คนส่วนมากอยู่ต่อเพื่อเงินหนึ่งตำลึง แต่ก็มีอีกไม่กี่คนที่จะกลับไปให้ได้
อย่างเช่นชายร่างกำยำคนนั้น ธรรมดาอาศัยแรงที่มีทำงานได้ดีทั้งนอกบ้านและในบ้าน พอถึงฤดูหนาวก็ยังสามารถไปขนของหาเงินมาจุนเจือครอบครัวได้อีก ชีวิตจึงดีกว่าผู้คนทั่วไปมากนัก แน่นอนว่าจึงไม่ยอมอยู่ต่อในพื้นที่ทุรกันดารที่ไม่มีแม้แต่ที่กำบังหลบฝนเพื่อเงินหนึ่งตำลึงหรอก
“เงินหนึ่งตำลึงแล้วยังไง หากลูกข้าป่วย ไม่ว่าจะเงินกี่ตำลึงล้วนทดแทนไม่ได้หรอก พอกลับไปบ้านยังสามารถกันฝนกันลมได้ แถมให้เมียต้มน้ำตาลแดงให้ดื่มสักหม้อ คงจะสบายมากแน่”
เมื่อได้ยินชายร่างกำยำพูดเช่นนี้ ก็มีคนอีกจำนวนหนึ่งลุกขึ้นมายืนข้างเขา
อวี้จิ่นกวาดตามอง มีคนยืนอยู่กับชายผู้นั้นราวๆ ร้อยกว่าคน
สำหรับผู้ที่ยึดมั่นว่าจะไปพวกนี้แล้ว เขาไม่เตรียมจะพูดโน้มน้าวใจอีก
เขาสามารถเพิ่มเงินได้ หากเพิ่มให้เพียงพอก็ไม่กลัวว่าจะคนพวกนี้จะไปหรอก แต่ว่าไม่มีเหตุผลที่ต้องทำเช่นนั้น
หากเพิ่มเงินให้คนพวกนี้ไป แล้วคนที่เหลืออยู่จะต้องเพิ่มหรือไม่
หนึ่งพันกว่าคน หลังจากเพิ่มแล้วเงินกองใหญ่ขนาดนั้นล้วนต้องให้จวนเยี่ยนอ๋องจ่าย
หากไม่เพิ่ม ผู้ที่ยอมอยู่ต่อก็จะรู้สึกไม่ยุติธรรม จะต้องมีอีกหลายคนโวยวายอยากกลับไปแน่
ยิ่งไปกว่านั้นในมุมมองของอวี้จิ่น เขาสามารถช่วยคนที่มีปัญหาได้ แต่สุดท้ายชะตากรรมของพวกเขาก็อยู่ในมือของตัวพวกเขาเอง
เขาไม่เสียดายชื่อเสียงของตน และได้พยายามทำทุกวิถีทางเท่าที่จะทำได้แล้ว ที่เหลือก็ดูว่าคนพวกนี้จะเลือกอะไร
อวี้จิ่นคิดเช่นนี้ จากนั้นก็ส่งสายตามองไปยังกลุ่มคนที่ยืนหยัดจะกลับไปในเมืองอีกครั้ง
ดูเหมือนว่าจะไปเป็นครอบครัวทั้งนั้น มีทั้งผู้ชายผู้หญิงคนชรา และในนั้นก็มีเด็กอีกสิบกว่าคน
บางที่อาจเป็นเพราะกำลังจะเป็นพ่อคน อวี้จิ่นจึงมักจะใจอ่อนกับเด็กง่ายมาก
ชะตากรรมของผู้ใหญ่นั้นพวกเขาเลือกเองได้ แต่เด็กพวกนี้กลับไม่มีโอกาสได้เลือก พวกเขาทำได้เพียงทำตามพ่อกับแม่ที่จัดการให้
เขาเอ่ยปากพูดออกไปอีกครั้ง “จากนี่กลับไปในเมืองอย่างน้อยต้องใช้เวลาสองชั่วยามหากเด็กพวกนี้โดนฝนนานขนาดนั้น จากที่ไม่ป่วยจะกลายเป็นป่วยเอา แทนที่จะให้เด็กตากฝนกลับไป อยู่ในกระโจมต่อยังดีกว่าเสียอีก อย่างน้อยในกระโจมก็สามารถกันฝนกันลมได้ ทุกท่านว่าอย่างไร”
มีครอบครัวหลายครอบครัวที่จะกลับไป เมื่อเห็นเด็กที่อยู่ในอ้อมอกหรือเด็กที่กำลังจูงมือ จึงลังเลขึ้นมาทันที “พ่อมัน รอจนฝนหยุดตกแล้วค่อยว่ากันเถอะ ท่านอ๋องพูดถูก หากพาลูกตากฝนกลับไป ไม่แน่จากที่ไม่ป่วยก็อาจจะป่วย…”
เมื่อชายที่เป็นเสาหลักของครอบครัวได้ยินภรรยาพูดเช่นนี้ พร้อมกับมองไปที่ลูกๆ ที่น่าสงสาร ก็พยักหน้าลง “ก็ได้ เช่นนั้นรอฝนหยุดตกแล้วค่อยว่ากัน”
คนแก่ ภรรยาและเด็กในครอบครัวของคนเหล่านี้ได้เข้าไปหลบอยู่ในกระโจมเหมือนเดิม
ยังเหลือผู้ใหญ่อีกสิบกว่าคนและเด็กอีกสี่ห้าคน
ทุกคนย่อมมีเหตุผลในใจ มีผู้ชายจากหลายครอบครัวเอ่ยขึ้น “เอาเป็นว่าพวกเจ้ากลับไปหลบฝนที่กระโจมก่อน ข้าจะกลับไปเก็บกวาดที่บ้าน ยังไงอยู่ที่นี่ต่อก็ต้องนอนอยู่ข้างนอก ไม่มีที่หลบอยู่แล้ว”
ภรรยาของพวกเขาจูงมือเด็กเข้าไปในกระโจม
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ท่ามกลางผู้ที่ยึดมั่นว่าจะกลับไปเหลือกเด็กอีกเพียงสองคน
เมื่อเห็นอวี้จิ่นมองมา ชายร่างสูงก็เอ่ยขึ้น “ท่านอ๋องไม่ต้องพูดเกลี้ยกล่อมแล้ว ยังไงข้าก็จะกลับไป ลูกข้าป่วยแล้ว อยู่ที่นี่ต่อก็ไม่มีอะไร ทนไม่ได้หรอก”
อีกครอบครัวหนึ่งจูงมือเด็กไว้พร้อมกับพูดเสริม “ใช่ ลูกของข้าก็ป่วยแล้ว ยังไงกลับไปที่บ้านก็สะดวกกว่า”
“ข้าจำได้ว่าในเมืองไม่มีหมอ พวกเจ้าพาลูกกลับไปอย่างมากก็ทำได้แค่อาบน้ำร้อนให้ และให้ดื่มน้ำร้อน เอาอย่างนี้ ข้าจะพาเด็กทั้งสองไปหาหมอ รอให้หายป่วยแล้วค่อยส่งกลับไปให้พวกเจ้า”
เมืองจิ๋นหลี่นับเป็นเมืองใหญ่ เดิมมีหมออยู่ แต่เมื่อเกิดแผ่นดินไหวที่เมืองเฉียนเหอ ขุนนางในพื้นที่ได้เรียกหมอจากเมืองใกล้เคียงแปดเมืองมารวมตัวไว้ด้วยกันเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย ทว่าหมอในตอนนี้ถูกจัดมาจากโรงหมอของเมืองหลวง และยังไม่กลับบ้าน
อีกครอบครัวหนึ่งที่มีลูกปรึกษาหารือกันเบาๆ อยู่ครู่หนึ่ง สตรีนางหนึ่งอุ้มเด็กเดินเข้ามาย่อตัวลงต่อหน้าอวี้จิ่น “ ช่างเป็นพระกรุณาธิคุณอย่างยิ่ง ขอท่านอ๋องพาลูกหม่อมฉันไปหาหมอด้วยเพคะ”
“เหนียงจื่ออย่าได้เกรงใจไป” อวี้จิ่นรับเด็กมา แล้วส่งให้หลงต้าน
หลงต้านคิดในใจขณะที่กำลังอุ้มเด็กที่เบะปากร้องไห้ นี่เป็นคนที่สองแล้ว ดูเหมือนท่านอ๋องจะติดนิสัยเก็บเด็กมาเลี้ยงเล็กน้อย…
เมื่อเห็นคนอื่นส่งลูกให้อวี้จิ่น ภรรยาของชายร่างกำยำก็พูดเกลี้ยกล่อม “พ่อมัน พวกเราก็ส่งนีนีให้ท่านอ๋องกันเถอะ”
ชายร่างกำยำจ้องภรรยา เอ่ยกระซิบด่าออกมา “ไปหาหมออะไรกัน หากนีนีแยกไปพวกเราก็ต้องคิดถึง อีกอย่าง ท่านอ๋องท่านนี้ยังเด็กขนาดนี้ ถ้าหากทำลูกหายจะทำอย่างไร”
อวี้จิ่นหูดีได้ยินชายร่างกำยำผู้นั้นกระซิบด่า จึงขมวดคิ้วขึ้น
อายุน้อยกับทำเด็กหายมีอะไรเกี่ยวข้องกัน
ท่ามกลางสายฝนที่ตกลงมา ชายร่างกำยำพุ่งเข้ามาประสานมือคารวะอวี้จิ่น “เป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างยิ่งพ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง แต่ยังไงพวกเราก็อยากกลับไป”
อวี้จิ่นมองชายร่างกำยำอยู่ครู่หนึ่ง ไม่พูดให้มากความอีก
เขาพยายามอย่างที่สุดแล้ว ที่เหลือก็อยู่ที่ฟ้าลิขิต
บางทีเหตุการณ์แผ่นดินไหวในฝันของอาซื่ออาจไม่เกิดขึ้นก็ได้
“ขอตัวลาพ่ะย่ะค่ะ”
คนนับสิบเดินไกลออกไปท่ามกลางสายฝน ส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย ต่างเพราะไม่มีกระโจมอยู่จึงไม่อยากอยู่ข้างนอกเพื่อผ่านคืนนี้ไป
ส่วนสตรีกับเด็กนั้นทิ้งไว้ที่นี่ถูกแล้ว อย่างไรก็มีกระโจมคอยบังฝน แถมยังได้เงินอีกต่างหาก
เมื่อเห็นคนพวกนี้เดินไกลออกไป อวี้จิ่นก็ชักสายตากลับมาถามหลี่เจิ้ง “นอกจากคนพวกนี้ คนที่กลับไปที่เมืองก่อนหน้านี้มีอีกกี่คน”
หลี่เจิ้งปาดน้ำฝนออก พลางเอ่ยตอบ “สองสามวันนี้หลังจากที่ชาวบ้านทำนาเสร็จมักจะมีคนแอบกลับไปที่เมือง ตอนนี้ในเมืองมีคนอยู่ประมาณหนึ่งร้อยคนพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อเทียบกับกับพื้นที่ทุรกันดารที่เต็มไปด้วยพวกแมลงและยุง แน่นอนว่าที่บ้านสบายกว่าเยอะ
อวี้จิ่นเงยหน้ามองท้องฟ้า
อาจเป็นเพราะฝนตก ยังไม่ทันถึงตอนกลางคืน ฟ้าก็มืดสนิทแล้ว
อาซื่อบอกว่าเหตุการณ์แผ่นดินไหวจะเกิดขึ้นหลังจากที่ทุกคนเข้านอน เช่นนั้นตอนนี้ยังถือว่าปลอดภัย
“หลงต้าน เจ้าให้คนวิ่งไปดูที่เมืองจิ๋นหลี่อีกรอบ ตีฆ้องประกาศทุกคนที่ยอมกลับมาจะได้รับเงินหนึ่งตำลึง” อวี้จิ่นเปลี่ยนน้ำเสียงพูด “ไม่จำเป็นต้องเกลี้ยกล่อมทุกบ้านทุกครอบครัว เพียงตีฆ้องสามรอบก็พอ และไม่จำเป็นต้องรอ ผู้ที่ยอมกลับมายังไงก็ต้องกลับมาเอง”
หลงต้านทำตามคำสั่งทันที
อวี้จิ่นพยักหน้าเล็กน้อยให้หลี่เจิ้ง “หลี่เจิ้ง ฝากที่นี่ไว้กับเจ้าด้วย ข้าจะพาเด็กๆ ไปหาหมอ”
“ขอท่านอ๋องเดินทางปลอดภัยพ่ะย่ะค่ะ” หลี่เจิ้งมองส่งจนอวี้จิ่นเดินออกไปไกล จากนั้นเงยหน้ามองม่านฝนที่ไร้ขอบเขตพร้อมกับถอนหายใจออกมา
ตอนนี้เขายิ่งรู้สึกสงสัยขึ้นเรื่อยๆ ว่าที่ท่านอ๋องบอกว่าเมืองจิ๋นหลี่จะเกิดแผ่นดินไหวนั้นเป็นการก่อเรื่องวุ่นวายขึ้นรึเปล่า ได้ยินว่าผู้สูงศักดิ์ในเมืองหลวงมักจะชอบทำเรื่องประหลาด บางทีเยี่ยนอ๋องอาจจะชอบทรมานผู้คนเล่นก็เป็นได้
โชคที่อีกไม่กี่วันจะครบห้าวันแล้ว แถมยังมีเงินให้อีก ชาวบ้านในเมืองลำบากนิดหน่อย ถือเสียว่าขายแรงงานสักสองสามวัน ได้เงินเยอะขนาดนี้คิดดูก็ไม่เสียหายอะไร
ด้วยอำนาจการดึงดูดของเงิน มีอีกหลายคนทยอยกันกลับมา
“เจ้าบื้อ ทำไมถึงกลับมาอีกล่ะ”
“ได้เงินทำไมจะไม่มาล่ะ ก่อนหน้านี้ที่บ้านข้าไม่มีหมูไม่มีแกะจึงไม่ได้รับเงินสงเคราะห์ เช่นนั้นกลับไปนอนที่บ้านจึงสบายกว่า” ชายผู้นั้นสะบัดผ้าที่เปียกน้ำฝนในมือ “ผ้าผืนนี้ อยู่ที่นี่ยังสบายกว่าพวกเจ้าอีกมากโข”
“หรือว่าพวกเราควรกลับไปเอาของ”
หลี่เจิ้งตะเบ็งเสียงลั่น “อย่าได้สร้างความวุ่นวาย รีบไปนอน ใครกลับไปจะไม่ได้เงินสักแดงเดียว พวกเจ้าจำเอาไว้ด้วย!”
ทุกคนที่ก่นด่าพึมพำเงียบลงอย่างรวดเร็ว
ต่างก็เคยชินกับการทำงานหนัก เกรงว่าถึงสภาพแวดล้อมจะย่ำแย่ ถึงเวลานอนก็เข้านอนกันทุกคน
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด จู่ๆ ผืนดินก็สั่นไหวขึ้นมา