ตอนที่ 537 ช่วงเวลาแห่งความหวานของตน
“ไม่ลองก็ไม่รู้ ! ” เพราะอย่างไรหลินเว่ยเว่ยก็แค่ดูแลเรื่องสูตรขนม ไม่ต้องนึกถึงเรื่องจัดการร้านค้า การปรับปรุงร้าน พนักงาน หลงจู๊หรือวิธีขาย…และพวกเรื่องจุกจิกต่าง ๆ แค่ทุกสิ้นปีมาตรวจดูบัญชี รับเงินปันผลก็พอ แม้รายได้จะไม่มากเท่าเปิดร้านเป็นของตัวเอง แต่มันก็ช่วยลดภาระได้มาก !
รายได้จากการเปิดร้านเป็นแค่งานอดิเรกของนางเท่านั้น เพราะนางคิดไว้ดีแล้วว่าเป้าหมายในชีวิตนี้คือการใช้ประโยชน์จากห้วงมิติน้ำพุวิญญาณและความรู้ที่เคยเรียนมาในชาติก่อนเพื่อปรับปรุงเมล็ดพันธุ์ที่ให้ผลผลิตสูงแก่โลกใบนี้ เมื่อให้โอกาสนางได้ทะลุมิติมาแล้ว นางก็จะใช้ความสามารถทั้งหมดที่มี ในการตอบแทนยุคสมัยนี้ ไม่ใช่เพราะเหตุใดหรอก ก็เพื่อราษฎรที่ยากลำบาก แต่ก็ยังใช้ชีวิตกันอย่างเรียบง่ายและใจดีเหล่านั้น !
หนิงตงเซิ่งดีใจยิ่งกว่าอะไร เขารู้ว่าในเมืองหลวงมีพ่อค้ามากมายที่อยากสานสัมพันธ์กับผู้มีอำนาจ หากได้ร่วมลงทุนกับหลินเว่ยเว่ยก็เท่ากับได้ลงเรือลำเดียวกับตำหนักหมินอ๋อง นั่นหมายความว่าจะสามารถยืนอยู่ในเมืองหลวงได้อย่างมั่นคง เขาช่างโชคดีจริง ๆ !
หนิงตงเซิ่งพูดติดอ่าง “ละ…หลินกู่เหนียง ความหมายของท่านคือยอมร่วมลงทุนกับข้าหรือ ? ท่านวางใจได้ ข้าจะไม่ทำให้ท่านผิดหวังแน่นอน จะทำให้ร้านขนมมีความมั่นคงและมั่งคั่ง กลายเป็นร้านที่ไม่อาจมีร้านใดแทนที่ได้ในเมืองหลวง ! ”
หลินเว่ยเว่ยพยักหน้า “ข้าเชื่อว่าคุณชายมีความสามารถนั้น ! ”
หนิงตงเซิ่งถูมือด้วยความปลาบปลื้ม “ขอบพระคุณที่จวิ้นจู่เชื่อใจ…สิ่งสำคัญในเวลานี้คือการตั้งชื่อร้านที่จะพาความเจริญรุ่งเรืองมาสู่ร้านขนม ! ”
“ชื่อร้าน ? ‘หนิงจี้’ ก็ดีอยู่แล้วไม่ใช่หรือ ? ” สำหรับหลินเว่ยเว่ยแล้ว เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องสำคัญ เพราะสิ่งสำคัญคือตั๋วแลกเงินในมือที่ทำให้คนเรามีความสุขได้ !
แต่หนิงตงเซิ่งกลับพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ไม่ได้ ! สูตรขนมเป็นของหลินกู่เหนียงทั้งหมด หลังจากร้านเปิดกิจการแล้วยังมีอีกหลายอย่างที่ต้องพึ่งพาท่าน ! ถ้ายังชื่อ ‘หนิงจี้’ อีก มันจะไม่เหมาะสม ! ถ้าอย่างไร…ชื่อ‘หลินจี้’ ดีหรือเปล่า ? ”
หลินเว่ยเว่ยส่ายหน้า “ธรรมดาเกินไป ! ถ้าอย่างไรให้ชื่อร้านขนม…‘เถียนมี่ฉือกวง’ ดีหรือไม่ ? หวังว่าลูกค้าทุกคนที่มาเยือนร้านของพวกเรา จะได้เพลิดเพลินไปกับช่วงเวลาแห่งความหวานของตน ! ”
“ชื่อนี้ดี ! มีเอกลักษณ์ยิ่งนัก และยังมีความหมายที่ดีอีกด้วย ดีสุด ๆ ไปเลย ! ” หนิงตงเซิ่งยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาเพื่อแสดงความคิดเห็น จากนั้นเขายังหันไปมองเจียงโม่หานที่กำลังจิบชาอย่างสบายใจ “เจียงเจี้ยหยวน เรื่องป้ายชื่อร้าน…อย่างไรก็ต้องรบกวนท่านด้วย”
เจียงโม่หานวางถ้วยชาลง ขณะมองหลินเว่ยเว่ย เขาก็คลี่ยิ้มออกมา “ลายพระหัตถ์ของหมินอ๋องก็งดงามและดูทรงพลังอยู่ในตัว พระองค์ชอบเขียนอักษรเป็นที่ระลึกให้คนอื่นมากที่สุด ในเมืองหลวงแห่งนี้หากมีคนสูงศักดิ์คนใดที่พระองค์ชอบ ก็จะมอบให้แทบทุกราย…”
หนิงตงเซิ่งมีดวงตาเป็นประกายทันที…หากป้ายชื่อร้านขนม สามารถอัญเชิญลายพระหัตถ์ของเทพสงครามมาประดับได้ ก็เท่ากับสร้างใบรับประกันให้ทางร้าน ในอนาคตเมื่อร้าน ‘เถียนมี่ฉือกวง’ กลายเป็นที่นิยมในเมืองหลวง ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะมีใครพุ่งเป้ามาหาเรื่อง !
เป็นธรรมดาที่หลินเว่ยเว่ยจะนึกถึงเรื่องนี้ได้เช่นกัน นางหัวเราะร่า “เรื่องนี้จัดการง่ายมาก ยกให้เป็นหน้าที่ข้าเอง ! ” ก็แค่ให้หมินอ๋องเขียนป้ายชื่อร้านไม่ใช่หรือ ? ไม่มีเรื่องใดที่อาหารมื้อเดียวแก้ไม่ได้ ถ้ามีก็สองมื้อ !
หนิงตงเซิ่งลุกขึ้นยืนอย่างอดใจรอไม่ไหวและพูดราวกับจะลงมือทำในทันที “ประเดี๋ยวข้าจะไปดูฝั่งตะวันออกและตะวันตกของเมืองว่ามีร้านค้าที่เหมาะสมอยู่หรือไม่ แล้วก็ควรเริ่มอบรมพ่อครัวทำขนมได้แล้ว…” การเดินทางมาครั้งนี้ เขาพาพ่อครัวทำขนมที่ฝีมือดีที่สุดมาด้วย เรียกได้ว่าเตรียมตัวมาพร้อม !
เจียงโม่หานสะพัดพัดในมือแล้วพูดกับหลินเว่ยเว่ยว่า “ร้านค้าที่เป็นสินเดิมของหมินหวางเฟย ช่วงหลายปีนี้ไม่มีใครจัดการดูแลสักเท่าไร มีบางร้านที่ปล่อยให้ขาดทุนมาโดยตลอด ตอนหมินหวางเฟยเรียกคนดูแลสินเดิมเข้าพบ พระนางก็ไม่ได้ตรัสว่าจะปล่อยเช่าออกไปสองสามร้านหรอกหรือ ? ”
หลินเว่ยเว่ยชี้มาที่จมูกตัวเอง “บัณฑิตน้อย เจ้าหมายความว่า…ให้ข้าไปถามหมู่เฟยเรื่องเช่าร้าน ? ไม่ดีหรอกกระมัง ? ” นางไม่ใช่บุตรแท้ ๆ ของหมินหวางเฟย แล้วจะกล้าถามเรื่องร้านสินเดิมของอีกฝ่ายได้หรือ ? หมินหวางเฟยจะคิดกับนางอย่างไร ?
“มีสิ่งใดไม่ดี ? ในเมื่อเจ้าก็จ่ายเงินค่าเช่าตามปกติ” เจียงโม่หานยังพูดต่อ “ส่วนมากร้านสินเดิมของหมินหวางเฟยอยู่ที่ถนนเจิ้งหยางของเมืองฝั่งตะวันตก…”
ถนนเจิ้งหยางเป็นถนนสายหลักของเมืองฝั่งตะวันตก รอบด้านเต็มไปด้วยบ้านหรือจวนขุนนางและผู้เปี่ยมอำนาจ สามารถเห็นถึงระดับการบริโภค นอกจากนี้ร้านค้าบนถนนเจิ้งหยางยังไม่ต้องกังวลเรื่องการปล่อยเช่ามาก่อน หมินหวางเฟยเพิ่งเผยท่าทีจะปล่อยเช่า ก็มีคนมากมายมารออยู่แล้ว…รอดูแค่ว่าใครจะลงมือได้เร็วกว่าเท่านั้น !
หลินเว่ยเว่ยลังเลอยู่พักหนึ่ง ท้ายสุดนางก็พยักหน้า “ถ้าเช่นนั้นก็ได้ ! ข้าจะกลับไปถามดู…”
สวรรค์ ! นี่เพิ่งคุยกันไม่กี่ประโยค ก็ไม่เหลือแม้แต่ปัญหาเรื่องร้านแล้ว ! ทันใดนั้นหนิงตงเซิ่งก็รู้สึกผิดขึ้นมา…นี่คือแป้งทอดตกจากฟ้าเพื่อเขาแล้วสิ ! สามารถเอื้อมมือไปเกาะเรือลำใหญ่อย่างตำหนักหมินอ๋องได้ ชีวิตของเขาต้องไปถึงจุดสูงสุดแน่นอน !
แต่…สูตรเป็นของหลินกู่เหนียง ร้านก็หลินกู่เหนียงเป็นคนหา แม้แต่ป้ายชื่อร้านหลินกู่เหนียงก็เป็นคนจัดการ…มีอะไรที่เขาทำ ? มนุษย์เมื่อสูญเสียคุณค่าไปแล้วก็สามารถถูกแทนที่ได้ตลอดเวลา ทันใดนั้นเองหนิงตงเซิ่งก็รู้สึกไม่ปลอดภัย !
“หลินกู่เหนียง เรื่องปันผลของร้าน ‘เถียนมี่ฉือกวง’ ท่านคิดว่าเราแบ่งเป็น…สองต่อแปดส่วนดีหรือไม่ ? ” หลังได้ติดต่อกับทายาทตระกูลหลักสองสามครั้ง หนิงตงเซิ่งก็ได้รู้ว่าร้านค้าที่พึ่งพาผู้มีอำนาจในเมืองหลวงหลายแห่งต่างได้กำไรมหาศาล เงินปันผลสามต่อเจ็ดหรือสี่ต่อหกก็มีทั้งนั้น
แต่ร้านขนมของพวกตนแตกต่างออกไป ดังนั้นเขาจึงเสนอปันผลที่จริงใจมาก
หลินเว่ยเว่ยขมวดคิ้วแล้วถามด้วยน้ำเสียงงุนงง “ท่านสองข้าแปดน่ะหรือ ? ”
หนิงตงเซิ่งพยักหน้าอย่างหนักแน่น “ใช่ ถ้าหลินกู่เหนียงไม่พอใจ เรายังสามารถคุยกันได้…”
“สมองของท่านยังดีอยู่หรือเปล่า ? ถ้าสองต่อแปดแล้วยังจะคุยกันได้อีกหรือ ? จะคุยอะไรอีก ? ท่านทำงานให้ข้าเปล่า ๆ หรือไร ? ท่านโง่ไปแล้วหรือ ? ” หนิงตงเซิ่งคนนี้เดินทางจากแดนเหนือลงมาขยายโอกาสให้ตัวเองที่เมืองหลวง แต่ได้ปันผลแค่สองในสิบส่วน สู้เปิดร้านเพิ่มที่ภาคเหนืออีกสัก 2-3 สาขายังจะดีกว่า จะมาที่เมืองหลวงทำไม ?
ใบหน้าของหนิงตงเซิ่งเปื้อนด้วยรอยยิ้มแสนจริงใจ “แม้ข้าน้อยต้องทำงานให้จวิ้นจู่โดยไม่ได้รับเงิน ข้าน้อยก็ยินดี เพราะถือเป็นเกียรติ…”
“เฮอะ ! ไม่ต้องเสแสร้งถึงขนาดนั้น ! ในวงการค้าขาย ที่นี่ไม่มีจวิ้นจู่ มีแค่หุ้นส่วนของท่านเท่านั้น ! ” หลินเว่ยเว่ยขมวดคิ้วเป็นปม…นอบน้อมอะไรกัน ! ทำราวกับนางใช้อำนาจข่มคนเสียได้
หนิงตงเซิ่งเห็นนางทำหน้าหงุดหงิดจึงตกใจและรีบพูดออกมาว่า “หลินกู่เหนียงคิดว่าควรแบ่งกันสักเท่าไรถึงจะดี ? ”
“แบ่งกันครึ่งต่อครึ่งเหมือนเดิมก็แล้วกัน ! ” หลินเว่ยเว่ยพูดด้วยน้ำเสียงหมดความอดทนเล็กน้อย
หนิงตงเซิ่งยิ้มอย่างขมขื่น “เมื่อก่อนตอนอยู่ภาคเหนือ หลินกู่เหนียงแค่ให้สูตร ส่วนเรื่องอื่นท่านไม่ได้จัดการ ส่วนแบ่งครึ่งต่อครึ่งยังถือว่ายุติธรรม แต่ในเมืองหลวง ร้านของเราจะเปิดต่อไปได้หรือไม่ ยังต้องใช้ฐานะ ‘จวิ้นจู่’ ของท่าน อีกอย่างร้านนี้ท่านเองก็เป็นคนออกหน้า…ถ้าจะยึดตามส่วนแบ่งของเมื่อก่อน คนอื่นคงเข้าใจผิดว่าข้ากำลังหลอกลวงจวิ้นจู่แล้วมา…”
เขาไม่ได้ตื่นตูมไปเอง เพราะจากชื่อเสียงและตำแหน่งในราชสำนักของหมินอ๋องก็มีคนมากมายที่อยากจะเข้ามาประจบประแจง หากจวิ้นจู่น้อยอันเป็นที่รักสุดหทัยโดนหลอกลวง ก็จะต้องมีคนมาชำระแค้นแทนนางแน่นอน…