ไท่จื่อแทบจะทนไม่ไหวแล้ว “น้องเจ็ดจะรออะไรเล่า รีบไปกันเถอะ”
ความครึกครื้นหรือสาวงามอะไรกัน ความปลอดภัยต่างหากที่สำคัญที่สุด
เขาเป็นไท่จื่อ รอกลับไปที่เมืองหลวงอยากได้อะไรก็มีประเคนให้หมด ไม่ว่าสุนัขของเจ้าเจ็ดจะสามารถล่วงรู้อันตรายได้จริงหรือไม่ ในเมื่อพูดออกมาแล้ว เขาก็ไม่อยากจะเสี่ยงอันตรายใดๆ ทั้งสิ้น
ยังคงยืนยันคำเดิม ถ้าหากว่าเขาเป็นอะไรไปงั้นไอ้พวกสวะทั้งหลายก็ได้ใจแย่สิ
จ้าวซื่อหลางที่เป็นผู้นำของทุกคนมองหน้ากันไปมา
ต้องหนีไปเพราะสุนัขตัวเดียวจริงหรือ คิดดูมันช่างไร้สาระสิ้นดี
ไท่จื่อเริ่มรู้สึกไม่พอใจแล้ว จึงทำหน้าขรึม เอ่ยเย็นชา “ใต้เท้าจ้าว หากพวกท่านไม่เชื่อ เช่นนั้นก็อยู่ที่เมืองนี้ต่อไป ส่วนข้ากับเยี่ยนอ๋องจะออกไปอยู่ที่อื่น”
จ้าวซื่อหลางได้ยิน จึงส่งสายตาเป็นสัญญาณให้ทุกคน จากนั้นยิ้มพูดขึ้น “สุภาษิตกล่าวไว้ว่ายอมเชื่อเสียดีกว่าไม่ยอมเชื่อ ในเมื่อเอ้อร์หนิวมีปฏิกิริยาเช่นนี้ เช่นนั้นพวกเราออกไปจากที่นี่กัน”
ยังไงไปพักที่ไหนก็ต้องพักเหมือนกัน ไม่จำเป็นต้องแสดงท่าทีเห็นต่างกับไท่จื่อหรอก
ไท่จื่อรู้สึกพอใจขึ้นมาทันที “น้องเจ็ด พวกเราไปกันเถอะ”
ทว่าอวี้จิ่นกลับไม่ขยับเขยื้อน
ไท่จื่อประหลาดใจขึ้นมา “น้องเจ็ด เหตุใดถึงไม่ไปล่ะ”
อวี้จิ่นมองไท่จื่อ แล้วมองไปยังทุกคน พร้อมกับเอ่ยถามออกไป “แค่นี้ก็จะไปแล้วหรือ”
ไท่จื่อได้ยินคำถามก็ได้แต่งง “ไม่เช่นนั้นล่ะ”
หรือว่าจะให้พาหญิงสาวชุดสีชมพูที่เขาสนใจเมื่อครู่ไปด้วย
เขามีความคิดนี้ผุดขึ้นมา แต่ว่าเรื่องแบบนี้ต้องพิถีพิถัน ไม่อาจทำให้มันเอิกเกริกจนถูกคนจับได้
“แล้วจะทำอย่างไรกับคนในเมืองล่ะ”
จ้าวซื่อหลางจริงจังขึ้นมา มองไปที่อวี้จิ่นด้วยความเกรงกลัวเล็กน้อย
เยี่ยนอ๋องหมายความว่าอย่างไร หรือว่าจะระดมพลพาคนในเมืองทั้งหมดหนีไปด้วย
เพียงเพราะแค่สุนัขตัวเดียวเนี่ยนะ
เหลวไหล นี่มันเหลวไหลสิ้นดี!
อวี้จิ่นเอ่ยขึ้น “ใต้เท้าทุกท่าน หากแผ่นดินไหวเกิดขึ้นที่เมืองเฉียนเหอ ชาวบ้านจะต้องบาดเจ็บล้มตายนับหมื่นคน เนื่องจากโรคระบาดทำให้เราเสียประชากรไปนับหมื่นคน ผู้คนทั่วทั้งเมืองหายเป็นเกือบครึ่ง คิดดูว่าผลลัพธ์จะร้ายแรงขนาดไหน”
เพียงแค่คำถามไม่กี่ประโยคทำเอาทุกคนรู้สึกทุกข์ใจขึ้นมาทันที บรรยากาศเงียบงัน
อวี้จิ่นชี้นิ้วออกมา “ถ้าหากเมืองจิ๋นหลี่เกิดแผ่นดินไหวขึ้น ชาวบ้านในเมืองพวกนี้ก็จะเดินตามหลังชาวบ้านของเมืองเฉียนเหอไป ซึ่งนี่จะเป็นภัยพิบัติที่ไม่อาจกู้คืนกลับมาได้อีกครั้ง…”
จ้าวซื่อหลางเอ่ยปากพูดออกมา “แต่ว่า…”
อวี้จิ่นเอ่ยขัดขึ้นมาเสียงเรียบ “ไม่มีแต่ ข้ารู้ว่าทุกท่านต่างคิดว่ามันเหลวไหลเกินไปที่จะเชื่อปฏิกิริยาตอบโต้ของสุนัขตัวหนึ่งแล้วระดมพลไปขนย้ายผู้คนให้หนีออกจากเมือง ซึ่งพวกท่านก็แทบไม่เชื่อด้วยซ้ำว่าจะเกิดแผ่นดินไหวขึ้น เมื่อครู่ที่เห็นด้วยกับการเปลี่ยนที่พัก นั่นก็เพียงเพราะรู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องขัดใจไท่จื่อ อีกอย่างการเปลี่ยนที่พักก็ไม่ใช่เรื่องยุ่งยากอะไร แตกต่างกับการระดมพลเคลื่อนย้ายชาวบ้านทั้งเมือง”
ทุกคนยิ้มหน้าเหยเกออกมา
ที่แท้เยี่ยนอ๋องก็รู้อยู่แล้ว รู้ว่าพวกเขาประจบสอพลอไท่จื่อ
“แต่ว่าถ้ามันเกิดขึ้นมาจริงๆ ล่ะ” อวี้จิ่นเอ่ยถาม
ทุกคนมองไปที่เขา
อวี้จิ่นมองออกไปไกล “ถ้าหากเกิดแผ่นดินไหวขึ้น สุดท้ายจะไม่สามารถกู้คืนเอาอะไรกลับมาได้ การระดมพลเคลื่อนย้ายประชาชนเหล่านี้ออกไปจากเมืองชั่วคราวนั้นยุ่งยากเล็กน้อย แต่จะยุ่งยากยิ่งกว่านี้ มันก็คุ้มค่าที่จะทำหากเทียบกับความเป็นความตาย ใต้เท้าทุกคนว่าอย่างไร”
ทุกคนนิ่งเงียบ
พวกเขาไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่ารู้สึกเห็นใจเพราะคำพูดของเยี่ยนอ๋อง
หากเทียบกับความเป็นความตายดูแล้ว ยุ่งยากนิดหน่อยมันก็คุ้มค่า
“แล้วจะพูดกับชาวบ้านว่าอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ” จ้าวซื่อหลางส่ายหน้าไปมา “คงไม่อาจพูดได้ว่าเป็นเพราะเอ้อร์หนิวสังเกตเห็นว่าจะเกิดแผ่นดินไหวขึ้น แล้วให้พวกเขาทิ้งทรัพย์สมบัติในบ้านเพื่อหนีไปงั้นหรือ”
“ใช่ หากไม่มีวิธีพูดที่ทำให้คนเชื่อ ชาวบ้านไม่ยอมไปด้วยแน่…”
“อีกอย่าง จะต้องย้ายไปกี่วัน ท่านอ๋องเพียงพูดว่าเพราะเอ้อร์หนิวสังเกตเห็นว่าที่นี่จะเกิดแผ่นดินไหว แล้วเวลาที่จะเกิดล่ะพ่ะย่ะค่ะ”
ทุกคนยิ่งพูดก็ยิ่งรู้สึกว่าข้อเสนอของอวี้จิ่นไม่อาจทำให้เป็นจริงได้
ไท่จื่อกระวนกระวายใจเล็กน้อย จึงพูดเร่งออกมา “น้องเจ็ด พวกเรารีบหนีไปก่อนค่อยว่ากันเถอะ”
แผ่นดินไหวนั้นไม่รอใคร หากจู่ๆ เกิดขึ้นมาจะทำอย่างไร การหนีออกไปโดยเร็วเป็นสิ่งที่ถูกต้อง
อวี้จิ่นลูบหัวเอ้อร์หนิวอย่างไม่มีท่าทีรีบร้อน แล้วเอ่ยขึ้น “อย่างมากไม่เกินห้าวัน”
“ห้าวันงั้นหรือ”
“อื้ม เอ้อร์หนิวทำได้เพียงแค่รู้อันตรายล่วงหน้าเล็กน้อย เช่นนั้นจึงอาจเกิดขึ้นในอีกไม่นาน ใต้เท้าทุกท่าน หากจะระดมพลคนมาเคลื่อนย้ายชาวบ้านออกไปจากเมืองห้าวัน ตั้งค่ายพักที่เขตนอกเมืองเพื่อพักอาศัยชั่วคราว พวกท่านมีความมั่นใจที่จะทำได้มากน้อยเพียงใด”
จ้าวซื่อหลางลูบเครา “ยากที่จะพูดได้ อย่างแรกท่านอ๋องจะต้องให้เหตุผลที่ทำให้ประชาชนยอมเชื่อ หากท่านบอกว่าเป็นเพราะเอ้อร์หนิวค้นพบ เกรงว่าอาจไม่มีผู้ใดยอมไป”
ชาวบ้านทั้งรักทั้งทะนุถนอม อาลัยอาวรณ์บ้านของตัวเองมากกว่าสิ่งใด มีคนมากมายที่ลำบากอดออมมาทั้งชีวิตกว่าจะสร้างบ้านสองสามหลังนี้ออกมาได้ แถมยังซื้อทรัพย์สินไว้ในบ้านเหล่านั้นอีก คงไม่ไปง่ายๆ เพราะคำพูดเพียงไม่กี่คำหรอก
อวี้จิ่นมองไปที่ไท่จื่อ “บอกไปว่าเมื่อคืนไท่จื่อฝันว่าพักอยู่ที่เมืองจิ๋นหลี่ ยามดึกมีเทพองค์หนึ่งมาเข้าฝันเพื่อเตือนไท่จื่อให้ทราบ”
บรรพบุรุษเชื่อว่า การรวมตัวของอำนาจฮ่องเต้และสวรรค์จะมีประโยชน์ในการปกครองบ้านเมืองยิ่งขึ้น
เมื่อได้ยินข้อเสนอของอวี้จิ่น ทุกคนก็มองไปที่ไท่จื่ออย่างอดไม่ได้
ไท่จื่อรีบส่ายหน้าปฏิเสธทันควัน “ไม่ได้!”
นี่ล้อกันเล่นหรือ เขาไม่เอาด้วยกับเรื่องนี้หรอกนะ
“น้องเจ็ดรับประกันได้หรือไม่ว่าจะเกิดแผ่นดินไหว”
อวี้จิ่นลังเลใจ พร้อมกับส่ายหน้าออกมา
ถ้าหากเขาแสดงออกว่ามั่นใจเกินไป แต่กลับไม่จริงขึ้นมาล่ะ
ยิ่งไปกว่านั้นนี่เป็นเพียงความฝันของอาซื่อ ถึงแม้เขาจะยอมเชื่อและทุ่มเทพยายามทำ มันก็อาจเกิดการคลาดเคลื่อนได้
หากดูในมุมมองของคนอื่น เรื่องที่เกิดขึ้นจากความฝันนั้นมีโอกาสน้อยมาก
“เช่นนั้น ถ้าหากว่าใช้ชื่อของข้าไปโน้มน้าวใจชาวบ้านในเมืองให้เคลื่อนย้ายหนีไป สุดท้ายกลับไม่เกิดแผ่นดินไหวขึ้นจะทำอย่างไร ถึงตอนนั้นประชาชนทั่วหล้าจะไม่รู้สึกว่าข้าพูดซี้ซั้ว หรืออาจพูดว่าเทพหยอกล้อข้าที่เป็นไท่จื่อในยุคนี้เอารึ” ไท่จื่อพูดอย่างมีเหตุผล
เรื่องที่เกี่ยวข้องกับชื่อเสียงของตัวเอง ไท่จื่อไม่อาจยอมได้
ทุกคนได้ยินต่างก็พยักหน้าเห็นด้วย
ที่ไท่จื่อพูดนั้นก็มีเหตุผล ไม่ว่าจะเป็นประชาชนทั่วหล้ารู้สึกว่าไท่จื่อก่อเรื่องวุ่นวาย หรือว่าเทพเข้าฝันเพื่อหยอกล้อไท่จื่อ ล้วนแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าไท่จื่อไม่เหมาะสมจะเป็นองค์รัชทายาท…
เมื่อเห็นอวี้จิ่นทำหน้าขรึม ไท่จื่อจึงถอนหายใจพูดขึ้น “น้องเจ็ด เจ้าต้องคิดเผื่อพี่ชายอย่างข้าด้วยสิ ข้าเพิ่งจะกลับคืนสู่บัลลังก์ คนอื่นก็ยังเฝ้าจับตาดูอยู่ หากพาชาวบ้านย้ายไปย้ายมา สุดท้ายไม่เกิดแผ่นดินไหว เสด็จพ่อจะด่าข้าเอานะ…”
อวี้จิ่นเงียบไปพักหนึ่ง แล้วเอ่ยพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็บอกว่าเทพได้เข้าฝันข้าเพื่อเตือนให้ทราบก็ได้”
เขาพูดไป พลางเหลือบมองไท่จื่อ “ถ้าหากว่าพี่รองไม่ถือสาล่ะก็…”
ไท่จื่อเอ่ยขึ้น “ไม่ถือสา ไม่ถือว่า เอาแบบที่เจ้าว่าก็ได้”
เจ้าเจ็ดยอมเอาตัวเองเขาไปแทรกในเรื่องนั้นดีที่สุดแล้ว ขอแค่ไม่ให้เขารับผิดชอบก็พอ
ถ้าให้เขาพูด เจ้าเจ็ดนั้นแส่หาเรื่องเอง…
ทุกคนประหลาดใจเล็กน้อย
เทพเข้าฝันเยี่ยนอ๋องแทนที่จะเป็นไท่จื่อ ไม่รู้ว่าควรจะพูดว่าเยี่ยนอ๋องไม่หวั่นเกรงต่อสิ่งใด หรือว่าไท่จื่อปัญญาอ่อนเกินดี
ถ้าหากเกิดแผ่นดินไหวขึ้นมาจริงๆ เกรงว่าเยี่ยนอ๋องอาจจะไม่ได้รับผลดี ในอนาคตจะต้องถูกฝ่าบาทกับไท่จื่อจ้องระแวงเป็นแน่
อวี้จิ่นพยายามมองสีหน้าท่าทางของทุกคน แล้วเผยรอยยิ้มออกมาอย่างไร้กังวล “ข้าเข้าใจใต้เท้าทุกท่านว่ากำลังคิดอะไรอยู่ ถ้าหากสามารถช่วยชาวบ้านในเมืองได้ เหตุใดจะต้องเสียดายตนเองด้วยเล่า”