เช้าวันรุ่งขึ้นท้องฟ้าแจ่มใส มีสายลมพัดโชยมาอ่อนๆ ชาวบ้านเมืองจิ๋นหลี่ที่พักอยู่ในพื้นที่ทุรกันดารแห่งนี้กำลังต่อแถวรอรับข้าวต้มจากเจ้าหน้าที่ ทุกคนดูท่าทางไร้ชีวิตชีวาเล็กน้อย
นอกเสียจากเด็กที่กระโดดโลดเต้นอย่างมีความสุขกลางทุ่งนา
เด็กที่เมื่อคืนงอแงอยากกลับบ้านวิ่งเล่นภายใต้ท้องฟ้าอันสดใส วิ่งไล่ตีกัน พลางส่งเสียงหัวเราะดังลั่น
มันทำให้อาการอยู่ไม่เป็นสุขของพวกใต้เท้าผ่อนคลายลงเล็กน้อย ทุกคนต่างถือถ้วยโจ๊กไว้ในมือ เจ้ามองข้า ข้ามองเจ้าอย่างใจลอย
“วันนี้ยังต้องไปทำนานะ” มีคนพูดขึ้น
เป็นเวลาเดือนห้าพอดี มีงานมากมายที่ต้องทำในทุ่งนา จะพักแม้แต่วันเดียวก็ไม่ได้
หลี่เจิ้งถูกล้อมไว้ด้วยคนหมู่มากอีกครั้ง
“หลี่เจิ้ง วันนี้ต้องไปปรับหน้าดินนะ”
“หลี่เจิ้ง ข้าต้องไปปลูกข้าวโพด ไม่อาจเสียเวลาอยู่เช่นนี้ได้”
“ใช่ หลี่เจิ้ง เจ้าพูดออกมาตามตรงเถอะ สุดท้ายแล้วพวกเราจะออกไปได้หรือไม่”
หลี่เจิ้งถูกถามจนเหงื่อท่วมหัว รู้สึกคล้ายกับจะเป็นลมแดด “ทุกท่านอย่าได้รีบร้อนไป ตอนนี้ยังเช้าอยู่ รอพวกใต้เท้ามาข้าจะลองถามดู”
คนจำนวนไม่น้อยเงยหน้าขึ้นมองฟ้า “เช้าบ้าอะไรกัน พระอาทิตย์ขึ้นแล้ว ปกติต้องหามจอบออกไปขุดหน้าดินตั้งแต่ฟ้ามืดแล้ว…”
“ปกติ ปกติ ปกติก็ไม่เกิดแผ่นดินไหวขึ้นนี่นา” หลี่เจิ้งรู้สึกรำคาญเล็กน้อย จึงบ่นพึมพำออกมา
เมื่อมีคนได้ยิน ก็มีคำถามตามมาอย่างไม่ขาดสาย “หลี่เจิ้ง เจ้าว่าที่เมืองของพวกเราจะเกิดแผ่นดินไหวขึ้นจริงหรือไม่”
หลี่เจิ้งกลืนน้ำลายอึกใหญ่
การตอบคำถามนี้แทบจะทำให้ปากเขาแห้งเหือดไปหมดแล้ว
ในที่สุดอวี้จิ่นก็ปรากฏตัวออกมา หลี่เจิ้งรีบเอ่ยขึ้น “ท่านอ๋อง ชาวบ้านกำลังร้อนใจเลยพ่ะย่ะค่ะ”
“ร้อนใจอะไรกัน”
หลี่เจิ้งยิ้มอย่างขมขื่น “ท่านอ๋องคงยังไม่รู้ เดือนห้าเป็นช่วงฤดูทำนา จำเป็นต้องใช้แรงงาน”
อวี้จิ่นไม่ได้คิดถึงเรื่องรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ พวกนี้เลย เมื่อได้ยินหลี่เจิ้งพูดเช่นนี้ จึงคิดไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดออกไป “ให้ชาวบ้านไปทำนานั้นไม่มีปัญหาหรอก แต่ว่าจัดการอะไรเสร็จแล้วห้ามลืมว่าต้องกลับมานอนที่นี่”
เนื่องจากกังวลว่าคนพวกนี้จะทำนาเสร็จแล้วตรงกลับไปที่บ้าน เขาจึงเอ่ยกำชับขึ้น “เวลาพลบค่ำ หลี่เจิ้งจำไว้ว่าจะต้องจัดคนไปตรวจเช็คจำนวนคน
หลี่เจิ้งเช็ดเหงื่อที่ไหลท่วมออกมา เอ่ยกระซิบขึ้น “ท่านอ๋อง ชาวบ้านในเมืองมีตั้งหนึ่งพันกว่าคน หากมีคนแอบกลับบ้านไป ไม่แน่อาจจะตรวจไม่พบ”
“พยายามอย่างเต็มที่แล้วกัน”
“พ่ะย่ะค่ะ” หลี่เจิ้งทำได้แต่เพียงพยักหน้า
“หลงต้าน เจ้าอยู่ที่นี่คอยช่วยเหลือหลี่เจิ้ง”
หลงต้านประสานมือขึ้นกลางอก “พ่ะย่ะค่ะ”
อวี้จิ่นมองบริเวณรอบๆ พร้อมกับพาเอ้อร์หนิวออกไป
รอจนถึงเวลาพลบค่ำ มีคนประมาณร้อยคนไม่กลับมาจริงๆ ด้วย
หลี่เจิ้งจนปัญญา จึงสั่งให้คนนำฆ้องกลับไปในเมืองเพื่อเคาะเรียก พูดเกลี้ยกล่อมให้คนกลับมาได้เจ็ดถึงแปดสิบคน
อวี้จิ่นอยู่ที่เมืองเฉียนเหอทั้งวันเอาแต่ยุ่งอยู่กับเรื่องจัดหาที่พักให้กับผู้ประสบภัยที่ออกจากเมืองมาใหม่ รอจนถึงตอนค่ำกลับมาที่เมืองอูจีถึงได้รับรายงานจากหลงต้าน
“ผู้ที่กลับเมืองจิ๋นหลี่หลังจากทำนาเสร็จมีสิบเอ็ดคนงั้นหรือ”
สิบเอ็ดคน มันคือจำนวนหนึ่งในสิบ
“ใช่ขอรับท่านอ๋อง ท่านว่าคนพวกนั้นโง่หรือไม่ ท่านคิดวางแผนแทนพวกเขาขนาดนี้แล้ว พวกเขายังจะกลับไปรนหาที่ตายอีก”
อวี้จิ่นยิ้ม “จะบังคับให้ทุกคนเชื่อเพียงเพราะความฝันเดียวได้อย่างไร”
หลงต้านพูดต่อ “หลังจากนั้นหลี่เจิ้งจึงได้นำคนไปพูดเกลี้ยกล่อมให้กลับมาได้เจ็ดถึงแปดสิบคน ยังมีอีกสิบกว่าคนที่ให้ตายยังไงก็ไม่ยอมมา”
อวี้จิ่นขมวดคิ้ว แล้วไปที่เรือนพักชั่วคราวเพื่อชะล้างตัว จากนั้นก็กลับห้องไปนอน
ค่ำคืนในฤดูร้อนช่างมีชีวิตชีวา ข้างหูได้ยินแต่เสียงนกเสียงแมลง
อวี้จิ่นนอนไม่หลับ นึกถึงเจียงซื่อขึ้นมา
ไม่รู้ว่าอาซื่อเป็นอย่างไร ท้องโตขึ้นแล้วหรือไม่ ยังขยับตัวได้สะดวกหรือไม่
ไม่มีเขาอยู่ข้างๆ จะนอนไม่หลับเหมือนเขาไหม
ในขณะเดียวกันเจียงซื่อก็นอนไม่หลับ
เมื่อนับเวลาที่อวี้จิ่นแยกไป นางก็รู้สึกเป็นห่วงอยู่ตลอด
เหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งที่สองอันโหดร้ายจะเกิดขึ้นวันไหนกันแน่ หรือว่ามันเกิดขึ้นไปแล้ว เพียงแต่ว่าข่าวสารยังมาไม่ถึงเมืองหลวง
เมืองหลวงกับเฉียนเหออยู่ไม่ไกลกันมากนัก หากเป็นเช่นนี้ ระยะทางแปดร้อยลี้บวกกับเรื่องเร่งด่วน พรุ่งนี้ก็อาจได้ยินข่าวแล้ว
นางเอามือลูบบริเวณหน้าท้องที่นูนขึ้นมา พลิกตัวอย่างระมัดระวัง
“คุณหนูไม่หลับหรือเจ้าคะ” อาเฉี่ยวที่นอนอยู่บนพื้นยันตัวลุกขึ้นมา นำหมอนอีกใบมาวางไว้ใต้เท้าเจียงซื่อ แล้วก็นวดที่น่องนางเบาๆ
เมื่อถึงช่วงเวลาท้องแก่ ตอนกลางคืนเจียงซื่อจะมีอาการเหน็บชาที่น่อง ตอนอวี้จิ่นอยู่ที่เรือนก็เป็นเขาที่นวดให้นาง
อาเฉี่ยวลุกขึ้นมาทำในสิ่งที่อวี้จิ่นมักจะทำให้ เจียงซื่อก็ยิ่งคิดถึงคนที่จากเรือนออกไปอยู่ข้างนอก
“ข้าง่วงแล้ว” นางจ้องไปที่มุ้งลายดอกไม้สีดำแดงพลางถอนหายใจออกมา แล้วหลับตาลงอีกครั้ง
…
ชาวบ้านเมืองจิ๋นหลี่นอนอยู่ที่ทุ่งกว้างอันรกร้างแห่งนี้มานานติดต่อกันสามวันแล้ว คนที่นอนอยู่ในกระโจมนั้นไม่เท่าไร ทว่าคนที่นอนข้างนอกนั้นมีตุ่มยุงแมลงกัดขึ้นเต็มตัว
ส่วนพวกเด็กๆ ที่ตอนมาถึงแรกๆ รู้สึกแปลกใหม่ก็ไม่มีความรู้สึกนั้นแล้ว เริ่มงอแงอยากกลับบ้าน
“ท่านแม่ ข้าอยากกินซาลาเปาเนื้อแล้ว ที่นี่มีแค่หมั่นโถวกับข้าวต้มอ่อนเท่านั้น”
“ตาแก่ ดูเหมือนนีนีจะเป็นไข้ ข้าบอกแล้วว่านอนในทุ่งกว้างนี้ไม่ได้ เด็กทนไม่ไหว…”
“คันจะตายอยู่แล้ว ข้าอยากอาบน้ำ!”
เสียงบ่นค่อยๆ ดังขึ้น
เมื่อถึงช่วงบ่าย จู่ๆ อากาศก็ผันแปร ฝนตกลงมาอย่างกะทันหัน
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ อย่าว่าแต่คนที่อยู่นอกกระโจมเลย แม้แต่คนที่หลบฝนอยู่ในกระโจมก็ทนไม่ไหวแล้ว
เมื่อเห็นฝนท่าจะตกหนัก คืนต่อไปกระโจมนี้จะทนได้หรือ
มีคนจำนวนมากตะโกนส่งเสียงโวยวายว่าจะกลับ
หลี่เจิ้งนึกถึงงานที่อวี้จิ่นมอบหมายให้ รีบเอ่ยขึ้นหน้าตั้งด้วยความกังวล “ห้ามไปนะ ท่านอ๋องบอกไว้แล้ว อีกห้าวันจะเกิดแผ่นดินไหวขึ้นในเมือง ซึ่งดูท่าว่าใกล้จะถึงเวลาแล้ว ทุกท่านอดทนต่ออีกหน่อยเถอะนะ
“อดทนงั้นหรือ” ชายร่างกำยำคนหนึ่งเอามือเช็ดหน้า “ฝนตกหนักขนาดนี้ คืนนี้จะนอนยังไง หลี่เจิ้ง หากเจ้าอยากทนก็ทนไป ข้าไม่ทนแล้ว!”
“ใช่ ไม่ทนแล้ว!” มีคนจำนวนไม่น้อยพูดเสริม
ผู้ที่โวยวายรวมตัวอยู่ด้วยกัน ฝ่าฝนไปข้างหน้า
อวีจิ่นที่รีบมาด้วยความรีบร้อนยืนอยู่ด้านหน้า เสื้อผ้าเปียกชุ่มไปด้วยน้ำฝน
“ท่านอ๋อง ไม่ว่าอย่างไรก็ตามคนพวกนี้ก็อยากจะกลับไป” หลงต้านรีบเข้ามารายงาน
อวี้จิ่นพยักหน้า พลางเช็ดน้ำฝนที่กำลังจะไหลเข้าตา ตะเบ็งเสียงถาม “ทุกท่านอยากกลับไปจริงหรือ”
เสียงฝนตกนั้นค่อนข้างดัง ทว่าเสียงของเขาราวกับดังผ่านเข้าไปในหูของทุกคน
ชายร่างกำยำตะโกนออกไป “ท่านอ๋อง พวกเราอยู่ที่มาหลายวันแล้ว ไม่เห็นจะเกิดแผ่นดินไหวขึ้นเลย ตอนนี้ฝนยังตกอีก ที่นี่ไม่อาจนอนได้ พวกเราอยากกลับบ้านแล้ว”
“ถ้าหากทุกท่านกลับไปตอนนี้ จะไม่ได้เงินบำรุงขวัญที่เหลืออีกครึ่งหนึ่งนะ” หลงต้านตะโกนพูดออกมา
ชายร่างกำยำส่ายหน้า “ข้ายอมไม่รับแล้วขอกลับไป ลูกของข้าไม่สบายแล้ว”
สตรีนางหนึ่งอุ้มเด็กไว้ในอ้อมอกยืนอยู่ข้างชายร่างกำยำ มีหมวกถักจากใบหญ้าคลุมศีรษะไว้ ใบหน้าแดงระเรื่อเนื่องจากอาการไข้ เบิกตาโตจ้องมองอวี้จิ่น
เมื่อสบตาเข้ากับดวงตาสีดำขลับราวกับองุ่นดำคู่นั้น อวี้จิ่นที่เยือกเย็นใจอ่อนเล็กน้อย “หนึ่งตำลึง”
“อะไรนะ” ทุกคนต่างไม่เข้าใจ
อวี้จิ่นเอ่ยเสียงเรียบ “นับเป็นคนๆ ไป นอกจากเงินบำรุงขวัญที่บอกไว้ก่อนหน้านี้ คนที่เหลืออยู่ที่นี่จะได้รับอีกหนึ่งตำลึง”
คนจำนวนไม่น้อยที่ตัดสินใจจะกลับบ้านปาดน้ำฝนออก
หนึ่งตำลึงสามารถทำให้พวกเขาอยู่ได้ถึงครึ่งปีเลยเชียวนะ ฝนตกจะนับเป็นอะไรไป อากาศเลวร้ายอีกเพียงใดก็นอนที่นี่ได้!