ตอนที่ 539 ทับจนบัณฑิตน้อยแบนแล้วจะทำอย่างไร

หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง

ตอนที่ 539 ทับจนบัณฑิตน้อยแบนแล้วจะทำอย่างไร

หลังจากหมินหวางเฟยได้ยินเช่นนั้น ก็กลอกดวงเนตรใส่พระสวามี “พระองค์ไม่กลัวว่ากระบี่เล่มนี้จะโดนฝ่าบาทขอ ‘ยืม’ ไปดูเล่นอีกหรือ ? ”

ใช้คำว่า ‘ยืม’ เพราะมีครั้งก่อนหน้านี้ด้วย ก่อนที่ราชวงศ์ต้าเซี่ยจะสถาปนาขึ้นมา ในเวลานั้นหมินอ๋องยังเป็นแค่แม่ทัพใหญ่ ขณะนำทัพบุกเมืองหลวงก็ค้นเจอกระบี่หยูฉาง (กระบี่ไส้ปลา) ล้ำค่าจากจวนขุนนางทรงอำนาจท่านหนึ่ง พอฮ่องเต้หยวนชิงทราบเรื่องก็บอกว่าจะขอยืมไปดูเล่นสักสองสามวัน แต่สุดท้ายกระทั่งตอนนี้ก็ยังไม่ส่งคืน…

พอนึกถึงความหน้าด้านหน้าทนของฮ่องเต้แล้ว หมินอ๋องก็ไม่คิดจะเอากระบี่ไปอวดอีกต่อไป พระองค์ตัดสินใจแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องปิดข่าวเรื่องกระบี่จ้านหลูไว้ให้ได้ เพราะนี่เป็นของขวัญที่บุตรสาวสุดที่รักซื้อให้ จะปล่อยให้ตาเฒ่าฮ่องเต้เอาไปไม่ได้เด็ดขาด !

หมินอ๋องมีความสุขและคีบอาหารอร่อยทุกอย่างใส่ชามของบุตรสาว หลินเว่ยเว่ยตกใจจนเอามือป้องชามตัวเองไว้ “พอแล้ว ลูกกินไม่ไหวแล้วเพคะ ! ถ้ายังกินต่อไป ก็ได้กลายเป็นคนอ้วนแน่นอน ! ”

นางยังจำได้อย่างชัดเจนถึงตอนเพิ่งทะลุมิติมา ทั้งตัวมีแต่ไขมัน เหมือนภูเขาไขมันไม่มีผิด แค่เดินก็ไขมันสั่นกระเพื่อม นางต้องใช้เวลาถึงครึ่งปีจึงสามารถลดไขมันส่วนเกินออกไปได้ จะกินตามใจปากจนกลับมาเหมือนเดิมอีกไม่ได้แล้ว…เพราะถ้านางอ้วนจนเหมือนตอนที่เพิ่งทะลุมิติมา นางต้องทับจนบัณฑิตน้อยแบนแน่นอน…ฮ่าฮ่า !

เจียงโม่หานเห็นนางเหลือบมองแล้วก้มหน้าฉีกยิ้มอย่างชั่วร้าย จึงรู้ว่าเด็กน้อยเริ่มนึกพิเรนทร์อีกแล้ว ! เขาคีบเนื้ออกไก่ที่หลินเว่ยเว่ยไม่ชอบออกจากชามของนางแล้วคีบใส่ปากตัวเองแทน ในขณะที่หมินอ๋องถลึงดวงเนตรจ้องมอง

หมินอ๋องถลึงมองอย่างดุร้าย จากนั้นยังยกน่องไก่ให้บุตรสาวอีกหนึ่งน่อง พร้อมตรัสเกลี้ยกล่อมนางว่า “อ้วนอะไรกัน ? คนตระกูลจ้าวของพวกเราไม่มีคนอ้วน พอกินเสร็จแล้วฟู่หวางจะพาเจ้าไปลานฝึกยุทธ พอฝึกสักสองสามกระบวนท่าก็รับรองไม่มีทางอ้วนขึ้นแน่นอน ! ”

หมินหวางเฟยอ่านความคิดของพระสวามีออก “พระองค์ก็แค่คันไม้คันมือ อยากให้บุตรสาวมาประลองด้วยเท่านั้น ? ไม่ต้องพูดจาให้ดูดีขนาดนั้นหรอกเพคะ เว่ยเอ๋อร์ไม่ใช่เด็กแข็งกระด้างอย่างจินเฉิงที่จะให้พระองค์ทรมานได้ทุกอย่าง ถ้าทำให้นางบาดเจ็บแล้ว หม่อมฉันจะจัดการพระองค์แน่ ! ”

ฮูหยินผู้เฒ่ามองลูกสะใภ้ด้วยรอยยิ้ม นางอดไม่ได้ที่จะพูดหยอกเย้า “ใช่ เสวี่ยเอ๋อร์ก็รีบรักษาตัวให้หายเร็ว ๆ แล้วมาจัดการเขา ! ”

“ท่านแม่ ใครเป็นบุตรแท้ ๆ ของท่านกันแน่ ? ” หมินอ๋องรีบคีบเต้าหู้ยัดไส้เนื้อไก่ให้หญิงชรา…ช่วงนี้ฮูหยินผู้เฒ่าปวดฟัน จึงกินของแข็งไม่ได้ “ลองชิมสิขอรับ เว่ยเอ๋อร์เป็นคนสอนให้แม่ครัวประจำห้องเครื่องเล็กทำ ลองชิมว่าถูกปากท่านหรือเปล่า ? ”

“พ่อบุญธรรมเพคะ พระองค์ไม่รู้หรือว่าท่านย่าไม่ชอบกินเต้าหู้…” จ้าวชิงหลวนเติบโตอยู่ข้างกายฮูหยินผู้เฒ่า นางจึงภาคภูมิใจที่ตนรู้เรื่องความชอบหรือไม่ชอบของฮูหยินผู้เฒ่า จากนั้นหันมาพูดกับหลินเว่ยเว่ยด้วยรอยยิ้ม “จวิ้นจู่เพิ่งมาอยู่ได้ไม่นาน ไม่รู้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอันใด”

เจียงโม่หานมีสายตาแหลมคม เขาหรี่ตามองจ้าวชิงหลวน…เด็กที่ไร้หัวนอนปลายเท้า กลับหลงเข้าใจผิดว่าตนก็เป็นเจ้านายตำหนักหมินอ๋อง ติดหอกพกกระบอง1 คิดว่าคนอื่นโง่จริงหรือ ?

แต่หลินเว่ยเว่ยกลับยิ้มให้ฮูหยินผู้เฒ่า “ท่านย่า นี่เป็นเต้าหู้อ่อนที่ทำในตำหนักเราเอง ไม่มีกลิ่นของถั่วเหลือง หลังจากผัดไส้เนื้อไก่เสร็จแล้วถึงเอามายัดใส่เต้าหู้อีกที นอกจากเนื้อบดแล้วด้านในยังใส่เห็ดหั่นลูกเต๋า เนื้อกุ้งและหอยสับลงไปด้วย นุ่มอร่อยฉ่ำน้ำ หอมหวนชวนกินเชียวล่ะเจ้าค่ะ ท่านย่าลองกินแล้วรับรองได้เลยว่าจะไม่ทำให้ผิดหวัง ! ”

หมินหวางเฟยก็ให้ความร่วมมือโดยการคีบเต้าหู้ยัดไส้มาเสวยหนึ่งชิ้น แล้วตรัสด้วยรอยยิ้ม “ท่านแม่ ท่านกินได้แค่ชิ้นเดียวเท่านั้น เพราะที่เหลือเป็นของลูก ! ”

ตั้งแต่ชิงหลวนออกเรือนไปแล้ว ส่วนใหญ่ฮูหยินผู้เฒ่าต้องกินข้าวคนเดียว ส่วนการกินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตาและคึกคักอย่างในเวลานี้ หนึ่งปีมีแค่ไม่กี่ครั้งเท่านั้น แม้ว่าวันนี้จะขาดหลานชายจินเฉิงไป แต่เพียงหลินเว่ยเว่ยคนเดียวก็คึกคักเหมือนมีจินเฉิงสิบคนแล้ว อีกทั้งวันนี้ยังมีหมินหวางเฟยเพิ่มอีกคน

ฮูหยินผู้เฒ่าอารมณ์ดีสุด ๆ จึงให้สาวใช้คีบเต้าหู้ยัดไส้ให้ตน “ข้าต้องลองชิมจริง ๆ แล้วสิ ดูว่าเต้าหู้นี้อร่อยถึงเพียงใดจึงทำให้เสวี่ยเอ๋อร์ตื่นเต้นจนอยากเอาไปกินคนเดียวทั้งหมด ! ”

พอเนื้อเต้าหู้สัมผัสกับลิ้น นางก็รับรู้ได้ถึงความไม่ธรรมดาทันที ไม่ทันรู้ตัวก็กินหมดหนึ่งชิ้นแล้ว นางวางตะเกียบแล้วใช่ผ้าเช็ดปากเบา ๆ ก่อนจะพยักหน้าพูดว่า “ไม่เลว ชุ่มน้ำรสกลมกล่อม เนื้อนุ่มเนียนละเอียด รสชาติสดใหม่ ว่าไปแล้วก็ไม่ได้กลิ่นของถั่วเหลืองจริง ๆ ด้วย ! ”

สาเหตุที่ฮูหยินผู้เฒ่าไม่ชอบเต้าหู้ ประการแรกคือหลังจากเต้าหู้ผ่านการปรุงแล้วจะมีกลิ่นเหม็นเขียวของถั่ว อีกประการคือเต้าหู้ส่วนใหญ่ที่ซื้อมาจากข้างนอก มักจะเป็นของที่ค่อนข้างเก่า รสสัมผัสไม่นุ่มอร่อยด้วย

เต้าหู้นี้ทำมาจากน้ำเต้าหู้ที่หลินเว่ยเว่ยตื่นขึ้นมาต้มในตอนเช้า นางจึงถือโอกาสทำออกมาด้วย วิธีทำที่ต่างออกไปผสมกับน้ำพุวิญญาณ จึงเป็นธรรมดาที่จะไม่ต้องพูดถึงเรื่องรสชาติแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่ายังให้เกียรติคีบกินเพิ่งอีกหนึ่งชิ้น ก่อนจะหยุดกิน

หลินเว่ยเว่ยพูดด้วยรอยยิ้มหวานหยด “ท่านย่า ตอนอยู่ที่ฉือหลี่โกว หลานเคยเรียนวิชาแพทย์พื้นฐานมาจากท่านหมอเหลียง หากกินของที่ทำจากถั่วเหลืองในปริมาณที่พอเหมาะ จะช่วยปรับกระเพาะอาหาร บำรุงส่วนที่บกพร่องในร่างกาย บำรุงกระดูกเส้นเอ็นและยังช่วยป้องกันโรคในวัยชราได้บางโรค เหมาะกับคนสูงอายุมากเจ้าค่ะ”

แต่จ้าวชิงหลวนถามด้วยท่าทางสงสัย “จวิ้นจู่ นี่เป็นคำพูดของท่านหมอในหมู่บ้านของท่านหรือ ? ”

หลินเว่ยเว่ยวางตะเกียบลง นางเก็บรอยยิ้มมุมปากแล้วมองจ้าวชิงหลวนด้วยสีหน้าแฝงความนัย “พี่ชิงหลวน ที่ท่านเติมคำว่า ‘หมู่บ้าน’ สองคำนี้ลงไปด้วย หมายความว่าอย่างไร ? ท่านกำลังเตือนว่านกกระจอกที่บินมาจากหมู่บ้านในหุบเขาอย่างข้า ไม่ควรใช้วิชาบ้านนอกมาหลอกลวงท่านย่ากระมัง ? พี่ชิงหลวน ใช่ว่านกทุกประเภทก็สามารถหยุดพักบนต้นอู๋ถง2แล้วกลายเป็นหงส์ได้หมดทุกตัวหรอก ! ”

จ้าวชิงหลวนคาดไม่ถึงว่าหลินเว่ยเว่ยจะไม่ยึดตามหลักการแล้ววางไพ่เช่นนี้ คิดจะเปลี่ยนสีหน้าก็เปลี่ยนสีหน้าทันที นางรีบหันไปมองฮูหยินผู้เฒ่าแล้วหันกลับมาพูดเบา ๆ ว่า “จวิ้นจู่ ท่านเข้าใจข้าผิดแล้ว…หากจวิ้นจู่ถือสา ต่อไปชิงหลวนไม่พูดสองคำนี้อีกแล้ว ! ”

“สองคำไหน ? หมู่บ้าน ? บ้านนอก ? เด็กบ้านนอก ? หรือคนบ้านนอก ? อ้อ ขอโทษด้วย นี่มันสามคำแล้ว ! แต่ข้าไม่เคยอับอายที่เคยอยู่ในฉือหลี่โกวมาก่อน ตรงกันข้ามคือยังรู้สึกภาคภูมิใจด้วยซ้ำ !

หมู่เฟยทำเพื่อแผ่นดิน เพื่อความชอบธรรม ยอมสละตัวข้ายามแรกเกิดเพื่อทำให้ข้าได้เติบใหญ่ ข้ามีหมู่เฟยที่ดีแบบนี้ย่อมต้องภาคภูมิใจ ในเวลาเดียวกันแม่เลี้ยงที่ฉือหลี่โกวก็มีสุขภาพร่างกายอ่อนแอ แต่สามารถเลี้ยงข้า ดูแลข้าได้ ก็นับเป็นความภาคภูมิใจของข้าเช่นกัน !

ไม่ว่าจะเป็นเด็กจากหมู่บ้านฉือหลี่โกวหรือจวิ้นจู่ตำหนักหมินอ๋อง ก็เป็นตัวข้าทั้งนั้น ! อดีต ปัจจุบัน อนาคต รวมกันเป็นชะตาชีวิตที่สมบูรณ์แบบของข้า จะตัดช่วงไหนทิ้งไม่ได้เด็ดขาด พี่ชิงหลวน มีเพียงคนที่ไม่มั่นใจในตัวเองเท่านั้น ถึงคิดละอายกับอดีตของตน ท่านคิดว่า…ข้าพูดถูกหรือไม่ ? ”

ทิ้งความคิดอันชั่วร้ายของเจ้าเสีย อยากจะทำให้ข้าอับอายต่อหน้าท่านย่า ฟู่หวางและหมู่เฟยอย่างนั้นหรือ ? ฝันไปเถิด ! แม้หลินเว่ยเว่ยไม่รู้ว่าเหตุใดจ้าวชิงหลวนจึงพุ่งเป้ามาที่ตน แต่นางก็ไม่กลัว…ไม่ว่าเงาใดก็ต้องอยู่ภายใต้แสงอาทิตย์ ไร้ที่ซ่อนอย่างสมบูรณ์แบบได้หรอก !

“จวิ้นจู่ ท่านอย่าโมโห ข้าเป็นคนพูดไม่เก่ง…ข้าไม่ได้หมายความในแง่นั้นจริง ๆ ! ” จ้าวชิงหลวนยังทำตัวอ่อนแอคล้ายกำลังน้อยเนื้อต่ำใจที่โดนหลินเว่ยเว่ยรังแก

ดอกบัวขาวแฝงกลิ่นชาเขียว3 ! หลินเว่ยเว่ยไม่ชอบคนประเภทนี้ที่สุด เก่งจริงก็ชักกระบี่แล้วมาสู้กันซึ่งหน้า หรือไม่ก็แหกปากด่ากันไปเลย !

[i]
1 ติดหอกพกกระบอง หมายถึง พูดจาแฝงความนัยเยาะเย้ยถากถาง

2 ต้นอู๋ถง โบราณเชื่อว่าต้นอู๋ถงเป็นต้นไม้อันสง่างามและเป็นที่พักพิงของหงส์

3 ดอกบัวขาวแฝงกลิ่นชาเขียว เป็นคำสแลงของวัยรุ่นจีน มีความหมายว่าผู้หญิงที่ทำตัวใสซื่อแต่ความจริงดัดจริตมาก