ตอนที่ 540 โลภมากลาภหาย

หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง

ตอนที่ 540 โลภมากลาภหาย

“ข้าควรสนใจว่าท่านหมายถึงอะไรด้วยหรือ ? เพราะข้า…ไม่ ! ให้ ! ความ ! สำคัญ ! ” ความอัปยศที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตมนุษย์ ก็คือเจ้าเห็นอีกฝ่ายเป็นศัตรู แต่อีกฝ่ายไม่เห็นเจ้าอยู่ในสายตา ! เจ้าเป็นแค่บุตรบุญธรรมที่ตำหนักหมินอ๋องรับเลี้ยงไว้เท่านั้น คิดจะมาเทียบชั้นกับพวกเจ้านาย เห็นคนอื่นโง่ไปหมดแล้วหรือ ?

หมินอ๋องไม่ชอบดูพวกสตรีที่ทำท่าทางจะร้องไห้ขึ้นมาเสียดื้อ ๆ มากที่สุด พระองค์ขมวดพระขนงเข้าหากัน “ชิงหลวน เว่ยเอ๋อร์มีนิสัยตรงไปตรงมา…จุดนี้เหมือนเปิ่นหวาง ! ที่นางพูดเรื่องพวกนั้นก็ไม่ผิด เจ้าอย่าเอาแต่ทำให้เรื่องซับซ้อนเกินไป พอแล้ว รีบกินข้าวกันเถิด อาหารจะเย็นหมด ! ”

หมินหวางเฟยหยิบตะเกียบขึ้นมาแล้วคีบท้องปลาซึ่งเป็นส่วนที่นุ่มที่สุดให้หลินเว่ยเว่ย จากนั้นตรัสเบา ๆ ว่า “เว่ยเอ๋อร์ ลองชิมอันนี้สิ ถึงแม้ฝีมือของเหมยหยิงจะห่างชั้นจากเจ้ามาก แต่ปลาเปรี้ยวหวานซีหูนี้ยังปรุงออกมามีรสดั้งเดิมอยู่บ้าง”

หลินเว่ยเว่ยก็คีบอาหารให้พระชายา “เนื้อปลาเป็นของที่ย่อยง่าย หมู่เฟยก็เสวยบ้างเพคะ…หมู่เฟย เนื้อแล่ต้มจานนี้มีรสเผ็ดเกินไป ตอนนี้ยังเสวยไม่ได้นะเพคะ ! ”

หมินหวางเฟยชักมือที่กำลังยื่นไปคีบเนื้อแล่ต้มรสเผ็ดกลับมาแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “แม่รู้แล้ว แม่ไม่ได้จะกินเอง แต่จะคีบให้เจ้า…เฮ้อ ! มีคนควบคุมเพิ่มอีกคนแล้ว ชีวิตแม่จะอยู่อย่างไรต่อไป ! ”

ฮูหยินผู้เฒ่าให้สาวใช้คีบอาหารให้จ้าวชิงหลวน แต่ไม่ได้ช่วยพูดอะไรแทนจ้าวชิงหลวนเลย หลังได้ยินแบบนั้นฮูหยินผู้เฒ่าก็พูดกับหมินหวางเฟยว่า “เจ้านี่นะ นิสัยเหมือนเด็กไม่มีผิด ต้องมีคนคอยดูเจ้าไว้ตลอด ! กว่าร่างกายของเจ้าจะดีขึ้นได้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ดังนั้นจะปล่อยให้เอาแต่ใจไม่ได้ รอให้เจ้าหายดีเมื่อไร อยากกินอะไรก็กิน ! ”

“เฮ้อ…ท่านแม่ก็คอยควบคุมลูก ตอนนี้บนศีรษะของลูกมีภูเขาหินสามลูกซ้อนทับอยู่ ทับจนพลิกตัวไม่ได้แล้ว ! ” หมินหวางเฟยเสวยอาหารที่มีสรรพคุณทางยาอย่างยอมรับชะตากรรม นางถอนหายใจพร้อมคร่ำครวญ บัดนี้แค่เห็นเงาตัวเองแล้วยังเกิดความสงสารตัวเองขึ้นมาเลย…

หลังกินอาหารเสร็จแล้ว สาวใช้คนสนิทของฮูหยินผู้เฒ่าก็ชงชาผลไม้ให้ดื่ม นางพูดกับหมินอ๋อง “ชาผลไม้นี้ไม่เลว ดื่มก่อนอาหารและก่อนนอนทุกวัน ข้าก็เจริญอาหารขึ้นมาก นอนก็หลับสนิทยิ่งกว่าเดิม เจ้าไปเอาของดีแบบนี้มาจากที่ใด ? เมื่อไม่กี่วันก่อนพวกพี่น้องของข้ามาหา พอดื่มไปแล้วก็คิดว่ามันเป็นของดี จึงฝากข้ามาถามว่าซื้อจากที่ใด ! ”

หมินอ๋องแย้มพระโอษฐ์แล้วลูบเคราด้วยความภาคภูมิใจ “ไม่ได้ซื้อมาขอรับ ! นี่เป็นชาที่เว่ยเอ๋อร์ของพวกเราเคี่ยวเองกับมือ ชาผลไม้หนึ่งโถต้องใช้เวลาเคี่ยวถึง 2 ชั่วยามเต็ม ๆ เลยล่ะขอรับ ! ”

“หืม ? เจ้ารู้จักเว่ยเอ๋อร์ตั้งแต่ตอนนั้นแล้วหรือ ? ” ตอนฮูหยินผู้เฒ่าได้รับชาผลไม้ก็เป็นช่วงเวลาเมื่อครึ่งเดือนก่อน นางคิดไม่ตก ท่านอ๋องพระองค์หนึ่งกับเด็กสาวที่ตามมาสอบเป็นเพื่อนคู่หมั้นอีกคนหนึ่ง เหตุใดจึงมาเจอกันได้

หมินอ๋องพยักดวงพักตร์ “เว่ยเอ๋อร์ไม่ได้ช่วยฮ่องเต้ไว้หรือขอรับ ! ตอนนั้นฮ่องเต้เห็นจี้หยกห้อยคอนางเข้าพอดี หลังจากฮ่องเต้เสด็จกลับวังแล้วก็เล่าให้ลูกฟัง…เว่ยเอ๋อร์ยังคิดว่าลูกเป็นคนชั่ว จึงเกิดการต่อสู้กันบนถนนขึ้นมาด้วยขอรับ ! ”

หลินเว่ยเว่ยเกาจมูกด้วยความเขินอาย “หมู่เฟย ท่านย่า พวกท่านลองคิดดูสิ ถ้ามีชายฉกรรจ์เคราเต็มหน้าคนหนึ่งตามพวกท่านมาตลอดทาง พวกท่านจะไม่สงสัยว่าเขามีเจตนาร้ายเลยหรือ ? ตอนนั้นลูกเองก็ไม่รู้ว่าพระองค์คือหมินอ๋องนี่เพคะ ! ”

พอฮูหยินผู้เฒ่าได้ยินแบบนั้นก็พยักหน้าแล้วพูดว่า “เจ้าดูตัวเองเถิด สะกดรอยตามเด็กสาวคนหนึ่ง ไม่ถูกคนเขาตีก็แปลกแล้ว ! ”

หมินหวางเฟยขัดหูขัดตากับเคราบนดวงพักตร์นานแล้ว “สภาพเหมือนโจรของพระองค์ ไม่โดนนางแจ้งทางการก็ถือว่าดีเท่าไรแล้ว ! รีบจัดการเคราบนพระพักตร์เสียเถิด จะทำให้เด็กตกใจกลัวจนร้องไห้ออกมาได้อยู่แล้วเพคะ ! ”

ต่อจากนั้นฮูหยินผู้เฒ่า หมินหวางเฟยและหลินเว่ยเว่ยก็พูดหยอกล้อเรื่องเคราเหมือนขนเม่นของหมินอ๋องอีกยกหนึ่ง ทำให้หมินอ๋องถึงขั้นหมดความน่าเกรงขามและรีบขอความเมตตา “พอกลับไปแล้วจะโกนออกให้หมด ทุกคนพอใจแล้วใช่หรือไม่ ? ”

ขณะมองทั้งสี่คนรักใคร่กลมเกลียว สนทนากันอย่างสนุกสนาน จ้าวชิงหลวนก็รู้สึกปวดใจขึ้นมาทันที…ยังบอกว่าเห็นนางเป็นบุตรสาวแท้ ๆ อีกหรือ พอบุตรสาวตัวจริงกลับมาก็โยนนางทิ้งทันที ที่แท้ช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้นางก็เป็นแค่ตัวแทน !

แม้จะเต็มไปด้วยความไม่พอใจ แต่ก็ไม่กล้าเอ่ยปากพูดอะไรออกมาอีก สายตาอันปราดเปรื่องของฮูหยินผู้เฒ่าได้มองทุกอย่างออกหมดแล้ว…ความคิดเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านั้นในใจนาง ไฉนเลยจะรอดพ้นสายตาของฮูหยินผู้เฒ่าไปได้ ?

หลินเว่ยเว่ยใช้คำพูดอันงดงามว่า ‘กินข้าวเสร็จแล้วเดินออกกำลัง อายุยืนร้อยปี’ เพื่อออกมาจากเรือนฝูหรงของฮูหยินผู้เฒ่า แต่ในความเป็นจริงแล้วเพื่อออกมาส่งพวกบัณฑิตน้อยไปยังเรือนหน้าและจะได้มีเวลาอยู่กับเขาระยะหนึ่ง…ถ้าไม่มีหลอดไฟที่สว่างจ้าแสนขัดตาอย่างหลินจื่อเหยียนอยู่ด้วยก็คงดีกว่านี้ !

ระหว่างสนทนากันก็พูดถึงจ้าวชิงหลวนและหลินเว่ยเว่ยมุ่ยปากทันที “จ้าวชิงหลวนคนนี้ ไม่เคยมีบุญคุณความแค้นต่อกันด้วยซ้ำ นางจะหาเรื่องข้าให้ได้อะไรขึ้นมา ? ”

“เพราะตอนนี้เจ้าเป็นผู้ที่ได้ครอบครองทุกอย่างซึ่งนางอยากได้มาตลอดสิบกว่าปีนี้ ! ความริษยาทำให้มนุษย์กลายเป็นปิศาจได้ ! ” เจียงโม่หานพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ตัวตลกออกมากระโดดโลดเต้นแล้ว ทว่าไม่น่ากลัวเลย ! ”

หลินเว่ยเว่ยยักไหล่ “ไม่รู้ว่านางคิดอะไรอยู่ นางเป็นเพียงบุตรสาวบุญธรรมของตำหนักหมินอ๋อง แม้จะหาตัวบุตรสาวแท้ ๆ กลับมาไม่ได้ ก็ไม่มีทางตกถึงนางแน่นอน ! เจ้าฟังที่นางพูดสิ เหตุใดจะไม่ได้หมายความเหมือนที่ข้าพูด ยังกล้าบอกว่าไม่ได้หมายความแบบนั้น เห็นคนอื่นโง่หมดหรือไร ? ต้องทำให้ความสัมพันธ์ของคนอื่นวายวอดไปหมด ถึงจะพอใจหรือ ? ”

“ใช่ แม้แต่เจ้ายังมองออก แล้วนับประสาอันใดกับฮูหยินผู้เฒ่าและหมินหวางเฟยที่อ่านอารมณ์ผู้คนมาอย่างชำนาญ ? ไม่ต้องเก็บมาใส่ใจหรอก ! ”

ทันใดนั้นหลินเว่ยเว่ยก็หันไปมองเจียงโม่หาน “เจ้าหมายความว่าอย่างไร ? สิ่งใดที่เรียกว่า ‘แม้แต่เจ้ายังมองออก’ ? เจ้าสงสัยในสติปัญญาของข้าหรือ ? ”

“ไม่ใช่ ข้าไม่ได้สงสัย แต่มั่นใจเลยว่าเรื่อง ‘สติปัญญา’ นี้เป็นคำที่ไม่คุ้นเคยสำหรับเจ้า…” เจียงโม่หานแกล้งนางด้วยท่าทางเคร่งขรึม

“ดีนัก ! เจ้ากล้าพูดว่าข้าโง่ ! ข้าจะให้เจ้าได้ลิ้มรสชาติ ‘หมัดดาวตกเพกาซัส’ ของข้า ! ” หลินเว่ยเว่ยโมโหจนกำหมัด…ข้าจะอัด จะทุบ จะตีเจ้าให้ตาย !

หลินจื่อเหยียนตกใจทันที “พี่รอง ท่านเก็บอารมณ์หน่อย อย่าทุบตีจนพี่เขยรองเป็นอะไรไป…”

“เจ้าเห็นข้าเป็นก้อนโคลนหรือไร ? ” เจียงโม่หานไม่ชอบให้พูดว่าเขาอ่อนแอที่สุด เขาเหยียดแขนที่แข็งแกร่งของตนออกมา…ดูกล้ามแน่น ๆ นี่สิ มีตรงไหนเรียกว่าอ่อนแอ ?

หลินเว่ยเว่ยยกมือไปลูบ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงวิจารณ์ “ไม่เลว ! แม้ใส่เสื้อผ้าแล้วดูตัวผอมแห้ง แต่ถอดเสื้อผ้าแล้วกลับมีกล้าม ข้าชอบ ! ” สำหรับคนตัวโตที่มีแต่กล้ามเด่นชัด นางไม่มีใจชื่นชมแม้แต่น้อย

เจียงโม่หานปัดมือนางทิ้ง แล้วพูดขณะใบหน้าแดงก่ำ “อย่าปากว่ามือถึง ระวังผลที่ตามมาด้วย ! ”

“เจ้ากังวลถึงผลกระทบอะไรกัน ? ท่านจวิ้นหม่าของข้า” หลินเว่ยเว่ยขยับเข้าไปพร้อมเสียงหัวเราะ ตัวนางแทบจะแนบชิดติดกับเขาอยู่แล้ว

หลินจื่อเหยียนหมดคำพูดในทันที “พวกท่านจะพอได้หรือยัง ! ถ้าหมินอ๋องรู้เข้า ประเดี๋ยวก็เกลียดพี่เขยรองมากกว่าเดิมอีก ! พี่รอง ท่านคิดว่าพี่เขยรองโดดเด่นถึงขนาดนี้ เหตุใดฟู่หวางของท่านถึงไม่ชอบ ? ”

“ไม่ใช่แค่พี่เขยรองของเจ้าหรอก เพราะไม่ว่าจะเปลี่ยนเป็นใคร หมินอ๋องก็ไม่ชอบทั้งนั้น ! ในใจคนเป็นบิดานั้น สิ่งมีชีวิตอย่างลูกเขยเป็นคนที่มาแย่งบุตรสาวไป ! บัณฑิตน้อย รีบเอาใจข้าสิ แค่เอาใจจนข้าพอใจ ตำแหน่งจวิ้นหม่านี้ต้องเป็นของเจ้าคนเดียวแน่นอน ! ” หลินเว่ยเว่ยยืดอก ใบหน้าเต็มไปด้วยท่าทางอวดดีเหมือนยามร้องเพลง ‘ฟานเซินหนงหนูป่าเกอช่าง’ ( ทาสเป็นไทขับร้องลำนำ )

เจียงโม่หานผลักใบหน้าที่กำลังเข้ามาใกล้ของนาง “ทำไมหรือ ? หากข้าไม่เอาใจ เจ้าก็คิดจะเปลี่ยนคู่หมั้นหรืออย่างไร ? ”