะไม่มีตั๋วสำหรับที่นั่ง ยกเว้นสองสามแถวแรกที่มีชื่อติดซึ่งไม่สามารถนั่งตามใจอยากได้ ส่วนพื้นที่อื่น ๆ ก็มีไว้ให้ทุกคนได้ทำตัวตามสบาย

ส่วนเราจะนั่งกันตรงไหน คนที่มาก่อนสามารถเลือกได้ตามใจเลย ส่วนคนที่มาทีหลังก็ไม่มีทางเลือก นอกจากนั่งที่ที่ยังเหลืออยู่

อวี่รุ่ยหยวนและทุกคนมาถึงแต่เช้า เพราะงั้นเธอจึงเลือกตรงกลางที่ตำแหน่งค่อนข้างดี และสามารถมองเห็นสถานการณ์บนเวทีได้อย่างชัดเจน

เสี่ยวเถียนเสียใจที่ไม่มีกล้อง

ถ้าเอามาสักตัวก็คงถ่ายฉากสำคัญได้แล้ว

“เสี่ยวเถียน ทำไมหน้าย่นเป็นซาลาเปาแบบนั้น?” หญิงชราถามหลานสาว

พี่ชายได้รับรางวัลเป็นเรื่องดีแท้ ๆ แล้วทำไมน้องสาวถึงไม่มีความสุขล่ะ?

“หนูกำลังคิดว่า ถ้าเรามีกล้องก็คงจะถ่ายภาพพี่รองตอนรับรางวัลเก็บไว้ได้ค่ะ!”

อวี่รุ่ยหยวนเม้มปากก่อนหัวเราะออกมา

เธอตบมือหลานสาวเบา ๆ “ไม่เป็นไรหรอก ยังไงก็มีรูปอยู่แล้วแหละ!”

ล้อกันเล่นแล้ว คนได้รางวัลที่หนึ่งมีกี่คนกัน?

ถ้าไม่มีรูปคนได้อันดับหนึ่ง คนอื่น ๆ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย

เสี่ยวเถียนไม่เข้าใจความหมายที่ย่าบุญธรรมจะสื่อ

“งานใหญ่แบบนี้ต้องมีนักข่าวมาแน่นอน แล้วอันดับที่ซื่อเลี่ยงได้ก็ดีด้วย นักข่าวต้องถ่ายรูปอยู่แล้ว”

เสี่ยวเถียนได้ยินคำตอบก็เข้าใจ แบบนี้นี่เอง นักข่าวน่าจะอยู่ในงานเยอะแน่เลย

เพราะยุคนี้ไม่ใช่ยุคที่ใครต่อใครจะมีกล้อง มันเป็นของฟุ่มเฟือยน่ะ

“ไว้หาทางติดต่อกับพวกนักข่าวก็แล้วกัน จะได้ขอรูปมา!”

ตู้ถงเหอปลอบใจด้วยรอยยิ้ม

เสี่ยวเถียนคิด ก็จริงอย่างที่ว่า กล้องในยุคนี้ใช้งานยากอย่างน้อยเธอก็ไม่รู้คนนึงแล้วแหละ

ขอจากพวกเขามาเลยตรง ๆ ดีที่สุด

เสี่ยวเหมยได้ยินคำพูดน้อง ก็จำได้ว่าฮั่วซือเหนียนเอากล้องมาจากต่างประเทศด้วย

ถ้ารู้ว่าเสี่ยวเถียนคิดแบบนี้ก็น่าจะเชิญเขามาด้วยกัน

ทันใดนั้นใบหน้าหญิงสาวพลันเปลี่ยนเป็นสีแดง

โชคดีที่รอบในพื้นที่ไม่ค่อยสว่างเท่าไร แถมคนอื่น ๆ ยังมองไปรอบ ๆ อีกจึงไม่มีใครสนใจเธอ

เสี่ยวเหมยลูบอกกระทั่งสงบลง

พิธีมอบรางวัลกำหนดไว้ในช่วงบ่ายครึ่ง พวกเสี่ยวเถียนและคนอื่น ๆ มาถึงแต่เนิ่น ๆเดิมทีก็คิดว่าอาจจะต้องรออีกสักพักคนอื่น ๆ ถึงจะมา

แต่ใครจะรู้เล่าว่า ในยุคที่ไม่ค่อยมีกิจกรรมทำนองนี้เท่าไรกลับมีคนมาถึงก่อนเวลาเพียบ

รออยู่พักเดียว หอประชุมขนาดใหญ่ก็คลาคล่ำไปด้วยผู้คน

พวกนักเรียนบางส่วนที่มาช้า จนไม่เหลือที่นั่งจำต้องไปยืนแออัดอยู่ด้านหลัง

“โชคดีนะที่ย่าเร่งให้เรามาแต่เช้า!” เสี่ยวเถียนมีความสุขมาก

“หลายปีที่ผ่านมามันไม่มีพิธีใหญ่ ๆ แบบนี้เลย คนส่วนใหญ่เลยคิดเหมือนเรา ๆ ถ้าไม่มาแต่เช้าคนจะเยอะเอาได้”

มีคนเฒ่าคนแก่ในบ้านเหมือนมีสมบัติเลย ย่าบุญธรรมคิดถูกจริง ๆ ด้วย

ขณะที่หลายคนกำลังสนทนาพาคุย บรรยากาศรอบด้านคึกคักมากจนไม่ได้ยินเสียงกันและกันเลย

เวลาบ่ายโมงครึ่ง ถึงเวลาของพิธีมอบรางวัล

พีธีกรชายหญิงเป็นนักศึกษาจากคณะวิจิตรศิลป์

แต่คนทั้งคู่ไม่ได้สวมชุดสูทเหมือนพิธีมอบรางวัลอย่างยุคหลัง ๆ

นักศึกษาชายสวมเสื้อจงซานชวนสีน้ำเงิน มันดูเชยไปหน่อยสำหรับเสี่ยวเถียน แต่ในยุคนี้เสื้อแบบนั้นเป็นที่นิยมมาก

ส่วนนักศึกษาหญิงสวมชุดกระโปรงแขนยาวสีขาวเอวแคบ สวยมาก

จากเสียงถกเถียงของเด็กคนอื่น ๆ ทำให้เสี่ยวเถียนได้รู้ว่า พิธีกรทั้งสองเป็นมือสมัครเล่น

พวกเขาเป็นนักศึกษาจากคณะวิจิตรศิลป์

เสี่ยวเถียนมองด้วยความอยากรู้อยากเห็นอยู่พักหนึ่ง ทั้งสองมีภาพลักษณ์และบุคลิกที่ดี คารมคมคายก็เยี่ยม

ภายใต้การจัดการของสองพิธีกรผู้น่าสนใจ บรรยากาศในงานจึงเป็นไปอย่างคึกคัก

เสี่ยวเถียนเฝ้ามองอย่างสนอกสนใจ ไม่รู้เลยว่าพวกเขาจะเก่งขนาดนี้

ไม่รู้ว่าฝีมือด้านวิจิตรศิลป์เป็นยังไง ลองพิจารณาเปลี่ยนมาเป็นพิธีกรดูไหม

เพราะยังไงอีกหลายปีให้หลัง รายการทีวีจะพัฒนาอย่างรวดเร็ว อาชีพพิธีกรจะเป็นที่นิยมมาก

แต่มันก็แค่ความคิดที่แวบเข้ามาในหัว เสี่ยวเถียนจึงไม่ได้สนใจมากนักเพราะตอนนี้มัวแต่จดจ่ออยู่บนเวที รอดูฉากพี่รองสุดหล่ออยู่

อันที่จริงพิธีมอบรางวัลก็ไม่ได้แปลกใหม่อะไร โดยรวมแล้วก็เหมือน ๆ กันหมด

โดยเราจะเริ่มจากรางวัลชมเชย รางวัลรองชนะเลิศอันดับที่สอง รางวัลรองชนะเลิศอันดับที่หนึ่ง และรางวัลชนะเลิศอันดับหนึ่ง

ซื่อเลี่ยงได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับที่สอง เธอมองพี่รองที่ยืนอยู่บนเวที ก่อนจะตะโกนลั่นอย่างมีความสุขจนเสียงแหบแห้ง

เด็กคนอื่น ๆ รวมถึงเสี่ยวกังก็ตะโกนอย่างตื่นเต้นเช่นกัน ในหอประชุมแห่งนี้มีพวกเขาที่เสียงดังที่สุด

คนอื่น ๆ มองมาด้วยสายตาที่หลากหลาย

แต่เด็ก ๆ เคยชินแล้ว พวกเขาไม่สนใจสายตาพวกนั้นด้วยซ้ำ

พวกเรามีความสุขไม่ได้หรือไง?

อันที่จริงก็มีคนไม่น้อยที่คิดว่าคนพวกนี้ไร้ประสบการณ์

แค่รางวัลรองชนะเลิศอันดับที่สองเอง ต้องตื่นเต้นขนาดนั้นเลยหรือ?

รู้ไหมว่างานแข่งขันวาดภาพในครั้งนี้มีทั้งหมดสามการแข่งขันนะ แบ่งเป็นวาดภาพพู่กันจีน วาดภาพแบบประณีต และการเขียนพู่กันจีน

แล้วแต่ละการแข่งขันก็แบ่งเป็นอย่างละสามรางวัล รวมเป็นเก้า อันที่จริงก็ไม่ได้สำคัญขนาดนั้น

แต่คนพวกนี้รู้ที่ไหนล่ะว่าที่คนบ้านซูส่งเสียงเชียร์ขนาดนี้ เพราะรู้อยู่แก่ใจว่ารางวัลรองชนะเลิศอันดับที่สองเป็นแค่การอุ่นเครื่อง!

หลังจากที่ประกาศผู้ชนะอันดับสาม เขาก็ลงจากเวที จากนั้นก็ได้ยินเสียงพิธีกรหัวเราะและประกาศต่อว่า ต่อไปคือพิธีมอบรางวัลรองชนะเลิศอันดับที่หนึ่ง

ตอนนั้นเองที่เสี่ยวเถียนได้ยินเสียงย่าร้องเบา ๆ