ตอนที่ 536 ฝังความรู้สึกไว้ในก้นบึ้งหัวใจตลอดกาล

หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง

ตอนที่ 536 ฝังความรู้สึกไว้ในก้นบึ้งหัวใจตลอดกาล

เจียงโม่หานทิ้งที่อยู่บนถนนหย่งอันไว้ให้หัวหน้าสมาคม แม้ว่าเขาจะมีคุณสมบัติของผู้สามารถสอบฮุ่ยซื่อติดอันดับที่หนึ่ง แต่เขาก็ไม่ปฏิเสธที่จะแลกเปลี่ยนความรู้กับเหล่าบัณฑิต เพราะหลังจากสอบผ่านแล้วเรื่องความสัมพันธ์ของคนรุ่นเดียวกันก็ยังจำเป็นต้องรักษาไว้

ชาติก่อนเป็นเพราะเขาทำตัวหยิ่งยโสมากเกินไป จึงผิดใจกับบัณฑิตรุ่นเดียวกันไปทั่ว กลายเป็นคนที่ใครก็ตีตัวออกห่าง ตอนถูกตัดสินโทษจึงไม่มีใครเข้ามาให้ความช่วยเหลือสักคนเดียว เฮ้อ เขาดำเนินชีวิตของการเป็นสัตว์สังคมได้ล้มเหลวมาก !

หัวหน้าสมาคมจดที่อยู่ไว้อย่างตั้งใจ แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกงุนงงเล็กน้อย เจียงเจี้ยหยวนไม่ใช่คู่หมั้นของจวิ้นจู่หรอกหรือ ? เหตุใดที่อยู่จึงไม่ใช่ตำหนักหมินอ๋อง ? เขาคิดว่าหากทิ้งที่อยู่ตำหนักหมินอ๋องไว้ บัณฑิตเมืองจงโจวก็คงไม่กล้ามาขอคำชี้แนะใช่หรือไม่ ? และถึงแม้จะกล้าไปเยือน ก็ไม่แน่ว่าจะได้เข้าไปในตำหนักหมินอ๋อง…เจียงเจี้ยหยวนช่างคิดได้ละเอียดรอบคอบดีเหลือเกิน !

“หลินกู่เหนียง เป็นท่านจริง ๆ ด้วย ! ” ทันใดนั้นเสียงที่ฟังคุ้นหูและแฝงไปด้วยความดีใจของใครบางคนก็ดังขึ้น

หลินเว่ยเว่ยหันไปมอง ทันใดนั้นนางก็ดีใจเช่นกัน “คุณชายหนิง ท่านก็มาที่เมืองหลวงด้วยหรือ ? มาถึงเมื่อใดเล่า ? ”

ในที่สุดก็ได้พบกับคนที่ตามหา ทันใดนั้นก้อนหินในใจของหนิงตงเซิ่งก็หลุดหายไป เขาพูดด้วยรอยยิ้ม “ยังไม่ถึงสองวันเลยด้วยซ้ำ เมื่อครู่เพิ่งจัดการเรื่องที่โรงเตี๊ยมเสร็จ จึงมาลองเสี่ยงโชคที่สมาคม เผื่อจะสืบข่าวของหลินกู่เหนียงและเจียงเจี้ยหยวนได้บ้าง แต่คาดไม่ถึงว่าจะได้มาเจอพวกท่านที่นี่ ! ”

“เส้นทางน้ำคงถูกปิดแล้วกระมัง ? คุณชายหนิงเดินทางด้วยทางบกใช่หรือไม่ ? ” ในเดือนสิบของภาคเหนือก็เริ่มมีหิมะตกแล้ว หนิงตงเซิ่งเพิ่งเข้ามาถึงเมืองหลวงในเดือนสิบสอง หากคำนวณเวลาเดินทางแล้วเขาก็น่าจะเริ่มเดินทางตอนเดือนสิบ ?

หนิงตงเซิ่งส่ายหน้า “ข้ามาทางทะเล ถือว่ายังราบรื่นตลอดเส้นทาง…จริงสิ หลินกู่เหนียง…ท่านเป็นจวิ้นจู่ที่พลัดพรากไปของตำหนักหมินอ๋องจริงหรือ ? ”

“เรื่องนี้ยังจะเป็นเท็จได้อีกหรือ ? ใครหน้าไหนจะกล้าปล่อยข่าวลือเกี่ยวกับตำหนักหมินอ๋อง ? ต้องเป็นเรื่องจริงอยู่แล้ว ! ” หัวหน้าสมาคมจงโจวมองหนิงตงเซิ่งด้วยแววตาอิจฉาริษยา

เขาเองก็เป็นสมาชิกตระกูลหนิงสาขาย่อย แถมยังถือเป็นบุตรชายคนสำคัญมากกว่าหนิงตงเซิ่งอีกด้วย เดิมทีสาขาย่อยของตนก็มีสถานะเหนือกว่าสาขาย่อยของหนิงตงเซิ่ง แต่ใครจะไปคิดว่าเจ้าบุตรอนุที่ไม่ได้รับความโปรดปรานอย่างหนิงตงเซิ่งจะมีโชคเพียงนี้ ถึงขั้นได้มีวาสนารู้จักกับบุคคลในตำนานอย่างจวิ้นจู่ตำหนักหมินอ๋อง ดูท่าทางสาขาย่อยของหนิงตงเซิ่งจะได้เลื่อนอันดับขึ้นมาแล้ว !

หนิงตงเซิ่งรีบคารวะแล้วพูดออกมาว่า “จวิ้นจู่ หากข้าน้อยทำผิดพลาดประการใด ก็ขอให้จวิ้นจู่ลง…”

“ลงโทษอะไรกัน ! อย่าพูดกับข้าแบบนี้ ข้าเบื่อบทพูดเช่นนี้มากที่สุด เมื่อก่อนพวกเราเป็นอย่างไร ตอนนี้ก็เป็นอย่างนั้น ! ” หลินเว่ยเว่ยขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางพูดด้วยน้ำเสียงรำคาญ

หนิงตงเซิ่งรู้นิสัยนางดี จึงรีบเปลี่ยนเป็นน้ำเสียงผ่อนคลาย “หลินกู่เหนียงยังไม่ได้กินข้าวมื้อกลางวันใช่หรือไม่ ? ข้าได้ยินมาว่าอาหารที่ ‘สวนชูเซียง’ รสชาติไม่เลว วันนี้ข้าเป็นเจ้ามือเอง เชิญหลินกู่เหนียง เจียงเจี้ยหยวนและน้องชายหลินไปเพลิดเพลินด้วยกัน ว่าอย่างไรดี ? ”

หัวหน้าสมาคมจงโจว “…”

จวิ้นจู่พูดตามมารยาท เจ้าก็ไม่ทำตัวมีมารยาทตอบจริง ๆ ยังกล้าเชิญจวิ้นจู่และคู่หมั้นไปกินอาหารด้วยกันอีก พ่อค้าตัวเล็ก ๆ จากเมืองจงโจวอย่างเจ้ามีเกียรติมากนักหรือ ?

“สวนชูเซียง ? ” หลินเว่ยเว่ยหันไปมองเจียงโม่หานแล้วถามว่า “ฟังจากชื่อแล้วน่าจะเป็นร้านอาหารเสฉวน ไม่รู้ว่ารสชาติอาหารมีความดั้งเดิมมากเพียงใด ถ้าอย่างไร…เราไปชิมกันดีหรือเปล่า ? ”

สวนชูเซียง…ชาติก่อนเจียงโม่หานเคยไปสองสามครั้ง รอบแรกรสชาติก็ไม่เลวอยู่หรอก แต่พอเปลี่ยนพ่อครัวทำอาหารแล้วกิจการก็แย่ลงทุกวัน ผ่านไปไม่กี่ปีก็ต้องปิดกิจการลงในที่สุด หลังปิดกิจการแล้วเจ้าของร้านก็ย้ายกลับไปอยู่ที่บ้านเกิด ส่วนตอนนี้น่าจะเป็นช่วงที่สวนชูเซียงกำลังเจริญรุ่งเรืองที่สุด

เจียงโม่หานพยักหน้า “ตกลง ไปลองกัน ! ”

ขณะมองฉากนี้ หนิงตงเซิ่งก็ไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกอย่างไร แม้มีฐานะเป็นถึงจวิ้นจู่น้อยตำหนักหมินอ๋องแล้ว หลินกู่เหนียงก็ยังเป็นเหมือนเดิม ไม่ว่าอะไรก็เคารพความเห็นของเจียงเจี้ยหยวน

ช่างเถิด ! ความรู้สึกที่อยู่ในใจของเขาควรหยุดลงตั้งแต่นางหมั้นหมายแล้ว ในเวลานี้ฐานะของพวกตน หนึ่งคือหงส์ฟ้า ส่วนอีกคนคือสุนัขแหงนมองก้อนเมฆ เขายิ่งไม่กล้ามีหวังมากกว่าเดิม

“พี่รอง ท่านอยากไปด้วยกันหรือไม่ ? ”

หนิงตงหลิงหรือหัวหน้าสมาคมเป็นบุตรชายคนรองของตระกูลหนิงสาขาย่อย การสามารถได้นั่งร่วมโต๊ะกับจวิ้นจู่แห่งตำหนักหมินอ๋องและเจียงเจี้ยหยวนผู้มีสิทธิ์สอบติดฮุ่ยซื่ออย่างสูง จึงถือเป็นเกียรติมาก หนิงตงหลิงข่มความตื่นเต้นในใจเอาไว้แล้วตอบตกลง

เมื่อมาถึงสวนชูเซียง หลังอาหารขึ้นโต๊ะหมดแล้ว หลินจื่อเหยียนที่ตื่นเต้นและตั้งตาคอยกับรสชาติอาหารก็ต้องผิดหวัง…ไม่ว่าจะหน้าตา กลิ่น รสชาติหรือการจัดจาน เมื่อเทียบกับอาหารเสฉวนของพี่รองแล้วยังห่างชั้นกันมาก ! ลองชิมแล้วถือว่ารสชาติพอไปวัดไปวาได้บ้าง…ลิ้นของเขาเปลี่ยนไปเพราะหลินเว่ยเว่ยเสียแล้ว

เจียงโม่หานกินอาหารสองสามอย่างที่เคยกินบ่อย ๆ เมื่อชาติก่อน เห็นอยู่ว่าเป็นอาหารแบบเดียวกัน แต่พอได้กินแล้วกลับไม่ได้รู้สึกตื่นตาตื่นใจหรือชอบขนาดนั้น…หัวกระต่ายผัดเผ็ดและเนื้อน่องกระต่ายย่างที่หลินเว่ยเว่ยทำเมื่อหลายวันก่อน ยังมีความ ‘เผ็ดหอม’ ที่เป็นเอกลักษณ์ของอาหารเสฉวนมากกว่า

หลังกินอาหารเสร็จแล้ว หนิงตงเซิ่งก็ให้ผู้ติดตามนำเงินปันผลครึ่งต่อครึ่งออกมา…เวลาสั้น ๆ เพียง 2 ปี หนิงตงเซิ่งก็ขยายร้านหนิงจี้ที่อยู่ในเขตห่างไกลไปถึง 5 สาขาแล้ว กิจการในแต่ละสาขายังขายดีเป็นเทน้ำเทท่า เมืองเหอโจวมีอยู่ 2 สาขา หัวหน้าตระกูลหนิงก็ชื่นชมในตัวเขามากเช่นกัน และคิดจะบ่มเพาะให้เป็นมือขวาของทายาทรุ่นต่อไป !

ท่านปู่ของตระกูลหนิง ถูกฮ่องเต้พระราชทานตำแหน่งหยงหนิงโหวให้ในเวลานี้ และสาขาย่อยที่หนิงตงเซิ่งอาศัยอยู่ก็สามารถพูดได้ว่าเป็นตระกูลสาขาย่อยที่เคยไม่สะดุดตามากที่สุด โดยเฉพาะรุ่นของบิดาหนิงตงเซิ่งที่ได้แต่ทำการค้าขายในอำเภอเล็ก ๆ เท่านั้น การได้รับความสนใจจากสาขาหลักจึงเป็นอะไรที่บิดาของหนิงตงเซิ่งไม่คาดคิดว่าจะได้รับ

ก่อนมาที่เมืองหลวง หนิงตงเซิ่งก็หวั่นใจอยู่บ้าง…หากอยู่ภายใต้ร่มเงาไม้ใหญ่ย่อมเย็นสบาย มีจวนหยงหนิงโหวคอยหนุนหลัง ‘ร้านหนิงจี้’ ถึงจะพัฒนาต่อไปได้อย่างมั่นคง

แต่ตอนนี้เขาเปลี่ยนใจแล้ว ! การเป็นมือขวาของทายาทรุ่นต่อไป ก็เป็นแค่คนตัดชุดแต่งงานให้คนอื่นเท่านั้น พอถึงเวลานั้น ‘ร้านหนิงจี้’ จะยังได้อยู่ในการควบคุมของตนเองหรือเปล่าก็ยังไม่รู้เลย

ตรงเบื้องหน้ามีทางเลือกที่ดีกว่า แล้วเขาจะเอาน้ำพักน้ำแรงที่ทำมาตลอดสองปีไปเสี่ยงทำไม ? หนิงตงเซิ่งทำจิตใจให้สงบ ก่อนจะเลื่อนตั๋วแลกเงินและสมุดบัญชีไปตรงเบื้องหน้าของนาง “นี่คือเงินปันผลของปีนี้ หลินกู่เหนียงเชิญตรวจสอบได้เลย”

หลินเว่ยเว่ยรับตั๋วแลกเงินมาถือไว้ก่อนจะพลิกดูสมุดบัญชีอย่างลวก ๆ แล้วพยักหน้าพูดว่า “ข้าเชื่อใจคุณชายหนิง ขอบคุณมาก ! ”

“นี่เป็นสิ่งที่หลินกู่เหนียงสมควรได้รับ ไม่จำเป็นต้องขอบคุณ…” หลังจากไตร่ตรองดีแล้ว ท้ายที่สุดหนิงตงเซิ่งก็พูดออกมาว่า “ไม่ทราบว่าหลินกู่เหนียง มีความคิดอยากจะเปิดร้านขนมที่เมืองหลวงหรือไม่ ? ”

“เรื่องนี้…ต้องรอให้บัณฑิตน้อยสอบเตี้ยนซื่อ (สอบหน้าพระที่นั่ง) เสร็จแล้ว ค่อยดูว่าจะอยู่ที่เมืองหลวงหรือต้องออกไปรับตำแหน่งที่อื่น ! ” ถ้าอยู่ที่เมืองหลวงต่อ ก็มีที่ให้หาเงินในเมืองหลวงมากมาย แม้จะบอกว่าเงินปันผลของร้านหนิงจี้เป็นรายได้ที่ไม่เลว แต่ใครจะรังเกียจที่ตัวเองมีเงินอยู่ในมือเยอะบ้าง ?

หนิงตงเซิ่งอดไม่ได้ที่จะพูดว่า “ถ้าอยากเปิดร้านขนม หลินกู่เหนียงคิดจะเปิดเองหรือร่วมลงทุนกับผู้อื่น ? ”

ไฉนเลยหลินเว่ยเว่ยจะไม่เข้าใจความหมายของอีกฝ่าย นางมองเขาด้วยรอยยิ้ม “ทำไมหรือ ? คุณชายหนิงคิดจะเปิดร้าน ‘หนิงจี้’ ที่เมืองหลวงด้วยหรือ ? ”

หนิงตงเซิ่งปกปิดความตื่นเต้นในใจไม่อยู่ เขาถูมือพลางเอ่ย “เรื่องนั้นต้องรอฟังความเห็นจากหลินกู่เหนียงก่อน ถ้าหลินกู่เหนียงอยากจะหาคนร่วมลงทุน ก็ช่วยพิจารณาข้าดูบ้างเถิด”