ความหวังงั้นหรือ
ทุกคนมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ไม้รู้ว่าที่อวี้จิ่นพูดหมายความว่าอย่างไร
จ้าวซื่อหลางกระแอมเสียงออกมา เอ่ยถาม “ท่านอ๋องจะให้ความหวังชาวบ้านพวกนั้นอย่างไรหรือ”
“ข้าขอถามใต้เท้าจ้าวก่อน เวลานี้มีชาวบ้านรวมตัวกันอยู่ที่ทางฝั่งตะวันตกเท่าใด”
จ้าวซื่อหลางรู้จำนวนคนอยู่ในใจอย่างชัดเจน จึงรีบเอ่ยขึ้น “การนับสิ้นสุดลงเมื่อวาน มีประมาณสองหมื่นแปดพันกว่าคน”
“แล้วทางฝั่งตะวันออกล่ะ”
จ้าวซื่อหลางทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก “จำนวนคนของฝั่งตะวันออกไม่อาจบันทึกเป็นจำนวนได้ เนื่องจากมีคนล้มตายเพราะโรคระบาด…”
ขุนนางท้องถิ่นสองสามท่านยกมือขึ้นมาเช็ดหางตาอยู่เงียบๆ
อำเภอเฉียนเหอถือว่าเป็นเมืองใหญ่ที่มีประชากรมากกว่าห้าหมื่นคน ทว่าเนื่องจากเกิดแผ่นดินไหวและโรคระบาดทำให้จำนวนประชากรลดลงไปครึ่งหนึ่ง
คนเหล่านี้ล้วนเป็นคนที่มีชีวิตอยู่จริงทั้งนั้น
“ข้าเคยถามหมอหลวงแล้ว ระยะฟักตัวของโรคระบาดจะอยู่ที่ประมาณครึ่งเดือน ซึ่งนับเป็นเวลาสิบกว่าวันแล้วที่พบว่ามีโรคระบาดเกิดครั้งแรกจนถึงตอนนี้ ผู้ที่มาฝั่งตะวันออกช่วงแรกก็เพิ่งมาได้เพียงไม่กี่วัน เหตุใดถึงไม่คัดเลือกคนสักร้อยคนไปตั้งค่ายอยู่นอกเมืองชั่วคราวเพื่อบำรุงขวัญชาวบ้าน หลังจากผ่านระยะฟักตัวไปได้อย่างปลอดภัย ก็สามารถปล่อยชาวบ้านฝั่งตะวันตกออกจากเมืองไปได้แล้ว”
เมื่อผ่านระยะฟักตัวแล้วไม่มีอาการใดกำเริบก็ปล่อยออกไปนอกเมืองได้ พวกขุนนางต่างก็วางแผนว่าจะทำเช่นนี้ เพียงแต่ว่าเพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่มีอะไรผิดพลาด พวกเขาจึงไม่ได้เตรียมว่าจะปล่อยใครออกไปก่อน ถึงได้ทำให้สถานการณ์ระหว่างผุ้ประสบภัยกับทางราชสำนักยิ่งตึงเครียดเข้าไปอีก
ถึงแม้จ้าวซื่อหลางจะคิดว่ามันไม่ง่ายเลยที่องค์ชายท่านหนึ่งจะคิดทำเพื่อชาวบ้าน แต่ก็คิดว่าข้อเสนอของอวี้จิ่นมันไร้เดียงสาเล็กน้อย จึงส่ายหน้าพูดขึ้น “เวลานี้ฝั่งตะวันตกมีประชากรราวสามหมื่นคน ท่านอ๋องคิดแล้วหรือไม่ว่าจะคัดเลือกคนออกมาร้อยคนได้อย่างไร แล้วในร้อยคนเลือกอีกหนึ่ง ควรจะเลือกคนไหน ไม่เลือกคนไหนดี ผู้คนไม่ได้กังวลหรอกว่าตัวเองจะเป็นอย่างไร แต่กังวลว่าจะไม่เท่าเทียมกัน ถึงตอนนั้นชาวบ้านที่ไม่ถูกเลือกจะรู้สึกแค้นใจเอา ซึ่งบางทีสถานการณ์อาจจะวุ่นวายมากกว่าตอนนี้เสียอีก”
“เหตุผลที่ทุกคนกังวลว่าจะไม่เท่าเทียมกันนั้นไม่ผิดเลย เช่นนั้นการเลือกจากคนทั้งหมดจึงไม่อาจทำให้ทุกคนเชื่อถือได้” อวี้จิ่นเอ่ยพูดท่าทีเรียบเฉย
“ท่านอ๋องหมายความว่า…”
อวี้จิ่นยิ้มมองทุกคน แล้วพูดออกมา “จับฉลาก”
จับฉลากงั้นรึ
ทุกคนได้แต่มองหน้ากันไปมาด้วยความแปลกใจ ไม่รู้จะทำอย่างไรดี
เรื่องจริงจังขนาดนี้จะใช้วิธีจับฉลากงั้นหรือ
อวี้จิ่นมองทุกคนด้วยสีหน้าเฉยชา ยิ้มเยาะอยู่ในใจ
จับฉลากมันทำไมกัน เขาก็จับฉลากถึงได้มาอยู่นี่!
ผู้ใดกล้าพูดจามั่วซั่ว เขาจะพูดเรื่องที่เสด็จทำออกมาตรงๆ ดูสิว่าพวกเขายังจะกล้าพูดอะไรออกมาอีกหรือไม่
โชคดีที่ถึงแม้ว่าพวกขุนนางจะรู้สึกว่าการจับสลากมันดูไม่ค่อยจริงจังนัก แต่พอคิดดูอย่างละเอียด กลับรู้สึกว่ามันน่าจะดีกว่าวิธีอื่น
การจับฉลากนั้นถูกตัดสินโดยโชคชะตา เมื่อปล่อยให้ฟ้าลิขิตโชคชะตา ผู้ที่ไม่ถูกเลือกก็ไม่อาจตำหนิใครได้
แม้จะรู้สึกว่าวิธีนี้น่าจะลงมือทำได้ แต่ก็ยังมีรายละเอียดอีกมากมายที่ต้องร่วมหารือกันก่อน
มีขุนนางท้องถิ่นท่านหนึ่งพูดออกมาอย่างอดไม่ได้ “หากจับฉลาก ควรจะจับอย่างไร ให้คนนับหมื่นต่อแถวจับฉลากเรียงตามลำดับ มันยุติธรรมแล้วหรือ อีกอย่าง ถึงแม้ว่าคนนับหมื่นคนนี้ล้วนรวมตัวกันอยู่ที่ฝั่งตะวันตก แต่มันมีการแบ่งพื้นที่ ปกติจะเคร่งครัดพวกเขาเรื่องไม่ให้เพ่นพ่านไปไหนมาไหน เพื่อเลี่ยงการสัมผัสกับผู้ที่ติดเชื้อที่อาจให้ก่อให้เกิดการแพร่กระจายเป็นวงกว้าง หากให้พวกเขามารวมตัวอยู่ด้วยกัน ผู้ติดเชื้อก็อาจเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว…”
อวี้จิ่นพยักหน้า เห็นด้วยกับสิ่งที่ขุนนางพูด
แน่นอนว่าเขาเห็นด้วยกับประโยคหลัง
การจับฉลากนั้นมีจุดหนึ่งที่มหัศจรรย์ ไม่ว่าจับก่อนหรือหลัง อันที่จริงความเป็นไปได้ล้วนเท่ากัน ทว่าผู้คนมักจะคิดว่าหากได้จับก่อนจะมีโอกาสมากกว่า ซึ่งเขาไม่ได้เตรียมจะพูดให้มากความเพื่ออธิบายให้คนพวกนี้ฟัง ส่วนที่ขุนนางบอกว่าหากคนนับหมื่นคนมารวมตัวกันอาจทำให้ผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นนั้นมันน่าจะเป็นไปได้จริงๆ
“การรวมตัวกันเพื่อจับฉลากนั้นไม่เหมาะสมจริงๆ ใต้เท้าจ้าว ผู้คนที่รวมตัวกันอยู่ฝั่งตะวันตกแบ่งอออกเป็นอีกกี่เขต”
“ห้าเขต ทุกเขตจะมีประชากรห้าถึงหกพันคน และห้าถึงหกพันคนนี้ก็แบ่งออกเป็นแต่ละพื้นที่ นอกจากแต่ละพื้นที่แล้วก็แบ่งเป็นกลุ่ม เพื่อให้สะดวกต่อการจัดการ”
“หนึ่งกลุ่มมีกี่คน”
จ้าวซื่อหลางมองไปยังนายอำเภอเฉียนเหอ
นายอำเภอเฉียนเหอมองไปที่ลูกน้อง
ลูกน้องจึงรีบเอ่ยขึ้น “ในหนึ่งพื้นที่จะมีหกหน่วย ทุกหน่วยจะแบ่งเป็นสิบกลุ่ม แต่ละกลุ่มจะมีประชากรราวๆ หนึ่งร้อยคน”
อวี้จิ่นตั้งใจฟัง เปลี่ยนทัศนคติต่อเจ้าหน้าที่เหล่านี้ไปโดยไม่รู้ตัว
คนที่ได้ลงมือทำจริงๆ มีประสบการณ์มากกว่าคนนอกอย่างเขา
เดิมผู้ประสบภัยนับหมื่นที่ยุ่งเหยิง เมื่อแบ่งออกเป็นเช่นนี้ ก็จะสามารถจัดการดูแลได้เหมือนทหารยาม
เพียงแต่ว่าชาวบ้านที่อารมณ์เดือดมารวมตัวกันนั้นมันจัดการยากเสียยิ่งกว่าทหารอีก อีกทั้งพลทหารที่มาสงเคราะห์ผู้ประสบภัยจำนวนมากก็มีหน้าที่ที่ถูกสั่งให้ไปทำ จึงมีกำลังคนไม่เพียงพอในการจัดการผู้ประสบภัย ถึงได้เกิดเหตุการจลาจลมากมาย
อวี้จิ่นเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วยิ้มพูดขึ้น “ใต้เท้าทุกท่านรอบคอบเช่นนี้ ข้าเลื่อมใสยิ่งนัก”
ทุกคนประหลาดใจที่ได้รับคำชม ต่างทยอยพูดขึ้น “ท่านอ๋องชมเกินไปแล้ว”
ต่างรู้สึกดีต่ออวี้จิ่นขึ้นมาในใจทันที
ท่านอ๋องที่สง่าผ่าเผยเห็นถึงความพยายามของพวกเขา นับว่าน่าปลื้มใจ
“ในเมื่อแบ่งได้อย่างละเอียดแล้วงั้นก็ดีเลย ให้แต่ละกลุ่มใช้วิธีจับฉลากในการคัดเลือกคนออกมาหนึ่งคน ทั้งเท่าเทียม ยุติธรรม ซื่อสัตย์และน่าเชื่อถือ ไม่มีผู้ใดว่าอะไรได้”
จ้าวซื่อหลางยื่นนิ้วออกมานับ “เลือกหนึ่งคนออกมาจากทุกกลุ่ม รวมทุกพื้นที่ก็จะได้หกสิบคน ห้าเขตก็ได้สามร้อยคนพอดี…”
ทุกคนต่างมองหน้ากันไปมา
คัดเลือกสามร้อยคนออกจากเมือง ดูเหมือนน่าจะทำได้
“หลังจากทั้งสามร้อยคนออกไปจากเมืองก็ให้ไปรวมกันอยู่ข้างนอก โดยมีทางราชสำนักคอยดูแลรับผิดชอบการกินอยู่ของคนพวกนี้คงไม่มีปัญหาอะไรหรอก”
เมื่อรู้ว่าเจ้าหน้าที่ละขุนนางพวกนี้ไม่ใช่พวกที่เอาแต่กินแต่ดื่มทำอะไรไม่เป็น อวี้จิ่นก็พูดจาสุภาพขึ้นมากกว่าเดิม
เอาใจเขามาใส่ใจเรา ทุกคนรับรู้ได้ถึงความสุภาพของเขา ความรู้สึกอันดีก็ยิ่งเพิ่มขึ้น
เยี่ยนอ๋องเก่งกว่าองค์รัชทายาทเยอะเลย…
จ้าวซื่อหลางคิดไตร่ตรองพลางพูดขึ้น “ดูแลคนสามร้อยคนนั้นไม่มีปัญหา”
อวี้จิ่นยิ้ม “ทั้งสามร้อยคนนี้เท่ากับเป็นความหวังของชาวบ้านในเมือง เมื่อมีความหวัง พวกเขาจะสามารถทนรอต่อไปได้ ไม่ใช่เข้ามาปะทะไม่หยุด”
ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วยอย่างไม่รู้ตัว นับว่าเห็นด้วยกับข้อเสนอของอวี้จิ่น
“ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ข้าอยากจะเตือนทุกท่าน”
“ท่านอ๋องพูดมาได้เลยพ่ะย่ะค่ะ” ทุกคนเอ่ยพูดอย่างพร้อมเพรียงกัน
“บริเวณระหว่างฝั่งตะวันตกกับตะวันออกจะต้องมีการบังคับใช้การปิดล้อมที่หนาแน่น วันนี้ครอบครัวของสตรีผู้นั้นน่าจะมาจากฝั่งตะวันออก ไม่ได้ผ่านการตรวจจากหมอก็มาอยู่ปะปนกับชาวบ้านฝั่งตะวันตก ถ้าหากว่ามีผู้ป่วย ผลลัพธ์ที่ตามมานั้นอาจจะแย่ยิ่งกว่าที่คิดไว้”
จ้าวซื่อหลางยิ้มเจื่อน “ตอนนี้กำลังคนมีไม่มาก อาจมีผู้ที่หนีรอดไปได้…”
อวี้จิ่นเงียบไปครู่หนึ่ง
เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ผิดพลาด เขาทำได้แค่พยายามเตือนให้ระวังอย่างเคร่งครัด
“ทำตามข้อเสนอของท่านอ๋อง ปลอบขวัญชาวบ้านเสร็จค่อยว่ากัน”
รอจนถึงช่วงบ่าย อวี้จิ่นกับจ้าวซื่อหลางและพรรคพวกก็ปรากฏตัวขึ้นมาที่กำแพงอย่างตรงเวลา
ที่หน้าประตูเมืองมีชาวบ้านหลั่งไหลกันมาเพิ่มมากขึ้น พร้อมกับส่งสายตาเฝ้าปรารถนามายังชายหนุ่มที่ยืนอยู่บนกำแพง
เมื่ออวี้จิ่นโบกมือ สถานการณ์ที่ยุ่งเหยิงโหวกเหวกโวยวายก็เงียบกริบ
หลังจากฟังอวี้จิ่นจบว่ามีการตัดสินใจใช้การจับฉลากเป็นตัววัดว่าผู้ใดจะได้ออกไป เหตุการณ์ก็วุ่นวายขึ้นมา
อวี้จิ่นยกมือขึ้นอีกครั้ง รอให้ทุกอย่างสงบลง จึงเอ่ยขึ้น “ข้านั้นโง่เขลา นี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดที่ข้าคิดได้ ถ้าหากพวกเจ้ายังไม่พอใจ ก็ขอพวกเจ้าได้โปรดอย่างเพิ่งรีบร้อน รอพวกใต้เท้าปรึกษาหารือกันเสร็จแล้วหาวิธีที่ดีกว่านี้ออกมา”
เมื่อชาวบ้านได้ยินเช่นนี้ต่างก็ร้อนใจขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว
รอขุนนางพวกนั้นหาวิธีที่ดีงั้นรึ นี่มันเหมือนรอแม่หมูปีนต้นไม้ได้ชัดๆ!
“พวกเรายอม!” ผู้คนทยอยตะโกนกันขึ้นมา