บทที่ 420-2 พร้อมหน้า (2)

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 420 พร้อมหน้า (2)

ทว่าการขัดจังหวะเช่นนี้ ความอึดอัดในใจทุกคนที่หลงเหลืออยู่ก็มลายหายสิ้น ไม่มีใครล้อหลินเฉิงเย่ว่าติดอ่าง และไม่มีใครหัวเราะเยาะหนานเซียงว่าใบหน้าเสียโฉม

ในตอนนั้นเองเซียวลิ่วหลังก็ก้าวเข้ามาในลานบ้าน เมื่อครู่นี้เขาไปซื้อสุราที่ร้านสุราเล็กๆ ของร้านย่าโจว

หนานเซียงมาเมื่อคราก่อนที่บ้านมีกู้เจียวอยู่คนเดียว เซียวลิ่วหลังไม่ได้เจอหนานเซียง แต่เขาก็รู้ว่าหนานเซียงกับอาจารย์หลู่จะมา สุรานี้ก็ตระเตรียมไว้ให้พวกเขาสองคนโดยเฉพาะ

“ลิ่วหลังกลับมาแล้ว!” เฝิงหลินกวักมือเรียกเซียวลิ่วหลัง

หลินเฉิงเย่รีบลุกขึ้นวิ่งไปหิ้วไหสุราช่วยเซียวลิ่วหลัง

เฝิงหลินยิ้มแนะนำ “ลิ่วหลัง! นี่คืออาจารย์หลู่ ส่วนนี่อาจารย์แม่หนานเซียง”

เซียวลิ่วหลัง ‘ช้าก่อน เจ้านี่ทำตัวอย่างกับเจ้าบ้านเชียว’

เฝิงหลินเอ่ยกับสองสามีภรรยา “อาจารย์หลู่ อาจารย์แม่หนาน เขาคือพี่เขยของเสี่ยวซุ่นขอรับ!”

อาจารย์หลู่ทักทายเซียวลิ่วหลังอย่างมีไมตรี

สีหน้าหนานเซียงค่อนข้างแปลกประหลาด นางจ้องหน้าเซียวลิ่วหลังอยู่ตลอด ทำเอาอาจารย์หลู่ที่อยู่ด้านข้างรู้สึกลุแก่โทษ

เขากระตุกแขนเสื้อหนานเซียง ก่อนกระซิบเอ่ย “เหตุใดจึงเอาแต่จ้องคนเขาเล่า”

หนานเซียงเอ่ยอย่างตกใจ “ข้ารู้สึกว่า…เหมือนข้าเคยเจอเขาที่ไหนมาก่อน”

อาจารย์หลู่หัวเราะ “เจ้าจะเคยเจอเขาได้อย่างไร เขาเป็นพี่เขยของเสี่ยวซุ่น มาจากเมืองที่เป็นที่ตั้งอำเภอ เจ้าไม่เคยไปที่นั่นเสียหน่อย แต่ว่าข้าได้ยินว่าเขาหน้าตาเหมือนท่านโหวน้อยที่ตายไปแล้วมาก เจ้าเข้าวังครั้งแรกได้เคยเจอกับท่านโหวน้อยหรือไม่”

หนานเซียงส่ายหน้า “ไม่ใช่ ไม่ใช่ในวัง…”

และไม่ใช่ที่เมืองหลวงด้วย

หนานเซียงมองเซียวลิ่วหลังนิ่ง พยายามนึกย้อนว่าตัวเองเคยเจอเขาที่ไหนกันแน่

“อ้ากกก! ตำราข้า! ตำราข้าหาย! ซนนัก!”

เสียงโอดครวญของเสี่ยวจิ้งคงลอยมาจากห้องหนังสือ

เสี่ยวจิ้งคงดีหมดทุกอย่าง ติดที่ทิ้งขว้างของไม่เก็บให้เรียบร้อย ตั้งแต่เช้าจรดเย็นมักจะได้ยินเขาหาของทั้งวัน

เซียวลิ่วหลังไม่ได้ยินเสียงกระซิบกระซาบของทั้งคู่ เขาสังเกตแต่หนานเซียงที่เอาแต่จ้องตัวเอง ทว่าในฐานะเจ้าบ้านเขาจึงไม่กล้าพูดอะไร

“อาจารย์แม่หนาน อาจารย์หลู่ ขอตัวสักครู่นะขอรับ” เขาเอ่ยบอกแล้วไปช่วยเสี่ยวจิ้งคงหาของที่ห้องหนังสือ

หากไม่ช่วยเขาหาให้เจอ เจ้าหนูน้อยอาจหงุดหงิดอกแตกตายจนทั้งบ้านไม่เป็นอันสงบสุขได้

นี่เป็นเทศกาลไหว้พระจันทร์แรกที่พวกเขาฉลองกันอย่างจริงจังในเมืองหลวง จี้จิ่วอาวุโสเข้าครัวด้วยตัวเอง แม่นมฝางกับอวี้หยาร์เป็นลูกมือให้เขา ทำอาหารเลิศรสโต๊ะใหญ่อย่างหม้อไฟแมงป่อง ซี่โครงแกะต้ม สันในหมูผัดเปรี้ยวหวาน ขาหมูหวาน รากบัวทอด ฟองเต้าหู้เย็น น้ำแกงเต้าหู้ปลาจี้ฮื้อ ผัดสามเซียน ปูขนและของเรียกน้ำย่อยอีกสองสามอย่าง แน่นอนว่าไม่ลืมอาหารมังสวิรัติพิเศษในเทศกาลไหว้พระจันทร์ให้เสี่ยวจิ้งคง เขาก็มีซาลาเปาปูขนเช่นกัน ทำจากฟองเต้าหู้และแป้ง

“กินที่ลานบ้านดีกว่า ได้ชมจันทร์ด้วย!” เฝิงหลินบอก

เสี่ยวจิ้งคงเห็นด้วยเป็นคนแรก

เฝิงหลินกับหลินเฉิงเย่ไปยกโต๊ะมา เนื่องจากคนเยอะ โต๊ะตัวเดียวจึงไม่พอ ต้องต่อกันสองตัว

กู้เจียวไม่ได้เข้าครัวด้วย นางทำขนมไหว้พระจันทร์อยู่ในห้องครัวเล็กของบ้านท่านปู่ เซียวลิ่วหลังก็อยู่ด้วย

ฝีมือำอาหารของเขาไม่เอาไหน แต่ผ่าฟืนจุดไฟแบกน้ำนั่นยังพอได้

เซียวลิ่วหลังไม่เคยกินขนมไหว้พระจันทร์มาก่อน แต่ก็มองออกว่าสิ่งที่กู้เจียวทำคือขนมที่มีไส้ชนิดหนึ่ง ไส้มีมากมายหลากหลาย มีไส้โหงวยิ้ง ไส้ถั่วแดงและไส้ไข่เค็มกับเม็ดบัว

“ทำไส้พุทราด้วยได้หรือไม่” จู่ๆ เขาก็เอ่ยถามขึ้น

“ข้าไม่เคยทำ แต่น่าจะได้นะ” กู้เจียวบอก “แต่เหมือนที่บ้านจะไม่มีพุทราแล้ว”

“ข้าไปซื้อให้!” เซียวลิ่วหลังลุกขึ้นยืนพลางเอ่ย

กู้เจียวมองเขาอย่างแปลกใจ ปกติก็ไม่เคยจะเห็นเจ้าชอบกินพุทราขนาดนี้เลยนี่

“เอาสิ” กู้เจียวพยักหน้า

เซียวลิ่วหลังไปซื้อพุทราที่ตลาดใกล้ๆ นี้ แล้วเอามาล้างให้สะอาด ปอกเปลือกแล้วตำให้ละเอียดเป็นไส้โดยมีกู้เจียวคอยสอน

ไม่มีเตาอบ ขนมไหว้พระจันทร์จึงต้องนึ่งแทน ให้รสสัมผัสแตกต่างกันกับขนมไหว้พระจันทร์ในชาติก่อน แต่กู้เจียวใช้ความคิดกับแม่พิมพ์ไม่น้อย ขนมไหว้พระจันทร์ที่ทำออกมาจึงเป็นทรงกลม ทรงดอกไม้และเป็นภาพกับตัวอักษรที่น่ารักยิ่ง

เสี่ยวจิ้งคงเห็นหัวหมูน้อยๆ น่ารักน่าเอ็นดูบนขนมไหว้พระจันทร์ของตัวเองก็ร้องตื่นเต้น

กู้เจียวเลือกขนมไหว้พระจันทร์ไร้น้ำตาลใส่กล่องจำนวนหนึ่ง “พวกนี้จะให้ท่านย่า”

จวงไทเฮาต้องฉลองเทศกาลไหว้พระจันทร์ในวังหลวงจึงออกมาไม่ได้

กู้เจียวกะว่าอีกเดี๋ยวจะเข้าวังเอาไปส่งให้นาง

คิดไม่ถึงว่าเซียวลิ่วหลังจะออกหน้ารับหน้าที่นี้เอง “ข้าเอาไปส่งให้ท่านย่าเอง”

กู้เจียวจ้องเขานิ่ง “เอาสิ”

“เจียวเจียว! เจียวเจียว! รีบมาดูเร็ว!”เสี่ยวจิ้งคงไม่รู้ว่าเจอโลกใหม่อะไรเข้าอีก จึงได้วิ่งตึงตังลากกู้เจียวออกไป

เมื่อกู้เจียวกลับมาถึงห้องครัว เซียวลิ่วหลังก็เอาขนมไหว้พระจันทร์ออกไปแล้ว

นอกจากขนมไหว้พระจันทร์ไร้น้ำตาลจะหมดเกลี้ยงแล้ว ไส้พุทราจีนก็เอาไปด้วย

ณ ถนนจูเชวี่ย ทั่วทั้งถนนเต็มไปด้วยบรรยากาศของเทศกาลไหว้พระจันทร์

ทว่าลานบ้านหลังต้นท้อแห่งหนึ่งกลับเงียบเหงาอ้างว้างเป็นพิเศษ

เพราะว่าเงียบเหงาเกินไปจึงสามารถได้ยินเสียงหัวเราะรื่นเริงจากเรือนอื่นๆ ได้อย่างชัดเจน

หน้าต่างบานใหญ่เปิดออกกว้าง

องค์หญิงซิ่นหยางกับอวี้จิ่นนั่งอยู่ริมหน้าต่าง บนโต๊ะระหว่างทั้งคู่มีอาหารหวานคาววางไว้มากมาย

อวี้จิ่นแกะปูตัวอวบอ้วนออก ก่อนยิ้มอ่อนโยนเอ่ย “วันนี้ฉลองเทศกาลไหว้พระจันทร์ องค์หญิงเว้นอาหารเจสักวันก็แล้วกัน นี่เป็นปูจากวังหลวง องค์หญิงลองชิมดูสิเพคะ”

“ทำให้เจ้ากินต่างหากล่ะ” องค์หญิงซิ่นหยางบอก

อวี้จิ่นถอนหายใจ

เสียงเจี๊ยวจ๊าวของเด็กน้อยลอยมาจากบ้านข้างๆ คลอกับเสียงหัวเราะของผู้ใหญ่ ยิ่งขับให้ทางพวกนางอ้างว้าง เงียบเหงาอย่างชัดเจน

ทันใดนั้น กลับมีคนมาเคาะประตูเรือนอันเงียบเหงานี้ขึ้น

“ใครรึ”

สาวใช้ที่กำลังซักผ้าอยู่ในลานบ้านถามขึ้น

สิ่งที่ตอบกลับนางมาเป็นเสียงเคาะประตูอีกหน

“มาแล้ว มาแล้ว!” สาวใช้วางเสื้อผ้าที่ซักได้ครึ่งหนึ่งลง แล้วลุกขึ้นเช็ดมือกับผ้าขนหนูที่ตากอยู่บนราวตากผ้า ก่อนเดินมาหน้าประตู เปิดประตูเรือนออก เอ่ยว่า “ใครรึ”

“เอ๊ะ คนเล่า”

สาวใช้เยี่ยมศีรษะออกไปมองซ้ายมองขวา เมื่อแน่ใจว่าไร้เงาคนนางจึงเกาหัวอย่างฉงน “ได้ยินเสียงเคาะประตูอยู่ชัดๆ เลยนี่นา”

นางกำลังจะปิดประตูเรือนกลับเห็นกล่องอาหารกล่องหนึ่งวางอยู่หน้าประตู

“เอ๊ะ ใครเอามาวางไว้น่ะ”

นางพึมพำ

“เกิดอะไรขึ้นรึ” อวี้จิ่นอยู่ตรงระเบียงมองสาวใช้ท่าทางแปลกๆ พลางถามขึ้น

สาวใช้หันมาเอ่ยกับอวี้จิ่น “ใต้เท้าอวี้จิ่น เมื่อครู่นี้มีคนมาเคาะประตูแล้ววางกล่องอาหารไว้ตรงนี้เจ้าค่ะ”

อวี้จิ่นเป็นคนระแวดระวังมาก นางเดินมาดูกล่องอาหารที่ปิดสนิทหน้าประตู ไม่ได้รีบร้อนเปิดทันที แต่เรียกหลงอีมาหา ให้หลงอีเปิดมันออก

“เจ้าระวังหน่อยนะ เกรงว่าด้านในจะมีอาวุธลับอะไรซุกซ่อนไว้” อวี้จิ่นบอก

นางไม่รู้ว่าหลงอีจะเข้าใจหรือไม่

ทว่าสุดท้ายบนโลกใบนี้ก็ไม่มีอาวุธลับใดสามารถลอบทำร้ายหลงอีได้

หลงอีเปิดกล่องอาหารออก กลิ่นพุทราอันเข้มข้นปะทะจมูก

อวี้จิ่นชะงักไป เห็นด้านในเป็นขนมรูปร่างแปลกตา ใช่อาวุธลับเสียที่ไหนกัน

องค์หญิงชอบเสวยไส้พุทราจีน

แต่แทบจะไม่มีใครรู้เลย

“เกิดอะไรขึ้นรึ”

องค์หญิงซิ่นหยางเดินมาหาด้วยสีพระพักตร์เรียบนิ่ง

สาวใช้รีบค้อมกายคำนับให้

อวี้จิ่นหอบกล่องอาหารไว้ในอก ก่อนส่งให้นางพลางเอ่ย “ไม่รู้ว่าใครเป็นคนเอาสิ่งนี้มาวางไว้เพคะ”

องค์หญิงซิ่นหยางหยิบขนมไหว้พระจันทร์ไส้พุทราขึ้นมาจ้องอยู่เนิ่นนาน

สาวใช้ถามอย่างระมัดระวัง “จะทิ้งหรือไม่เพคะ จะมีใครวางยาพิษไว้หรือไม่”