บทที่ 418-2 ความลับของนาง (2)

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 418 ความลับของนาง (2)

อวี้จิ่นถามอย่างเป็นห่วง “หมอกู้กินอิ่มแล้วหรือไม่ ในครัวยังมีของว่างอยู่”

“ไม่เป็นไร ข้ากินอิ่มแล้ว” กู้เจียวไม่ใช่คนกินเยอะ แต่เพราะวันนี้ใช้แรงประมือกับคนไปมากพอสมควรจึงกินข้าวไปถึงสองชาม ชามปกติกินชามเดียวก็อิ่มแล้ว

อวี้จิ่นยิ้ม ก่อนจะเอ่ยถามอย่างนอบน้อม “หมอกู้ชอบอาหารเย็นนี้หรือไม่”

กู้เจียวตอบ “ข้าไม่ได้เป็นคนเลือกกิน”

ความหมายคือไม่ถูกใจสักเท่าไหร่

เทียบไม่ได้กับหมูตุ๋นน้ำแดงที่องค์หญิงซิ่นหยางเข้าครัวทำให้นางกินเลยสักนิด น่าเสียดายที่หลงอียกตะหลิวขึ้นมา นางกลัวจึงวิ่งออกมาเสียก่อน

อวี้จิ่นนึกไม่ถึงเลยว่ากู้เจียวจะตรงไปตรงมาถึงเพียงนี้ หากเป็นคนทั่วไปคงตอบไปตามมารยาทว่าชอบ รสชาติอร่อย ขอบคุณที่ดูแลเป็นอย่างดีอะไรพวกนั้น

กู้เจียวพูดต่อ “ข้าเองก็เห็นว่าองค์หญิงซิ่นหยางเองก็ไม่ถูกใจสักเท่าไหร่ บนโต๊ะไม่มีเนื้อเลย”

อวี้จิ่นตกใจเป็นอย่างมาก “เจ้า…ดูออกด้วยหรือ”

องค์หญิงซิ่นหยางไม่มีทางแสดงความรู้สึกทางสีหน้า นางแทบจะสงบนิ่งกับทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ต่อให้เป็นบ่าวที่ปรนนิบัตินางมาหลายต่อหลายปี ก็น้อยนักที่จะเห็นนางเอ่ยปากว่าชอบหรือไม่ชอบสิ่งใด

อวี้จิ่นชะงักไปก่อนจะเอ่ยขึ้น “องค์หญิงกินเจน่ะ”

คนกินเจอีกแล้วหรือ

จิ้งไท่เฟยก็กินเจ แต่เป็นไปได้สูงว่าหญิงผู้นั้นแสร้งทำ ไม่รู้ว่าองค์หญิงซิ่นหยางนั้นกินเจเพราะเหตุใด

กู้เจียวครุ่นคิดก่อนจะถามออกไป “นางก็กินเนื้อแล้วเมาหรือ”

อวี้จิ่นตกตะลึง

คำถามนี่หมายความว่าอย่างไร บนโลกนี้มีคนที่กินเนื้อแล้วเมาด้วยหรือ

อวี้จิ่นตามความคิดแปลกพิสดารของกู้เจียวไม่ทัน แต่ก็ไม่ได้หลบเลี่ยงประเด็น นางลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ย “องค์หญิงไม่ได้กินเจตลอดหรอกเจ้าค่ะ ตอนแรกนางก็กินเนื้อ เพิ่งจะไม่กินเมื่อไม่กี่ปีมานี้ บอกว่าสั่งสมบุญกุศลให้กับนายน้อย ให้ชาติหน้านายน้อยได้เกิดในตระกูลที่ดี”

กู้เจียวไม่เชื่อเรื่องแบบนี้สักเท่าไหร่

แต่เมื่อเชื่อมโยงกับเรื่องที่เกิดขึ้นกับตนเอง กู้เจียวกู้ฉุกคิดว่าหรืออันที่จริงปลายทางของวิทยาศาสตร์นั้นคือเรื่องลี้ลับ คนอาจจะไม่ได้เกิดใหม่ แต่อาจจะข้ามกาลเวลามายังอีกโลกหนึ่งก็เป็นได้

เมื่อคลื่นได้รับผลกระทบจากสนามแม่เหล็กตามเคลื่อนตัวผ่านกาลเวลา ทำให้สูญเสียความทรงจำไป ถึงได้มีตำนานเรื่องดื่มน้ำแกงของยายเฒ่าเมิ่งที่ทำให้ลืมเรื่องราวในอดีต

แน่นอนว่านั่นเป็นเพียงแค่การคาดเดาอย่างไร้หลักการของกู้เจียว ไม่ได้มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ใดๆ มาสนับสนุนทั้งนั้น

วันนี้หลงอีถือตะหลิวมาป้อนข้าวให้กู้เจียวที่กำลังพักฟื้น แต่ไม่ได้ให้นางหักดินสอ

ดึกมากแล้ว กู้เจียวตั้งใจว่าจะกลับแล้ว จึงไปหาองค์หญิงซิ่นหยางเพื่อขอตัวลาและกล่าวขอบคุณ

องค์หญิงซิ่นหยางคัดอักษรอีกแล้ว

ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด จู่ๆ ในหัวของกู้เจียวก็มีภาพหนึ่งลอยขึ้นมา ภาพขององค์หญิงซิ่นหยางยามสาวกำลังคัดอักษรอยู่ริมหน้าต่างที่แสงอาทิตย์สาดส่อง เซียวลิ่วหลังตัวน้อยนั่งอยู่ตรงหน้านาง

องค์หญิงซิ่นหยางเอ่ย ‘หากคัดไม่จบพันตัว ไม่ต้องกินข้าว’

เซียวลิ่วหลังตัวน้อยกำพู่กันอย่างไม่สบอารมณ์ พยายามคัดอย่างเอาเป็นเอาตาย

เหตุใดถึงมีความคิดนี้น่ะหรือ ก็เพราะเซียวลิ่วหลังเคยบังคับให้นางคัดอักษรน่ะสิ นางสงสัยอยู่แล้วเชียวว่าตอนเด็กเขาคงถูกองค์หญิงซิ่นหยางเข้มงวดกวดขัน พอโตมาจึงระบายอารมณ์กับคนอื่นต่อ

กู้เจียวหยุดความคิดนั้นไว้ ก่อนจะเอ่ยกับองค์หญิงซิ่นหยาง “วันนี้ขอบพระทัยองค์หญิงยิ่งนัก”

แม้จะบอกว่าหลงอีเก็บนางกลับมาก็เถอะ แต่อย่างน้อยองค์หญิงซิ่นหยางก็ไม่ได้ทิ้งขวางนาง

องค์หญิงซิ่นหยางเอ่ยเสียงนิ่ง “ไม่ต้องขอบคุณหรอก ชีวิตเจ้ามีราคา ไหนยังจะต้องรักษาอาการป่วยให้ข้าอีก”

กู้เจียว “…”

ที่นางพูดก็มีเหตุผล กู้เจียวไม่รู้จะตอบกลับอย่างไร

“ข้าขอตัวลา” กู้เจียวหันหลังเดินออกจากห้องไป

องค์หญิงซิ่นหยางที่กำลังคัดอักษรอยู่จู่ๆ ก็โพล่งขึ้นมา “นางหนู”

“เอ๊ะ” ฝีเท้าของกู้เจียวหยุดลง เหลียวไปมองนางด้วยความสงสัย “องค์หญิงมีเรื่องอะไรหรือเพคะ”

องค์หญิงซิ่นหยางถาม “คนอย่างเจ้าเป็นหมอได้อย่างไร”

ไม่ใช่น้ำเสียงกังขา ทั้งยังมิใช่น้ำเสียงดูถูกดูแคลน แต่เป็นน้ำเสียงใคร่รู้ล้วนๆ

กู้เจียวชะงักไป “…ข้าเป็นคนอย่างไรหรือ”

องค์หญิงซิ่นหยางตอบ “ไม่ต้องถามข้า ถามตัวเจ้าเองสิ”

นี่เป็นครั้งที่สองของค่ำวันนี้ที่องค์หญิงซิ่นหยางพูดจาแปลกประหลาดกับนาง นางคิดว่าองค์หญิงซิ่นหยางคงไม่ได้คิดเช่นนั้นเพราะเห็นนางในสภาพเลือดอาบไปทั้งร่าง

หรือว่าเมื่อครู่ตอนที่นางหมดสติไปดันพูดอะไรออกมา

จากนั้นองค์หญิงซิ่นหยางก็เลยล่วงรู้ความลับของนางอย่างนั้นหรือ

เงามืด…กระหายเลือด

ชื่อเสียงของนางเป็นที่เลื่องลือภายในองค์กร จึงไม่มีใครกล้าหาเรื่องนาง

มีเพียงอาจารย์เท่านั้นที่รู้ นางไม่ใช่คนกระหายเลือดอย่างที่ใครเขาว่ากัน นางแค่ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ก็เท่านั้น เลือดทำให้นางคลุ้มคลั่ง ในชาติก่อนนางฝ่าด่านมากมายเพื่อฝึกฝนตนเอง จนนางสามารถควบคุมมันได้เป็นอย่างดี แต่เหตุการณ์เสียความควบคุมเช่นค่ำวันนี้นั้นเกิดขึ้นได้น้อยมาก

ใครจะไปคาดคิดกันว่าจะองค์หญิงซิ่นหยางจะเห็นเข้า

หากจะพูดให้ถูกก็คือ หลังจากหลงอีช่วยนางกลับมา องค์หญิงซิ่นหยางได้เห็นสภาพนางยามเสียสติแล้ว

เพียงแต่โชคดีที่หลงอีเก็บนางกลับมา หากยังปล่อยให้นางอยู่กับหลิ่วอีเซิงและหยวนถังละก็ ไม่แน่ว่านางอาจจะ…สองคนนั้นแล้วก็เป็นได้

กู้เจียวเหลียวไปมององค์หญิงซิ่นหยาง “ท่านไม่กลัวข้าหรือ”

องค์หญิงซิ่นหยางมองกู้เจียวด้วยความประหลาดใจ “เหตุใดข้าต้องกลัวเจ้าด้วย”

เพราะข้าเป็น…

ตัวประหลาด

‘ทำไมฉันถึงได้คลอดตัวประหลาดอย่างแกออกมา!’

‘แกไสหัวไปเดี๋ยวนี้นะ!’

‘ถอยห่างจากน้องสาวแก!’

หญิงคนหนึ่งอุ้มทารกน้อยไว้ในอ้อมกอด ผลักกู้เจียวในวัยเด็กจนล้มลงกับพื้น

ใบหน้าอ่อนวัยของเธอเพิ่งจะถูกหญิงคนนั้นตบเข้าที่บ้องหู ดวงแก้มบวมเป่งนูนเป็นลูกมะนาว ทว่าเธอกลับไม่ร้องไห้ ถูกคนเป็นแม่ผลักจนล้มก้นจ้ำเบ้าก็ไม่ร้องไห้

เธอเก็บกล่องใบน้อยที่ร่วงตกลงบนพื้น ตะเกียกตะกายลุกขึ้น ยื่นมันให้กับเด็กน้อยในอ้อมกอด ‘ของขวัญให้…ให้น้องสาว’

ฝ่ามือของหญิงคนนั้นปัดกล่องกระเด็น มองเธอในวัยด้วยสายตาเกลียดชัง ‘ใครอยากได้ของขวัญจากแกกัน! ไสหัวไป!’

หญิงคนนั้นกดโทรศัพท์ทั้งที่ตัวสั่นงันงก ร้องตะโกนเสียงโหยหวน ‘เจ้าคนแซ่กู้! มารับลูกสาวแกไปเดี๋ยวนี้!’

‘เจียวเจียว พ่อมารับลูกกลับแล้วนะ’

ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ใบหน้าหล่อเหลาพูดกับเด็กน้อยตรงหน้าด้วยน้ำเสียงกระอักกระอ่วนแต่ยังคงร้อยยิ้มไว้

ฤดูหนาวปลายปี เธอยืนเท้าเปล่าบนพื้นอันเย็นเฉียบ กอดของขวัญที่น้องสาวไม่ต้องการไว้ในอ้อมอก

ใบหน้าของเธอสะสวย เพียงแต่สกปรกมอมแมม

เธอถามชายคนนั้น ‘กลับไปอยู่บ้านคุณพ่อหรือคะ’

สีหน้าของชายคนนั้นดูลนลาน ทว่าเธอในวัยเด็กนั้นไม่อาจสังเกตเห็น

ชายคนนั้นหัวเราะเจื่อน ‘พ่อ…ที่บ้านพ่อมีน้องชายตัวเล็กๆ อยู่ด้วย ห้องไม่พอน่ะ พ่อจะพาหนูไปอยู่บ้านคุณย่า’

‘อ๋อ’ กู้เจียวก้มหน้าลูบตุ๊กตาในอ้อมกอด นี่เป็นตุ๊กตาที่เธอเย็บเองกับมือ ปากกว้างอาบเลือด มีฟันแหลมคม แถมยังมีตาข้างหนึ่งหลุดออกมาแถมหัวยังโล้นไร้เส้นผม

ชายคนนั้นยกมือขึ้นราวกับกำลังจะลูบหัวของเธอ

เธอเงยหน้าขึ้น รอให้เขาลูบหัวอย่างแสนว่าง่าย

เธอรู้ว่าพ่อกำลังโกหก บ้านของพ่อนั้นใหญ่จะตายไป น้องชายก็มีแค่คนเดียว จะไม่มีที่อยู่ได้อย่างไร

แต่ถ้าพ่อลูบหัวเธอ เธอจะให้อภัยพ่อ

แต่ถ้าพ่อลูบไม่ถึง เธอจะเขย่งเท้าให้ก็ได้

เธอพยายามเขย่งปลายเท้าบนพื้นอันเย็นเฉียบ

รีบลูบเร็วสิ รีบลูบเร็วสิ เธอเตรียมพร้อมแล้ว!

แต่ชายคนนั้นกลับกลืนน้ำลายลงคอ ฝ่ามือนั้นไม่ได้สัมผัสลงมา แต่ทำท่าราวกับกำลังลูบหัวเธออย่างไรอย่างนั้น ก่อนจะชักมือกลับในทันที

ราวกลับว่าหากสัมผัสปลายผมของเธอเพียงเส้นเดียวก็จะติดเชื้ออย่างไรอย่างนั้น

ชายคนนั้นยิ้มอย่างรักใคร่ ‘พ่อสัญญากับหนู หลังปีใหม่พ่อจะไปรับหนูกลับมา’

เธอรอตั้งแต่อายุสามขวบจนอายุหกควบ รอแล้วรอเล่ามาสามปี แต่ก็ไม่มีใครมารับ

หลังจากนั้นเธอถึงได้รู้ว่า คนเป็นพ่อที่ทำได้ทุกอย่าง คนที่กล้าหาญในสายตาเธอนั้น…ความจริงแล้วก็กลัวเธอเหมือนกัน