บทที่ 559 บุคคลที่ข้ามกำแพง

หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป

บทที่ 559 บุคคลที่ข้ามกำแพง

ก้อนเมฆบนฟากฟ้า เหมือนกระดาษที่เริ่มเหลือง ทำให้ความเหน็บหนาวของฤดูหนาวยิ่งหนาวเหน็บหนักหน่วงขึ้น โคมไฟที่มีสีสันบนท้องถนน ใช้สีแดงเป็นหลัก เป็นผืนสีแดงสดทั้งหมด คนสัญจรที่เดินถนนไปมาเพราะใกล้จะถึงวันชำระค่าใช้จ่ายปลายปีแล้ว ดังนั้นยิ่งมีมากขึ้นเรื่อยๆ

แม้จะไม่คึกคักเท่าปีที่ผ่านมา แต่ก็เพียงพอที่จะยืนยันได้ว่านี่ความปีติที่ชัดเจน!

หนุ่มรูปงามผู้หนึ่ง ผมดำรวบสูง แก้มขาวชมพูระเรื่อ สะอาดสะอ้านเหมือนหยกงามก้อนหนึ่ง

ร่างกายสูงโปร่ง สวมชุดคลุมสีอ่อนทั้งตัว ยืนอยู่บนหลังคาโรงเหล้าแห่งหนึ่งอย่างเงียบๆ มือทั้งสองอยู่ด้านหลัง สายตาเหลือบมองไปยังจวนที่หรูหรางดงามที่อยู่ไกลๆนั่น จิตใจราวกับว่าสงบลงแล้ว

ส้งเย่นกุยเหาะขึ้นบนหลังคาโรงเหล้า มองดูหลานเยาเยาที่แต่งตัวเป็นผู้ชาย ได้เพียงส่ายหัวอย่างจนปัญญา

“ยังไงร่างกายเช่นนี้ก็เจริญตากว่าจริงๆ เวลาที่เป็นลูกผู้หญิงงดงามเหมือนดอกไม้ สวมชุดผู้ชายก็หล่อเหลาห้าวหาญ จะชายจะหญิงก็ยังสง่างามจริงๆ

เพียงแค่สายตาเช่นนี้น้า มองทุกวัน มองด้วยความหวังเป็นอย่างยิ่งทุกๆวัน ทำไมท่านไม่บุกเข้าจวนอ๋องเย่ไปตรงๆบอกอ๋องเย่ว่าท่านก็คือหลานเยาเยา

ทั้งสองคนได้พบกัน กำหนดชีวิตส่วนตัวที่เป็นนิรัดร์ จากนั้นก็มีทั้งชีวิตที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข

ตัดความทุกข์ที่ได้รับจากความคิดถึงทั้งวันทั้งคืนที่นี่ทิ้งไป ท่านดู ตอนนี้ท่านผอมจนกลายเป็นอะไรแล้ว”

ในฐานะของระบบ เขาก็ทนดูไม่ได้แล้ว

สามเดือนมานี้

ทันทีที่ออกมาจากทะเลทราย หลานเยาเยาก็มุ่งตรงมาที่ประเทศก่วงส้าอย่างเร่งรีบ หลังจากเข้าประเทศก่วงส้า ก็ไม่หยุดฝีเท้ารีบไปทางเมืองหลวง

ในที่สุดถึงเมืองหลวงแล้ว นางในฐานะหมอก็คิดถึงจนแทบเป็นโรคแล้ว ไปฝืนหยุดฝีเท้าไว้ เปลี่ยนชุด ฝึกลูกคอ เปลี่ยนหน้าตาเป็นลักษณะผู้ชาย

หลังจากนั้นก็ซื้อร้านค้า แล้วรวบรวมวัตถุดิบปรุงยา แล้วก็ไม่ไปพบเย่แจ๋หยิ่ง แต่ในเวลาใกล้ค่ำของทุกวัน จะยืนอยู่บนหลังคาโรงเหล้า มองดูจวนของจวนอ๋องเย่

เขาเพียงอยากบอก :

ทำเช่นนั้นทำไมล่ะ?

ทำให้เป็นเรื่องที่ซับซ้อนขนาดนั้นทำไมกัน?

ทรมานแบบนี้ไม่มีประโยชน์ ที่สำคัญที่สุดคือเขากลายเป็นคนรับใช้ที่ถูกเรียกใช้ ทำธุระมากมายไปทั่ว ยังต้องเปลี่ยนหน้าตาตามนางอีก

มองดูลักษณะหน้าตาของตัวเองตอนนี้ เขาแทบจะจำตัวเองไม่ได้แล้ว

หลานเยาเยาเก็บสายตากลับ เหลือบมองส้งเย่นกุยแวบหนึ่ง

“ก็เพียงแต่เจ้าที่พูดมาก”

หากว่าที่ส้งเย่นกุยบอกเช่นนั้นเป็นจริง แบบนั้นเรื่องราวทุกอย่างบนโลกมนุษย์ก็ง่ายดายขึ้นมากแล้ว ไหนเลยจะมีอุปสรรค์ของความรักความเกลียดชังอะไรอีก

ระหว่างนางกับเย่แจ๋หยิ่ง ไม่ใช่บอกว่าเจอกันยอมรับความสัมพันธ์กันได้ก็สามารถยอมรับความสัมพันธ์กันได้

ในใจของนางมีความทรงจำช่วงหนึ่งที่สลักอยู่ในกระดูกเพิ่มขึ้นมา แบบนี้จะทำให้นางใช้ชีวิตชั่วชีวิตกับเย่แจ๋หยิ่งโดยจิตใจที่ไม่วอกแวกได้อย่างไร?

นี่สำหรับเย่แจ๋หยิ่งแล้ว ชั่งไม่ยุติธรรมนัก

สำหรับตัวเอง ก็ไม่สามารถทำได้

มุมมองกลับกันของเย่แจ๋หยิ่ง ผู้หญิงที่ตัวเองชอบ เห็นได้ชัดว่าตายไปต่อหน้าของตัวเองแล้ว แต่ทันใดนั้นมีวันหนึ่ง ผู้หญิงที่ตายไปนั้นบอกเขาว่า นางกลับมาแล้ว ยังจะเปลี่ยนเป็นอีกร่างกายหนึ่ง มีความสัมพันธ์ที่ไม่อาจลืมได้ระยะเวลาหนึ่งเพิ่มขึ้นมา จะให้เขาเผชิญหน้าอย่างไร? และจะยอมรับได้อย่างไรอีกล่ะ?

ในเมื่อกำหนดแล้วว่าไม่มีทางอยู่ด้วยกันตลอดไปได้

เช่นนั้นก็อยู่ข้างกายเขา คุ้มครองเขาให้ปลอดภัยทั้งชีวิต

นึกถึงสิ่งเหล่านี้ หลานเยาเยาจัดการอารมณ์ที่สับสนวุ่นวายครู่หนึ่ง เปิดปากอีกครั้ง

“จัดการเรื่องเป็นอย่างไรบ้างแล้ว?”

“วางใจเถอะ เจ้านาย ทุกอย่างจัดการอย่างเหมาะสมขอรับ พรุ่งนี้ก็สามารถเริ่มประกอบกิจการได้ขอรับ” เห็นท่าทางเช่นนี้ของนาง เห็นได้ชัดว่าไม่ปรารถนาจะพูดมากเรื่องของนางกับเย่แจ๋หยิ่ง

“อืม เช่นนั้นก็ดี”

แล้วมองดูจวนของจวนอ๋องเย่แวบหนึ่งอีกครั้ง หลานเยาเยาจึงเตรียมจับเชือกให้แน่นแล้วกระโดดลงจากโรงเหล้า

ฉับพลันนั้นนึกอะไรได้ หันกลับไปที่ส้งเย่นกุยอีก

“จำไว้ บนโลกนี้ไม่มีหลานเยาเยาแล้ว มีเพียงซ่างกวนหนานซู่”

“เข้าใจขอรับ!”

ได้กำชับเป็นพันหมื่นรอบแล้ว เขาก็ไม่ใช่คนโง่ อีกทั้งยังเป็นระบบการรักษาโรคภัยไข้เจ็บที่สติปัญญาสูงอีก ยังจะไม่รู้เจตนาของเจ้านายอีกเชียวหรือ?

มองดูเชือกในมือที่กำแน่นของหลานเยาเยา มุมปากก็ยกรอยยิ้มขึ้น

เปลี่ยนร่างกายแล้ว กำลังภายในครึ่งหนึ่งที่เย่แจ๋หยิ่งให้นางไม่มีแล้ว

วิ่งขึ้นกระโดดลง เหาะข้ามกำแพงยังจำเป็นต้องพึงพาด้ายเงิน ตอนนี้เข้าเมืองหลวงแล้ว เพื่อปกปิดหูตาของผู้อื่น ไม่ให้คนที่คุ้นเคยกับนางสังเกตระแคะระคายได้ ด้ายเงินที่เก็บอยู่ในระบบการรักษาโรคภัยไข้เจ็บจึงไม่ได้หยิบออกมาใช้อีก ตอนนี้เปลี่ยนมาใช้เชือกที่ทำจากไหมสีขาว

ตอนที่เพิ่งเข้ามาอยู่ที่โรงเหล้าแห่งนี้ เมื่อครั้งแรกที่หลานเยาเยาใช้ไหมสีขาวขึ้นไปบนหลังคา เถ้าแก่โรงเหล้าตกใจจนสีหน้าซีดขาว

คุณชายที่อยู่ดีๆผู้หนึ่ง นึกไม่ถึงว่าจะคิดสั้น ต้องการจะผูกคอตายที่ชายคาโรงเหล้าของเขา โชคดีสุดท้ายเป็นเหตุการณ์ที่ตื่นตกใจไปเอง เถ้าแก่เกือบจะแจ้งทางการแล้ว

เที่ยงคืน

ผู้คนทั้งหมดหลับสนิท มีเพียงในห้องของหลานเยาเยา แสงเทียนยังคงสว่าง

เทียนไขจุดขึ้นเพียงหนึ่งเล่ม ไม่ถือว่าสว่างเกินไป วางไว้บนโต๊ะ เดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่าง แต่นางกลับสามารถมองอย่างใจลอยได้

ในใจระงับความอดทนไว้นานมาก ในที่สุดก็ทนไม่ได้ยืนขึ้น ใช้โอกาสที่ส้งเย่นกุยไม่ได้สนใจ หลานเยาเยาแฉลบตัว ออกไปนอกโรงเหล้าอย่างไร้สุ้มเสียง

แฉลบตัวมาตลอดทางจนถึงจวนอ๋องเย่ ประตูใหญ่มีคนเฝ้าอยู่ ประตูหลังก็มีเป็นธรรมดา

แต่โดยปกติแล้วหลานเยาเยาก็ไม่เดินทางธรรมดา ปีนกำแพงเข้าไปโดยตรงอย่างชำนาญ แต่เมื่อลงถึงพื้น นางก็พบความเคลื่อนไหวผิดปกติ

ในอากาศเคลื่อนไหว เหมือนมีคนสองสามคนล้อมและพุ่งเข้ามาทางนาง

“ผู้ใดบุกรุกเข้าจวนอ๋องเย่? บอกชื่อมา ไม่เช่นนั้นจะสังหารคาที่”

หลานเยาเยาถลึงตา หดคอ ตัดสินใจแน่วแน่ในทันที แล้วปีนกลับออกไปอีก โชคดีที่ความเร็วเพียงพอ ไม่เช่นนั้นไหมสีแดงที่ทำหน้าที่เป็นเชือกก็ต้องทิ้งไว้แล้ว

เลี้ยวเจ็ดแปดรอบ อ้อมถนนสองสามเส้นจึงได้สลัดจากการไล่ตามอย่างรวดเร็วขององครักษ์ลับได้

“ฮู้ว……”

หลังจากถอนหายใจอย่างหนัก

ในใจของหลานเยาเยาตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก

เมื่อก่อนไม่ใช่แบบนี้

ตอนที่นางยังไม่ใช่เทพธิดา ไม่มีกำลังภายในเหมือนกัน นางข้ามกำแพงจวนอ๋องเย่ไปมาอย่างสุดชีวิตตามอำเภอใจ ก็สามารถทำได้อย่างเงียบกริบทั้งสิ้น ไม่ทำให้องครักษ์ค้นพบ

แต่ตอนนี้……

นางระวังอย่างเพียงพอที่สุดแล้วนะ? ผลสุดท้ายล่ะ? กลับถูกองครักษ์ลับหลายคนค้นพบในเวลาเดียวกัน ยังจะตามไล่ล่าด้วยแรงสังหารไปตามถนนหลายเส้น เกือบโดนทำการประหารแล้ว

เป็นฝีมือการเคลื่อนไหวร่างกายของนางถดถอยแล้ว?

หรือว่าสองสามปีนี้องครักษ์ลับเพิ่มการฝึกซ้อมที่แข็งแกร่งแบบไม่ใช่คนธรรมดา ดังนั้นจึงสามารถพบนางได้อย่างง่ายดาย?

เฮ้อ!

จวนอ๋องเย่ไปไม่สำเร็จแล้ว

ก็ช่างเหอะ พบหน้าครั้งหนึ่งจะมีประโยชน์อะไรอีกล่ะ?

……

จวนอ๋องเย่

เหล่าองครักษ์ลับที่ไล่ตามคนไม่ทัน กลับมาจวนอ๋องเย่อย่างเหงาหงอย หนึ่งในนั้นไปรายงานที่ห้องบรรทมของอ๋องเย่

ดวงตาของอ๋องเย่เพิ่งจะเปลี่ยนยา ยาน้ำร้อนระอุถ้วยหนึ่ง เขามองก็ไม่ได้มองสักแวบ ดื่มหมดไปคำเดียวโดยตรง แล้วใช้มือลูบคลำภาพบุคคลต่อ

มองดูถ้วยยาว่างเปล่าที่ยื่นออกมาจากในผ้าม่านเตียง ความปรารถนาที่อยากจะเอ่ยของจื่อซีที่ยืนอยู่ด้านข้างหยุดลง

เขาอยากบอกว่า……

นอนอยู่บนเตียงเป็นเวลานานไม่ดีต่อร่างกาย แต่ร่างกายของเจ้านายตอนนี้สามารถนับว่าดีได้หรือ?

เขายังอยากบอกอีกว่า……

ใจต้องเปิดกว้าง ตอนนี้ดวงตายังมองไม่เห็น ต้องพักผ่อนให้มากจึงจะสามารถดีขึ้นได้ แต่ว่าเจ้านายก็ไม่ใช่ว่านอนอยู่บนเตียงพักผ่อนทั้งวันหรือ?

แม้แต่ภาพวาดบุคคลในมือก็เปียกโชกด้วยน้ำตาจนเลือนรางแล้ว

เขาควรโน้มน้าวอย่างไร?

และสามารถโน้มน้าวอะไรได้อีกบ้างล่ะ?

จื่อซีรับถ้วยเปล่า กำลังคิดถอยออกไปพอดี ก็พบว่าร่างกายของเจ้านายตัวเองชะงัก หันหน้ามา แววตาเหมือนกับว่ามีประกายขึ้นเล็กน้อย

“ปีนกำแพง?” ทันทีที่นึกถึงหลานเยาเยาที่เข้าออกในจวนก็ล้วนชอบปีกำแพง อดไม่ได้ถามเพิ่มไปหนึ่งประโยค “กำลังภายในของนางเป็นอย่างไรบ้าง?”

“รายงานเจ้านาย บุคคลผู้นี้เหมือนกับว่าไม่มีกำลังภายในขอรับ อีกทั้งเขาเป็นผู้ชายขอรับ”

องครักษ์ลับตอบกลับอย่างรวดเร็วที่สุด จื่อซีอยากแอบหยุดยั้งก็ไม่ได้

โอกาสดีเป็นที่สุด ไม่เห็นว่าเจ้านายมีกระจิตกระใจขึ้นมาแล้วหรือ?

ขณะที่คุณหนูอยู่ ปีนกำแพงปีนหน้าต่างนั่นเป็นเรื่องปกติ เพียงแค่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องที่คุณหนูเคยทำ เจ้านายก็ล้วนเอาใจใส่เพื่อสิ่งนี้

เช่นนี้จะไม่ใช่โอกาสอย่างหนึ่งได้อย่างไร?