บทที่ 419 สารภาพ (1)

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 419 สารภาพ (1)

ม่านราตรีปกคลุมลงมา

ในที่สุดจอหงวน ปั่งเหยี่ยน ทั่นฮวาที่ง่วนอยู่กับงานในคณะองคมนตรีกันทั้งคืนก็ทำงานกันเสร็จเรียบร้อยเสียที

ทั้งสามคนออกมาจากศาลาองคมนตรี อันจวิ้นอ๋องนั่งรถม้าบ้านตัวเองกลับจวน

รถม้าของสำนักฮั่นหลินจอดอยู่หน้าศาลาองคมนตรี เตรียมส่งหนิงจื้อหย่วนกับเซียวลิ่วหลังกลับบ้านตามลำดับ

หนิงจื้อหย่วนเหนื่อยอ่อนหมดเรี่ยวแรงแล้ว อยากจะนั่งรถม้าของสำนักฮั่นหลินกลับบ้านให้รู้แล้วรู้รอด ทว่าม้าของเขายังจอดอยู่ที่สำนักฮั่นหลิน หากคืนนี้ไม่ขี่ม้ากลับบ้าน พรุ่งนี้ก็คงจะมาเข้าเวรที่สำนักฮั่นหลินไม่ได้แล้ว

ให้เดินมาก็ไกลแสนไกล จะจ้างรถม้าก็แพงแสนแพง

หนิงจื้อหย่วนทอดถอนใจอย่างจนใจ “ช่างเถิด ข้ากลับไปที่สำนักฮั่นหลินก่อนดีกว่า จะได้ขี่ม้าของข้ากลับบ้าน”

เซียวลิ่วหลังมองเขา “เจ้าอย่าขี่ม้าตอนที่ยังเหนื่อย”

หนิงจื้อหย่วนโบกมือปัดๆ “ไม่เป็นไร ไม่ได้ไกลมากหรอก”

รถม้าเคลื่อนตัวไปทางสำนักฮั่นหลิน

“จริงสิ” หนิงจื้อหย่วนเอ่ยขึ้นอีก “เจ้ารู้สึกหรือไม่ว่าราชเลขาหยวนให้ความสำคัญกับเจ้ามาก”

“อย่างนั้นรึ” เซียวลิ่วหลังเอ่ย

หนิงจื้อหย่วนเอ่ยอย่างมั่นใจ “ใช่น่ะสิ! วันนี้ราชเลขาหยวนพูดกับข้าสามหน พูดกับอันจวิ้นอ๋องห้าหน รวมๆ กันแล้วยังไม่เท่าที่พูดกับเจ้าเลย!”

เซียวลิ่วหลังไม่ได้สังเกตเรื่องนี้เลย

หนิงจื้อหย่วนเอ่ยต่อ “แถมข้ายังสังเกตเห็นว่าเขามักจะมองเจ้าด้วย”

เซียวลิ่วหลังมองเขาด้วยความแปลกใจ “วันนี้เจ้าได้ตั้งใจทำงานบ้างหรือไม่”

หนิงจื้อหย่วนถอนหายใจอีกเฮือก “งานน่ะเจ้ากับอันจวิ้นอ๋องสองคนทำกันเสร็จแล้ว พูดตรงๆ เลยว่าข้าไม่ได้ทำอะไรมากมายจริงๆ”

ที่วันนี้ราชเลขาหยวนเรียกพวกเขาไปที่ศาลาองคมนตรี หลักๆ ก็เพราะช่วยจัดการฎีกาที่เกี่ยวกับกฎหมายของแคว้นเจา แคว้นเจาเปิดแคว้นมาสองร้อยปี กฎหมายบางฉบับถูกตราขึ้นเมื่อตั้งแคว้นแรกๆ ตามสภาพบ้านเมืองในขณะนั้น ทว่าเอามาใช้ยามนี้กลับไม่เหมาะสมแล้ว

ฮ่องเต้แคว้นเจาแทบจะทุกพระองค์ล้วนจัดการแก้ไขกฎหมายใหม่

แน่นอนว่าฮ่องเต้ไม่มีทางไปปรับปรุงแก้ไขด้วยพระองค์เองอยู่แล้ว ล้วนเป็นคณะองคมนตรีที่ร่างขึ้นมาแล้วกราบมทูลให้ฮ่องเต้ตรวจสอบอีกที

ทว่าก่อนที่ศาลาองคมนตรีจะเริ่มร่างต้องรับฟังความเห็นของชาวเมืองก่อน ส่วนเสียงของชาวเมืองเหล่านี้จะผ่านทางขุนนางท้องถิ่นทีละเสียงทีละคน วันนี้สิ่งที่พวกเขาสามคนทำก็คือการจัดเรียงเนื้อหาที่รายงานทีละรายการให้กลายเป็นฎีกาตามมาตรฐาน

หนิงจื้อหย่วนเข้าศาลาองคมนตรีเป็นครั้งแรก ตื่นเต้นไม่พอยังไม่ชำนิชำนาญสักเท่าใดด้วย สู้เซียวลิ่วหลังกับอันจวิ้นอ๋องที่สงบนิ่งมีประสบการณ์ไม่ได้เลย

อันที่จริงเซียวลิ่วหลังกับอันจวิ้นอ๋องก็มาช่วยงานที่ศาลาองคมนตรีเป็นครั้งแรกเช่นกัน แต่ทั้งคู่มีฐานะที่ไม่ธรรมดา วิชาความรู้กว้างไกล รู้ว่าควรทักทายขุนนางองคมนตรีอย่างไร ทั้งยังมีบารมีและน่าเชื่อถือ

หนิงจื้อหย่วนยักคิ้วหลิ่วตาเอ่ย “นี่ เจ้าว่า…ราชเลขาหยวนถูกใจเจ้าหรือไม่ อยากให้เจ้าไปเป็นหลานเขยเขาหรือเปล่า”

เซียวลิ่วหลังเอ่ยเสียงเรียบ “อย่าเพ้อเจ้อ”

หนิงจื้อหย่วนเอ่ย “ข้าไม่ได้เพ้อเจ้อนะ! ก่อนหน้านี้ลือกันว่าหลานสาวของราชเลขาหยวนจะแต่งงานกับอันจวิ้นอ๋องมิใช่หรือไร ต่อมาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นจึงไม่ได้แต่ง อันจวิ้นอ๋องจึงไปหมั้นหมายกับคุณหนูจวนอันติ้งโหวแทน คืนนี้ข้าสังเกตดีๆ แล้ว แววตาที่ราชเลขาหยวนมองอันจวิ้นอ๋องนั้นแปลกพิลึก! เขาคงจะโมโหที่อันจวิ้นอ๋องได้แล้วทิ้ง เอาเปรียบหลานสาวเขาแน่ๆ!”

เซียวลิ่วหลังไม่สนใจเรื่องของคนอื่นมาแต่ไหนแต่ไร เขาเอ่ยเสียงเรียบ “ข้าแต่งงานแล้ว”

หนิงจื้อหย่วนเอ่ย “ข้ารู้ว่าเจ้าแต่งานแล้ว แต่ราชเลขาหยวนรู้รึ คราก่อนเจ้ากรมยุติธรรมนั่นมาหาเจ้าหมายจะหมั้นหมายเจ้ากับลูกสาวเขาอยู่เลยมิใช่รึ”

เซียวลิ่วหลังถลึงตาใส่เขา “หมู่นี้เจ้าคงว่างมากจริงๆ”

ซุบซิบนินทาไปทั่ว!

เซียวลิ่วหลังไม่ได้ใส่ใจกับคำพูดหนิงจื้อหย่วนเลย เพราะไม่ว่าราชเลขาหยวนจะสนใจเขาจริงๆ หรือไม่ ก็ไม่ใช่เพราะเรื่องที่อยากจะหมั้นหมายเขากับหลานสาวแน่ๆ

เพราะราชเลขาหยวนกับจี้จิ่วอาวุโสแอบคุยเรื่องแต่งงานกันอย่างลับๆ แล้วนี่นา

เซียวลิ่วหลังกลับถึงตรอกปี้สุ่ยก็ดึกดื่นค่อนคืนแล้ว เขาพบคนคนหนึ่งยืนอยู่หน้าประตูอย่างคาดไม่ถึง คนผู้ นั้นสวมชุดคลุมยาวสีอ่อน ยืนอยู่เดียวดายใต้แสงจันทราสีเงิน

เซียวลิ่วหลังเดินเข้าไปใกล้ จึงรู้ว่าเขาคือหลิ่วอีเซิงที่มีวาสนาที่นำพาให้มาเจอกันเพียงครั้งเดียว

หลิ่วอีเซิงเป็นเด็กกำพร้าของตระกูลหลิ่ว เขาเป็นเหมือนหนูตามท้องถนนที่ทุกคนพากันตะโกนไล่ทุบตีในเมืองหลวง แต่ในขณะเดียวกันเขาก็เป็นคนไข้ของกู้เจียวเช่นกัน

เสี่ยวจิ้งคงเคยพบกับโอรสของอวี้ชินอ๋องทูตแห่งแคว้นเหลียงแล้วเจอกับพวกโจรลักเด็กเข้า ก็ได้หลิ่วอีเซิงที่ยืนหยัดต่อสู้เพื่อความยุติธรรม ส่งเด็กทั้งสองคนไปที่โรงหมอ

อวี้ชินอ๋องมอบทองคำมหาศาลเป็นการขอบคุณเขา และเขาก็รับไว้

ทว่าเมื่อเซียวลิ่วหลังไปขอบคุณเขาบ้าง กลับถูกเขาปฏิเสธ

เขาบอกว่า ‘หมอกู้รักษาให้ข้า หาใช่ลดค่ารักษาให้แต่เป็นไม่คิดค่ารักษาเลย ข้าติดหนี้บุญคุณหมอกู้อยู่ จึงไม่อาจรับคำขอบคุณของเจ้าได้’

ประโยคนี้ทำให้เซียวลิ่วหลังมีภาพจำที่ลึกซึ้งต่อหลิ่วอีเซิง

“เจ้ามาทำอะไรรึ” เซียวลิ่วหลังเดินเข้าไปถาม

หลิ่วอีเซิงเห็นเซียวลิ่วหลังตั้งแต่ตอนที่เขาเข้าตรอกมาแล้ว ไม่ใช่ว่าเขาไม่คิดจะหลบ แต่สุดท้ายเขาก็ยังรั้งอยู่ต่ออยู่ดี

เขาอ้าปากพะงาบเอ่ย “ข้า…”

แขนเสื้อเขาไม่ได้ยาว เซียวลิ่วหลังกวาดตามองไปจึงสังเกตเห็นมือที่พันผ้าพันแผลของเขา นอกผ้าพันแผลคล้ายยังมีคราบเลือดซึมออกมาอยู่เลย

เซียวลิ่วหลังเอ่ย “ดึกเพียงนี้แล้ว หากเจ้าจะรักษาแผลก็ไปเมี่ยวโส่วถังได้ ที่นั่นมีหมอที่เข้าเวรอยู่”

หลิ่วอีเซิงไม่ได้มาเพื่อรักษาแผล

เพียงแต่เขายากที่จะอธิบายกับเซียวลิ่วหลังว่าตัวเองมาทำอะไร

เขาไม่ได้อยากให้เซียวลิ่วหลังเข้าใจผิด

ในขณะที่เขาลังเลว่าจะใช้ถ้อยคำอย่างไรดีนั้น รถม้าคันหนึ่งก็มาจอดอยู่อีกฝั่งของตรอก

กู้เจียวลงจากรถม้าเดินมายังบ้านตัวเอง

นางเห็นบุรุษสง่าผ่าเผยดั่งต้นหยกลู่ลมสองคนยืนนิ่งอยู่หน้าประตู เผชิญหน้ากันด้วยบรรยากาศแปลกพิกล นางก็พลันตกใจขึ้นมา

ภาพนี้ค่อนข้างเจริญหูเจริญตาไม่น้อย

เซียวลิ่วหลังมองนางนิ่ง แฝงไว้ด้วยการสังเกตสังกาหลายส่วน เวลานี้เขานึกว่านางพักผ่อนไปนานแล้ว ใครจะไปคิดว่าเพิ่งจะกลับมา

อีกทั้งเสื้อผ้าอาภรณ์ของนางนั้น…เห็นได้ชัดยิ่งว่าไม่ใช่ชุดที่นางใส่ออกจากบ้านไปเมื่อเช้า และไม่ใช่ชุดใดๆ ที่ใส่ที่บ้านด้วย

ในแววตาของหลิ่วอีเซิงก็สังเกตเห็นไม่ได้น้อยไปกว่าเซียวลิ่วหลัง ตอนที่กู้เจียวถูกคนลักพาตัวไปแล้วสลบไม่ฟื้น ยามนี้ราวกลับคืนมาเป็นดังเดิมแล้วรึ

เหมือนกับที่หยวนถังบอกจริงๆ ยอดฝีมือคนนั้นไร้เจตนาร้ายกับกู้เจียว เป็นไปได้มากที่จะเป็นคนที่กู้เจียวรู้จัก

“สามี” กู้เจียวเรียกเซียวลิ่วหลัง “ดึกดื่นเพียงนี้แล้ว พวกเจ้าสองคนมายืนทำอะไรตรงนี้กันรึ”

“เจ้าถามเขาสิ” คนบางคนที่ถูกเรียกด้วยสถานะก็อารมณ์ดีขึ้นมาเล็กน้อย เอ่ยกับหลิ่วอีเซิง “เข้ามานั่งก่อนเถิด”

หลิ่วอีเซิงกลับไม่ตอบรับ “ไม่ดีกว่า ข้าแค่มาขอหมอกู้ให้ดูอาการสักหน่อย อีกเดี๋ยวก็กลับแล้ว”

เซียวลิ่วหลังไม่รบเร้าต่อ เขาหันหลังเข้าเรือนไป ก่อนจะจุดโคมไฟในเรือนขึ้น

สายตากู้เจียวตกลงบนมือขวาของเขา “มือของเจ้า…”

หลิ่วอีเซิงมองมือขวาที่มีผ้าพันแผล “ข้าไม่เป็นไรหรอก”

กู้เจียวถามว่า “เย็บแล้วรึ”

หลิ่วอีเซิงมองนางอย่างฉงน “เจ้าเป็นคนเย็บเอง จำไม่ได้รึ”

กู้เจียวคล้ายกำลังนึกบางอย่างอยู่ “…เหมือนจะจำได้บ้าง”

หลิ่วอีเซิงเม้มปาก “เจ้า…มักจะเป็นเช่นนี้บ่อยๆ รึ ข้าหมายถึงไม่รู้สึกตัว”

กู้เจียวส่ายหน้า “ไม่บ่อยหรอก คืนนี้เป็นกรณีพิเศษ”

หลิ่วอีเซิงอ้าปากคล้ายอยากจะเอ่ยบางอย่างแต่ก็ยั้งไว้

สุดท้ายเขาก็ไม่ได้ถาม

เขาเอ่ย “กล่องยากับตะกร้าของเจ้าข้าส่งไปที่โรงหมอแล้ว”

ตอนที่ยอดฝีมือพาตัวนางไปนั้นพาไปแต่ตัวนาง ไม่ได้เอาข้าวของบนพื้นไปด้วย เขาจึงไปสืบข่าวและที่พักของนางที่โรงหมอ แล้วแวะเอาตะกร้ากับกล่องยาไปให้เถ้าแก่รองด้วย

กู้เจียวหยักยกมุมปาก “ขอบคุณมาก”

กู้เจียวตรวจแผลให้เขา นางกังวลว่าในสถานการณ์แบบนั้นนางจะเย็บแผลไม่สนิท แต่ความจริงได้พิสูจน์แล้วว่ากล้ามเนื้อของนางจดจำได้ดียิ่ง การทำหัตถการจึงเรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบ

กู้เจียวกำชับข้อควรระวังนิดหน่อย ให้พรุ่งนี้เขาไปล้างแผลที่โรงหมอ

จู่ๆ หลิ่วอีเซิงก็มองนางอย่างลึกซึ้งพลางเอ่ยถาม “แล้วเจ้าเล่า เจ้าไม่เป็นอะไรจริงๆ น่ะหรือ ยอดฝีมือคนนั้น…”

“เขา…” กู้เจียวครุ่นคิดก่อนเอ่ย “เป็นสหายของสามีข้าเอง”

จะเปิดเผยตัวตนของหลงอีกับเซียวลิ่วหลังไม่ได้ ขอเรียกว่าสหายก็แล้วกัน

หลิ่วอีเซิงจึงวางใจได้สนิท “เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน”

หลิ่วอีเซิงออกมาจากตรอกปี้สุ่ย ไปยังรถม้าที่ดูไม่สะดุดตาที่จอดบนถนนเสวียนอู่

รอบๆ รถม้ามีองครักษ์ลับหลบซ่อนตัวอยู่จำนวนมาก

หยวนถังนั่งอยู่ตรงนั้น

เมื่อครู่หลังจากจัดการองครักษ์ลับกลุ่มนั้นเสร็จ หยวนถังก็รีบกลับไปที่วังหลวง แล้วเรียกยอดฝีมือแคว้นเฉินมา

เพียงแต่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายถูกกู้เจียวกับยอดฝีมือสวมหน้ากากคนนั้นฆ่าไปแล้วหรือไม่ ตลอดทั้งคืนจึงไม่ได้ลงมือกับเขาอีก

หลิ่วอีเซิงขึ้นรถม้ามา

หยวนถังเลิกคิ้วเอ่ย “เป็นอย่างไรบ้าง เด็กสาวคนนั้นไม่เป็นไรกระมัง”

หลิ่วอีเซิงเอ่ย “ปลอดภัยดี”

หยวนถังเอนหลังพิงเบาะอย่างเกียจคร้าน “ข้าบอกแล้วว่านางไม่มีทางเป็นอะไรหรอก ตอนที่ยอดฝีมือนั่นช่วยนางหนีไป เขาระมัดระวังมาก เหมือนกับแววตาของท่านพี่ที่ข้าเห็นอยู่ทุกคราเลย”

หลิ่วอีเซิงอยากจะถีบไอ้เด็กหน้าไม่อายคนนี้ลงจากรถม้ายิ่งนัก