ในเดือนห้าฟ้าจะมืดค่อนข้างช้า ขณะที่ชาวบ้านในเมืองพาครอบครัวออกไปที่เขตนอกเมืองก็เป็นช่วงเวลาโพล้เพล้พอดี
“เลิกกินได้แล้ว เลิกกินได้แล้ว พวกท่านขุนนางยังรออยู่นะ!” เจ้าหน้าที่ของหลี่เจิ้งที่มารวบรวมคนเข้ามาเร่งคนที่นั่งทานนข้าวเย็นอยู่ในบ้าน
ชายที่ถูกเร่งวางชามขนาดใหญ่ที่ถูกเคลือบแบบหยาบวางลงบนโต๊ะ พร้อมกับเอ่ยขึ้นอย่างไม่พอใจ “ทำอะไรกันเนี่ย ข้าไม่เชื่อหรอกว่าจะมีเทพอะไรมาเข้าฝัน อย่ามาทำให้ข้ากินข้าวอย่างไม่เป็นสุข”
“พอได้แล้ว เลิกบ่นเถอะ หมูสองตัวที่เจ้าเลี้ยงแล้วเอาไปไม่ได้อาจได้รับเงินชดเชยอีกไม่น้อยนะ”
เมื่อชายผู้นั้นได้ยินก็ไม่พูดพร่ำอะไรต่อ เช็ดปาก พลางหาบของสัมภาระไปอย่างเต็มไม้เต็มมือ แล้วเดินออกไปพร้อมกับภรรยาและลูก
พอเดินไปถึงหน้าประตู ชายผู้นั้นก็ชำเลืองมองหมูตัวอวบอ้วนสองตัวในเล้าที่ส่งเสียงฟึดฟัดอย่างตัดใจไม่ลง หลังจากนั้นถึงได้ลงกลอนบ้าน
มีชาวบ้านจำนวนไม่น้อยที่ไม่พอใจเช่นนี้ โดยเฉพาะเมื่อทุกคนถูกพาไปยังทุ่งกว้างสภาพทุรกันดาร ความรู้สึกไม่พอใจก็ยิ่งคุกรุ่นยิ่งขึ้น
“ไม่นะ คืนนี้จะต้องนอนในที่ทุรกันดารเช่นนี้หรือ”
“จริงด้วย ไหนบอกว่ามีกระโจมไม่ใช่รึ นอนกันแบบนี้มันให้อาหารพวกยุงพวกแมลงกันชัดๆ”
“ท่านแม่ ข้าอยากกลับบ้าน…” เสียงเด็กร้องไห้ดังขึ้นมา ทำให้ใต้เท้ายิ่งอยู่ไม่เป็นสุข
มีคนจำนวนไม่น้อยลุกขึ้นมา “ไม่ได้ ต้องไปถามหลี่เจิ้ง จัดการดูแลพวกเขาเช่นนี้ไม่ได้นะ!”
ผู้ที่ถูกแต่งตั้งให้มาควบคาดูแลถูกคนกลุ่มหนึ่งล้อมไว้ตรงกลาง มีทั้งคนตัวเล็กตัวใหญ่
“หลี่เจิ้ง จะนอนกันอย่างนี้ไม่ได้นะ ถึงแม้ว่าจะเข้าเดือนห้าแล้ว ทว่าตอนดึกมันก็ยังอากาศชื้น ทั้งยุงทั้งแมลงก็เยอะ ถึงผู้ใหญ่จะทนได้แต่เด็กทนไม่ได้นะ”
“ใช่ ใช่ กลับไปจะดีเสียกว่า มีเตียงนอนดีๆ ไม่นอน จะมานอนที่ทุรกันดารเช่นนี้ทำไมกัน”
หลี่เจิ้งถูกว่ากล่าวจนเวียนหัวตาลาย จึงตะโกนออกไป “ขอทุกคนได้โปรดอยู่ในความสงบ พวกใต้เท้าได้ไปจัดทหารมาตั้งค่ายให้พวกเราแล้ว รออีกหน่อยเถอะนะ”
“ฟ้าใกล้จะมืดแล้ว เหล่าทหารจะมาได้หรือ หลี่เจิ้ง พวกใต้เท้าต้องหลอกลวงแน่”
หลี่เจิ้งแทบจะไม่เหลือศักดิ์ศรีแล้ว แต่ก็ทำหน้าจริงจังพูดออกไป “พวกท่านอย่าได้พูดมั่วซั่ว ใต้เท้าทั้งหลายจะหลอกข้าได้อย่างไร”
ชาวบ้านในเมืองทำเสียงไม่สบอารมณ์ออกมาพร้อมกัน
ใต้เท้าทั้งหลายหลอกพวกเขาชาวบ้านธรรมดาต่างหากล่ะ
หลี่เจิ้งกระแอมเสียงออกมา “อะแฮ่มอะแฮ่ม ข้าหมายความว่าแม้ใต้เท้าทั้งหลายจะหลอกพวกเรา ทว่าไท่จื่อกับท่านอ๋องไม่มีทางทำแน่ บุคคลชั้นสูงขนาดนั้นต้องทำได้อย่างที่พูดอยู่แล้ว ไม่อาจพูดจาเหลวไหลได้หรอก อีกอย่าง ท่านอ๋องบอกทุกคนแล้วไม่ใช่หรือว่าจะมีการสงเคราะห์เงินให้ หมูหนึ่งตัวจะได้หนึ่งตำลึง แล้วให้เงินสงเคราะห์อีกตั้งสองตำลึงเชียวนะ นี่มันคุ้มค่าเสียยิ่งกว่าเลี้ยงหมูไปถึงปีใหม่แล้วฆ่ามันซะอีก พวกเจ้าว่าไหมล่ะ”
เมื่อได้ยินหลี่เจิ้งยกเรื่องเงินสงเคราะห์มาพูด เสียงต่อต้านเหล่านั้นก็เริ่มอ่อนลง
หลี่เจิ้งชมเยี่ยนอ๋องอยู่ในใจว่าเยี่ยมมาก การจัดการบำรุงขวัญผู้คนให้อยู่หมัดไม่มีอะไรได้ผลไปกว่าการใช้เงินแล้ว มันเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่ในอดีต
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นก็ทนก่อนแล้วกัน”
“อืม อดทนไว้ ยังไม่ได้รับเงินเลย”
“ถ้าหากว่า…ไม่ให้จะทำอย่างไร”
ขณะที่ชาวบ้านในเมืองกำลังพึมพำ เสียงฝีเท้ากลุ่มหนึ่งดังเข้ามา
“รีบมาดูเร็ว เหล่าทหารมาแล้ว!”
ไม่นานกองทหารก็ใกล้เข้ามา พร้อมกับนำสัมภาระเดินมาข้างหน้า
เมื่อเห็นพลทหารเยอะขนาดนี้ ชาวบ้านในเมืองกลับไม่กล้าพูดอะไรออกมา ได้แต่มองเหล่าทหารตั้งกระโจมบนพื้นที่โล่งขึ้นมาทีละอัน
ดวงตะวันเพิ่งจะลับขอบฟ้าไป ดวงดาวก็ลอยประดับขึ้นมาเต็มท้องฟ้า พื้นที่รกร้างที่เดิมเป็นทุ่งนามีกระโจมตั้งขึ้นมาหลายอัน
ต้องให้ผู้สูงอายุ สตรีและเด็กอยู่ก่อน ทว่าเมื่อแบ่งเสร็จแล้ว ยังมีชาวบ้านอีกครึ่งหนึ่งไม่มีกระโจมให้อยู่
อวี้จิ่นเป็นผู้นำเหล่าทหารมา และได้รับฟังคำพูดบ่นของผู้คนเหล่านี้ จากนั้นก็ตะเบ็งเสียงพูดออกไป “กระโจมมีจำนวนจำกัด ต้องลำบาททุกท่านแล้ว”
เมื่อเผชิญหน้ากับท่านอ๋องที่สง่าผ่าเผย บรรดาผู้ร้องทุกข์ก็ไม่กล้าบ่นออกมา มีคนในกลุ่มเอ่ยถามขึ้น “ท่านอ๋อง พวกเราต้องอยู่ที่นี่นานเท่าไหร่หรือพ่ะย่ะค่ะ”
“น้อยสุดสองวัน มากสุดห้าวัน”
เมื่อทุกคนได้ยิน เสียงวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ นาๆ ก็ดังขึ้นมาโดยพลัน
“ต้องอยู่ในที่ทุรกันดารนี้อีกตั้งหลายวันเลยรึ ถ้าหากฝนตกจะทำอย่างไร หรือหากฝนไม่ตก พอถึงตอนดึกกระโจมพวกนี้จะกันพวกยุงและแมลงได้หรือ อีกทั้งตอนกลางวันก็คงจะร้อนจนแทบไหม้…”
“ใช่ นี่มันทรมานเกินไปแล้ว กลับไปดีกว่า…”
อวี้จิ่นขมวดคิ้วแน่น
ความเห็นใจของเขานั้นมีขีดจำกัด อะไรที่ควรทำก็ทำแล้ว ถ้าหากมีคนดื้อด้านอยากจะกลับไป เขาก็ไม่อาจห้ามได้
“ข้าได้รับการเตือนจากเทพจริงๆ บอว่าเมืองจิ๋นหลี่จะเกิดแผ่นดินไหวขึ้น เพื่อความปลอดภัยของทุกคนถึงได้ดูแลจัดการให้ทุกคนมาอยู่ที่นี่ ขอทุกคนอดทนสักสองสามวันเถิด จะลมพัด แดดส่อง หรือถูกยุงแมลงกัด อย่างน้อยก็ไม่อันตรายถึงชีวิต”
คนจำนวนหนึ่งแอบเบะปากอยู่เงียบๆ
ถ้าหากว่ามีอันตรายต่อชีวิต ลำบากนิดหน่อยก็คุ้มค่า แต่ใครจะรู้ว่ามันจะเกิดแผ่นไหวขึ้นหรือไม่
จิ๋นหลี่มีประชากรหนึ่งพันกว่าคน ผู้ที่เชื่อว่าเยี่ยนอ๋องมีเทพเข้าฝันมีครึ่งหนึ่ง และมีอีกไม่กี่คนที่ไม่เชื่อเรื่องพวกนี้
เงินบำรุงขวัญที่เยี่ยนอ๋องบอกว่าจะสงเคราะห์ให้ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้ คงไม่หลอกหลวงพวกเขาหรอกใช่หรือไม่
ขณะที่กำลังครุ่นคิด ก็ได้ยินอวี้จิ่นเอ่ยปากพูดขึ้น “ข้าได้นำเงินที่รับปากว่าจะให้ชาวบ้านทุกท่านมาแล้ว วันนี้จะให้ก่อนครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกครึ่งหนึ่งจะให้ก่อนที่ทุกคนจะออกไป ซึ่งหากผู้ใดออกไปก่อน จะไม่ได้รับ”
เมื่อได้ยินว่าจะให้เงินก่อนครึ่งหนึ่ง ทุกคนต่างก็ดีใจขึ้นมาทันที
ครึ่งเดียวก็ยังดี เดิมคือให้เพิ่มอีกเท่าหนึ่ง อันที่จริงให้เพียงครึ่งเดียวก็ได้ส่วนที่เสียหายไปคืนมาแล้ว…ไม่สิ แค่ครึ่งเดียวก็ก็กำไรแล้ว!
นี่เพิ่งจะเดือนห้าเอง หมูในเล้ายังผอมกะหร่องอยู่เลย เงินหนึ่งตำลึงนี้คำนวณจากราคาตอนที่ได้ขายออกไปจากคอก
เมื่อเห็นชาวบ้านล้อมรอบเข้ามาเพื่อรับเงิน อวี้จิ่นก็โล่งใจเล็กน้อย กว่าจะกลับไปถึงที่พักแห่งใหม่ท้องฟ้าก็มืดสนิทแล้ว
ถึงจะเข้ายามวิกาล ทว่าไท่จื่อกลับยังไม่นอน
“น้องเจ็ด ในที่สุดเจ้าก็กลับมาสักที”
“พี่รองยังไม่นอนอีกหรือ”
ไท่จื่อโบกมือปัด “นอนไม่หลับน่ะ”
เมื่อเปลี่ยนมาพักที่เมืองอูจี ไท่จื่อก็ยิ่งอยากกลับไปที่เมืองหลวง
เมืองอูจีนั้นอยู่ไม่สบายเท่ากับที่เมืองจิ๋นหลี่ ลูกสาวของผู้มีฐานะในเมืองอูจีก็ไม่สวยเท่าลูกสาวของผู้มีฐานะในเมืองจิ๋นหลี่…
“อืม ข้าขอตัวไปนอนก่อน” อวี้จิ่นไม่เหมือนไท่จื่อที่รู้สึกเบื่อทั้งวัน กลางวันเขาไปปลอบขวัญผู้ประสบภัยที่เมืองเฉียนเหอ ตอนเย็นก็ไปปลอบขวัญชาวบ้านที่เมืองจิ๋นหลี่ มัวแต่ยุ่งเรื่องนู่นนั่นนี่ไปมา บอกได้เลยว่ามันทำให้เขาเหนื่อยล้าทั้งกายและใจ
เมื่อเห็นอวี้จิ่นจะไปอาบน้ำเข้านอนแล้ว ไท่จื่อก็รีบเอ่ยถามออกไป “น้องเจ็ดเมืองจิ๋นหลี่จะเกิดแผ่นดินไหวขึ้นจริงหรือ”
ในค่ำคืนอันมืดมิด อวี้จิ่นอาศัยไฟในเรือนมองไปที่ไท่จื่อ หลังจากนั้นก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา “หากไม่เกิดแผ่นดินไหวจะดีที่สุด”
ถึงแม้เขาจะเชื่อคำพูดของอาซื่อแล้วนำคนออกมาจากเมือง แต่เขาก็ไม่คาดหวังให้พบเจอกับภัยพิบัติ
ภัยธรรมชาติสามารถทำลายบ้านเรือนที่ทุกคนสร้างมาทั้งชีวิตได้ภายในพริบตาเดียว ช่างโหดร้ายเสียจริง
ไท่จื่อคิดในความเป็นจริง “แต่ว่าหากไม่เกิดแผ่นดินไหว เสด็จพ่อจะตำหนิเจ้าแน่…”
อวี้จิ่นยิ้มออกมาอย่างไม่แยแส “ไม่เป็นไรหรอก ข้าเคยเข้าไปที่ฝ่ายข้าราชการพลเรือนตั้งสองครั้งแล้ว พี่รองข้าขอตัวไปอาบน้ำก่อนล่ะ”
เมื่อมองตามแผ่นหลังอวี้จิ่นที่ค่อยๆ ลับหายไปจากประตู ไท่จื่อรู้สึกอิจฉาเล็กน้อย
เหตุใดเจ้าเจ็ดถึงไม่กลัวเสด็จพ่อนะ
หางที่ปุกปุยกวาดผ่านไป ทำเอาไท่จื่อร้องตกใจขึ้นมา
“ใครกัน”
เอ้อร์หนิวเหลือบมองไท่จื่อด้วยสายตาดูถูกเหยียดหยาม พร้อมกับส่ายหางแล้วเดินออกไป
ไท่จื่อ “…”