บทที่ 558 ทิวทัศน์กับนาง ใครสวย?

หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป

บทที่ 558 ทิวทัศน์กับนาง ใครสวย?

หลานเยาเยางงงันก่อน ยังคิดว่าเขาจงใจแกล้ง แต่มองดูอย่างตั้งใจ ดวงตาหรี่ลงทันใด รีบนั่งย่อลงตรวจชีพจรให้เขา

แย่แล้ว!

สูญเสียพลังงานมากไปแล้ว

ตรวจนิดหน่อย ก็ถอนมือออกแล้ว เห็นสีใบหน้าของส้งเย่นกุยค่อยๆซีดขาว ริมฝีปากขยับเล็กน้อย

“ลำบากท่านแล้วขอรับ ดูแลทั้งวันทั้งคืน สิ้นเปลืองเรี่ยวแรงไปหมดแล้ว ยังสามารถอยู่ได้ตอนนี้”

จากนั้นมองสังเกตส้งเย่นกุยทั้งตัวอย่างละเอียดแวบหนึ่ง ดึงมือของเขาไว้ในอุ้งมือของตัวเอง พูดเสียงต่ำ :

“เจ้าระบบเลือกเจ้าเป็นที่อยู่หลัก ไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้าย?” ถอนหายใจเบาๆ เหมือนกับพูดกับตัวเอง :

“ราชครูเทียนเวิงทุ่มเททั้งชีวิตค้นหาสิ่งของ โดยไม่สนใจว่าจะต้องแลกด้วยสิ่งใด แต่ก็ไม่ได้ครอบครองสิ่งของที่ตัวเองต้องการ จนตายก็เห็นเพียงยาฉางตานปลอมเม็ดหนึ่งเท่านั้น

แต่เจ้าล่ะ!

เพราะเจ้าระบบรับปากสัญญาการรอคอยของข้า ได้รับชีวิตอมตะ การหลอมรวมเข้าด้วยกันกับเจ้าระบบอย่างสมบูรณ์แบบ กลายเป็นคนผู้หนึ่งจริงๆ

บางทีมันยังไม่รู้ว่า ความจริงมันสามารถเป็นเหมือนคนธรรมดา เสพสุขการใช้ชีวิตได้”

พูดจบ!

อย่างไรเสียเจ้าระบบก็คือส้งเย่นกุย ส้งเย่นกุยก็คือเจ้าระบบ พาเขาไปสัมผัสกับความเย็นชาความอบอุ่นของมนุษย์สักหน่อย ค่อยๆสัมผัสกับสภาพจิตใจคนนับร้อย

บางทีวันหนึ่ง เขาก็จะสามารถสัมผัสได้ถึงความรักความผูกพันธ์ที่ไม่เหมือนกัน

หลังจากนั้นสามเดือน เป็นฤดูหนาวที่หนาวเหน็บแล้ว

แผ่นดินใหญ่เต็มไปด้วยหิมะ ไอความเย็นครอบคลุมแผ่นดินใหญ่ผืนนี้

ในประเทศก่วงส้า อดีตฮ่องเต้สวรรคตหนึ่งปีกว่าแล้ว ฮ่องเต้องค์ใหม่ก็ครองราชย์หนึ่งปีกว่าแล้ว เมืองหลวงของประเทศก่วงส้าทั้งหมดเป็นกลิ่นอายแห่งความเสื่อมโทรม

นอกจากฮ่องเต้องค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ตอนนั้นยังมีบรรยากาศความปีติเล็กน้อย เวลานอกเหนือจากนั้นก็เป็นความหมองหม่น

เวลานี้ห่างจากช่วงเวลาชำระค่าใช้จ่ายปลายปีไม่กี่สิบวันแล้ว

ในประเทศไม่มีเรื่องใหญ่อะไรเกิดขึ้น เมืองหลวงก็ไม่มีกลิ่นอายความตายหนักหน่วงเช่นนั้นอีก บรรยากาศความปีติก็ค่อยๆปรากฏให้เห็น ผู้คนก็ค่อยๆเริ่มดึงสติจะเรื่องที่เปลี่ยนแปลงไปกลับมาได้

มีเพียงจวนอ๋องเย่ที่ยังคงหดหู่

แม้ว่าอ๋องเย่ยังคงเป็นอ๋องเย่ที่มีอำนาจอิทธิพลยิ่งใหญ่ของประเทศก่วงส้า ตำแหน่งอยู่เหนือกว่าคนนับหมื่น ดั่งเช่นผู้สำเร็จราชการแทนเช่นนั้น

แต่บุคคลที่สูงส่งเคร่งขรึมรับผิดชอบต่อหน้าที่เป็นดั่งส่วนหนึ่งของความคงอยู่ของประเทศเช่นนี้ กลับไม่ปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนอีก และไม่เคยเข้าราชสำนักตอนเช้าสักวันหนึ่ง จนกระทั่งไม่เคยเหยียบออกจากประตูห้องแม้สักก้าว

อำนาจสั่นสะเทือนทั้งแผ่นดิน อ๋องเย่ที่ชื่อเสียงเกรียงไกร ราวกับว่าได้หายสาบสูญไปจากสายตาผู้คนในชั่วข้ามคืน

มีข่าวลือตามท้องถนน

ความจริงอ๋องเย่ไม่ได้ป่วย แต่คือตายแล้ว แต่เพื่อราษฎร ฮ่องเต้จำเป็นต้องออกแผนการที่ไม่ฉลาดนี้ เพื่อป้องกันในขณะที่รากฐานของตัวเองไม่มั่นคง ประเทศศัตรูเข้ารุกราน

และมีคนกล่าวว่า ความจริงอ๋องเย่ถูกฮ่องเต้กักบริเวณ เพราะเกรงว่าอ๋องเย่จะแย่งชิงอำนาจทางการทหารทั้งหมด จากนั้นก็ยึดครองตำแหน่งฮ่องเต้

นอกจากนี้มีคนบอกว่า อ๋องเย่ป่วยติดเตียงกลายเป็นคนไร้ค่าผู้หนึ่งแล้ว

แม้จะเป็นเพียงคำเล่าลือเท่านั้น แต่ล้วนเป็นคำเล่าลือที่ไม่ดี อันไหนจริงสิ่งใดเท็จใครจะรู้ล่ะ?

ผู้เล่าลือไม่ได้เจตนา ผู้ฟังมีเจตนา

เหล่าราษฎรนอกจากจะตื่นตระหนกขวัญผวา ก็ทำได้เพียงอธิษฐานต่อสวรรค์ ของพรให้ประเทศก่วงส้าลมฝนตกต้องตามฤดูกาล ไพร่ฟ้าปลอดภัย

แต่ศัตรูก็ไม่เหมือนกันแล้ว

ไม่ว่าคำร่ำลือจะเป็นจริงเป็นเท็จ การทำให้เกรงกลัวด้านหนึ่งของอ๋องเย่ ในหนึ่งปีกว่ามานี้ ไม่เคยได้มีการพบเห็นอีกจริงๆ แบบนี้สำหรับพวกเขาแล้วคือข่าวดีเป็นที่สุด

เหตุผลก่อนหน้านี้ที่ข่าวลือเพิ่งจะออกมา พวกเขาไม่ได้มีการเคลื่อนไหว ก็เป็นการยืนยันข้อเท็จจริงของเรื่องราว

วันนี้เห็นที พวกเขาควรลงมือแล้ว

ในจวนอ๋องเย่

ใบหน้าที่เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาของพ่อบ้านเหมย ไม่ได้ยิ้มมาหนึ่งปีกว่าแล้ว จอนผมที่หูขาวเล็กน้อย อาจจะมีเรื่องให้จัดการมาก เขาพุ่งไปทางห้องบรรทมของอ๋องเย่อย่างรีบร้อน

กั้นด้วยผ้าม่านสีทึบหนาและหนัก พ่อบ้านเหมยหยุดฝีเท้าลง กล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำ :

“อ๋องเย่ขอรับ ฮ่องเต้มาอีกแล้วขอรับ”

ไม่รู้ว่าการเดินทางของทะเลทรายเกิดเรื่องอะไรขึ้น เมื่ออ๋องเย่กลับมาก็ป่วยหนักไม่ดีขึ้น ใครก็ไม่พบ อดีตองค์ชายรัชทายาท วันนี้เป็นฮ่องเต้องค์ใหม่ แต่ทุกเดือนปลายเดือนก็จะมาที่จวนอ๋องเย่ครั้งหนึ่ง

ประตูใหญ่ก็ไม่ให้เข้า ไม่ได้พบอ๋องเย่ก็ไม่เป็นไร เพียงแค่ตอบกลับสักคำ ฮ่องเต้องค์ใหม่ก็จะกลับวังอย่างเชื่อฟัง

เป็นเช่นนี้ทุกเดือน แม้คุณชายเหลียงเฉินจะอธิบายโน้มน้าวก็ไม่มีประโยชน์

“ไม่พบ!”

เสียงต่ำดังมา มีความแหบเล็กน้อย ในเสียงคือความโศกเศร้าที่พูดอย่างไรก็ไม่หมด

แต่สองคำนี้ เป็นคำพูดที่มากที่สุดในหนึ่งปีกว่าที่เคยพูดมา

“ขอรับ!”

พ่อบ้านเหมยมาอย่างรีบร้อน หลังจากเสียงตอบรับ ก็ถอยออกไปเงียบๆ มาถึงหน้าประตูใหญ่ มองดูผู้สวมชุดคลุมที่สูงส่ง แต่ฮ่องเต้องค์ใหม่กลับสวมชุดเสื้อคลุมผ้าฝ้าย พ่อบ้านเหมยยกมือคารวะเล็กน้อย ถอนหายใจแล้วกล่าว :

“เชิญฮ่องเต้กลับไปเถอะพ่ะย่ะค่ะ! อ๋องเย่ไม่พบพ่ะย่ะค่ะ”

“ไม่เป็นไร ข้าจะกลับวังเดี๋ยวนี้” ในดวงตาของเย่หลีเฉินไม่สามารถซ่อนความผิดหวังได้ แต่ยังยกมุมปากขึ้น และเพิ่มคำพูดเล็กน้อย

“ใกล้ถึงการชำระค่าใช้จ่ายปลายปีแล้ว ทูตแต่ละประเทศล้วนมาแสดงความยินดี ความหมายในนั้น เกรงว่าเจตนาเดิมนั้นไม่ได้อยู่ที่เหล้า ยังไงขอเชิญเสด็จอาเสด็จมาในวันพิธีงานเลี้ยงใหญ่ให้ได้ เพียงแค่เป็นการทำเพื่อประชาชน”

ทั้งที่รู้ พูดสิ่งเหล่านี้ไม่มีประโยชน์

แต่ทุกครั้งที่เขามายังจะนำเรื่องราวที่สำคัญมาบอกกล่าวด้วยตัวเอง

“ขอฮ่องเต้โปรดวางใจพ่ะย่ะค่ะ ข้าน้อยจะบอกต่ออ๋องเย่แน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”

“ลำบากแล้ว”

พูดจบ เย่หลีเฉินก็หมุนตัวจากไป องครักษ์ที่ติดตามข้างกายก็ตามไปปกป้องเขาอย่างรีบร้อน

เงาหลังฮ่องเต้องค์ใหม่ที่โดดเดี่ยว พ่อบ้านเหมยมองไว้ในตา ได้เพียงถอนหายใจในใจ

ฮ่องเต้องค์ใหม่ไม่ง่าย อ๋องเย่ก็ยิ่งไม่ง่าย!

หากว่าพระชายายังอยู่ หรือเทพธิดายังอยู่ ทุกอย่างก็ไม่ถึงขนาดนี้

ห้องบรรทมอ๋องเย่

ผ้าม่านโปร่งแสง เงาคนผู้หนึ่งเอนพิงเตียง ใบหน้าเหนื่อยล้า ภาพวาดรูปคนที่เป็นหญิงงามแผ่นหนึ่งอยู่บนมือ นิ้วมือที่เรียวยาวสัมผัสเบาๆ แต่ดวงตาทั้งคู่ของเขากลับใช้ผ้าแดงยาวๆปิดไว้ จุดที่พันกันของผ้าแดงอยู่ด้านหลังศีรษะ ถูกผมดำที่ห้อยลงมาบังไว้ เหลือเพียงผ้าแดงสองเส้นห้อยลงมาด้านหลังเหมือนผม

สีหน้าเดิมทีที่ครุ่นคิดของเขา เปลี่ยนเป็นนุ่มนวลเพราะภาพวาดบุคคลแผ่นนี้ แต่หางตามีน้ำตาเลือดไหลออกมา ไหลลงมาตามแก้มนานแล้ว เหลือคราบน้ำตาเข้มๆสองเส้น……

หนึ่งปีสามเดือน คนงามยังคงไม่กลับมา

รอเจ้าไม่ได้น่ากลัว ที่น่ากลัวคือ รอแล้วไม่มีข่าวคราวของเจ้ามาตลอด

ข้าควรทำอย่างไร?

ทำอย่างไรเจ้าถึงจะสามารถกลับมาได้?

ฉับพลันนั้น ในอากาศมีความเคลื่อนไหว เงาคนร่างหนึ่งแฉลบตัวเขามาจากทางหน้าต่าง คุกเข่าข้างหนึ่งหน้าเตียง ทำมือคารวะ

“เจ้านาย ข้าน้อยกลับมาแล้วขอรับ”

ผู้ที่มาคือจื่อเฟิงที่ถูกส่งออกไปทำภารกิจให้สำเร็จเมื่อไม่กี่เดือนก่อน วันนี้เพิ่งจะกลับมา บนใบหน้าไม่ทุกข์ไม่สุข มีเพียงสีหน้าที่เศร้าสลด

“ทิวทัศน์ทางนั้นเป็นอย่างไรบ้าง?”

“เมืองหวยหลอ ดอกเหมยผลิบาน ทั่วทั้งเขาที่ราบ ครอบคลุมด้วยหิมะ มีสีแดงในสีขาว งามดั่งแดนสวรรค์ สวยงามกว่าทิวทัศน์ที่สวยงามนับไม่ถ้วน สวยเป็นที่สุด เจ้านายต้องการไปหรือไม่ขอรับ?”

จื่อเฟิงที่พูดน้อยพูดสั้นๆโดยปกติ หนึ่งปีมานี้เขาเดินทางข้ามแม่น้ำภูเขานับหมื่นพัน เพียงเพื่อค้นหาทิวทัศน์ที่สวยงามที่สุดที่หนึ่ง ทำให้เจ้านายก้าวออกนอกประตูจวน สูดอากาศที่บริสุทธิ์

“สวยเท่านางหรือไม่?”

จื่อเฟิงตะลึงไปครู่หนึ่ง

ที่เจ้านายพูดก็คือคุณหนู แต่คุณหนูกลับมาไม่ได้แล้ว แม้ว่าจะหลอกตัวเองเพราะคำพูดของเย่หลีเฉิน แต่ในใจใครจะไม่เข้าใจ? เจ้าหนูจะไม่กลับมาแล้ว

แต่มีเพียงเจ้านายที่ยังคงเชื่อ

เชื่อมาโดยตลอด……

“ไม่ถึง ไม่เท่าหนึ่งในหมื่นขอรับ”

“หาอีก” พูดจบ เย่แจ๋หยิ่งโบกมือเล็กน้อย แล้วสัมผัสคนบนภาพวาดบุคคลต่อ

“……ขอรับ”

มองดูเงาร่างที่ดูเศร้าและหดหู่ในผ้าม่าน จื่อเฟิงแอบตาแดงเล็กน้อย หลังจากรับปากก็จากไปอย่างเงียบๆ