เริ่มมีคนกรูกันเข้ามาเรื่อยๆ แล้วคุกเข่าลงตรงหน้าอวี้จิ่นโดยไม่สนใจพื้นที่สกปรก
ความซาบซึ้งที่ทุกคนมีต่ออวี้จิ่นในเวลานี้ไม่อาจอธิบายเป็นคำพูดได้ มีเพียงแค่การคำนับหัวลงกับพื้นเพื่อระบายความตึงเครียด
ที่พวกเขาโค้งหัวคำนับไม่ใช่เพื่ออวี้จิ่นเท่านั้น แต่ยังเพื่อโชคชะตาที่การเลือกเพียงชั่ววูบทำให้มีชีวิตรอดได้ โดยเฉพาะคนที่เห็นเมืองที่คุ้นตากลายเป็นซากปรักหักพัง ยิ่งรู้สึกว่าการมีชีวิตอยู่เป็นเรื่องโชคดีมาก
“ท่านอ๋อง ตอนนี้ควรทำอย่างไรดี” หลี่เจิ้งเคารพเลื่อมใสในตัวอวี้จิ่นทั้งกายและใจ ยอมทำตามทุกอย่าง
“คนที่กลับไปในเมืองมีเยอะหรือไม่”
“มีพวกผู้ชายที่มีครอบครัว แล้วก็พี่น้องลุงอาที่โวยวายจะกลับไป แต่ถูกกระหม่อมขวางไว้”
อวี้จิ่นพยักหน้า “หลี่เจิ้งทำได้ไม่เลวเลย ปกติแล้วหลังจากเกิดแผ่นดินไหวขึ้นหนึ่งครั้ง อาจจะมีแผ่นดินไหวตามมาในระลอกหลังอีกหลายรอบ บวกกับตอนนี้ฟ้ายังมืด กลับไปตอนนี้ไม่เพียงแต่ไร้ประโยชน์ อาจจะพบเจอกับอันตรายได้อีกด้วย”
หลี่เจิ้งปาดเหงื่อออกด้วยความดีใจ แล้วตะโกนออกไป “ทุกคนได้ยินท่านอ๋องพูดแล้วใช่หรือไม่ ก่อนฟ้าสางอย่าได้คิดจะไปในเมือง! ก่อนหน้านี้ท่านอ๋องบอกว่าจะเกิดแผ่นดินไหว ทั้งเกลี้ยกล่อมทั้งเอาเงินให้ แต่ก็ยังมีคนจะกลับไปให้ได้ ตอนนี้เป็นอย่างไร ครั้งนี้พวกเจ้าจะต้องฟังท่านอ๋อง!”
“พวกเราจะทำตามที่ท่านอ๋องพูด…” ชาวบ้านในเมืองต่างทยอยตะโกนออกมา มีทั้งน้ำเสียงหวาดกลัว และเสียงสะอื้นไห้
ทุ่งกว้างมืดสนิท มีเพียงด้ามคบเพลิงที่ส่องสว่างอยู่รอบๆ พอจะเห็นรูปร่างหน้าตาซึ่งกันและกันได้
อวี้จิ่นไม่ได้มองคนพวกนั้นอีก เอ่ยพูดกับหลี่เจิ้งออกไป “พวกเจ้าไปพักผ่อนก่อนเถิด เดี๋ยวฟ้าเปิดแล้วยังมีเรื่องให้ต้องทำอีกมากมาย”
“แล้วท่านอ๋อง…”
“พวกเราจะกลับไปก่อน รอฟ้าเปิดจะกลับมาพร้อมกับกำลังคน”
หลี่เจิ้งกระตือรือร้นออกไปส่งอวี้จิ่นและคณะออกไปไกล “ท้องฟ้ายังมืด ถนนหนทางก็ลื่น ขอท่านอ๋องเดินทางปลอดภัยพ่ะย่ะค่ะ”
การไปส่งครั้งนี้ มันออกมาจากใจจริงๆ
“ส่งเท่านี้พอหลี่เจิ้ง”
อวี้จิ่นโบกมือปัด พาจ้าวซื่อหลางและคณะเดินออกไป
เมื่อทุกคนกลับมาถึงเมืองอูจีกลับไม่ได้ไปนอน แต่รวมตัวกันเพื่อปรึกษาหารือแทน
“เกิดแผ่นดินไหวขึ้นที่เมืองจิ๋นหลี่จริงๆ ด้วย ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เงินที่ท่านอ๋องรับปากว่าจะให้ชาวบ้านในเมืองก็มีทางออกแล้ว…” ขุนนางจากกรมพระคลังท่านหนึ่งไม่รู้ว่าพูดออกมาจากใจจริง หรือรู้สึกโล่งใจ
กรมพระคลังจะรับผิดชอบดูแลเรื่องเงินสงเคราะห์ผู้ประสบภัย ถึงแม้เยี่ยนอ๋องจะพูดไว้ก่อนหน้านั้นแล้ว แต่หากกลับไปที่เมืองหลวงแล้วเยี่ยนอ๋องกลับไม่ยอมรับ สุดท้ายเงินที่ขาดไปก็ต้องเป็นภาระของพวกขาเหล่าเสนาบดีกรมพระคลัง เมื่อถึงเวลานั้นก็ไม่อาจเลี่ยงได้
แต่นี่เกิดแผ่นดินไหวขึ้นแล้ว จึงแตกต่างออกไป เดิมราชสำนักมีเงินช่วยเหลือประชาชนหลังจากประสบภัยพิบัติอันใหญ่หลวงอยู่แล้ว บางครั้งอาจจะช่วยสงเคราะห์ผ้าแพรไหมให้ด้วยซ้ำ
“ตอนนี้ใช่เวลาคิดเรื่องนี้หรือ” จ้าวซื่อหลางจ้องขุนนางพลางด่าออกไป ทว่าความรู้สึกภายในใจกลับซับซ้อนเสียยิ่งกว่าลูกน้องอีก
ถ้าหากว่าเมืองจิ๋นหลี่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น สิ่งที่พวกเขาทำไปทำมาก็จะกลายเป็นเรื่องตลก เมื่อฮ่องเต้รู้เข้าก็จะถูกด่าว่าอย่างหนักแน่ แต่ตอนนี้… พอมาคิดดูที่หลี่เจิ้งบอกว่าเมืองจิ๋นหลี่กลายเป็นซากปรักหักพัง และมีความเป็นไปได้ว่ามีประชากรหนึ่งพันกว่าคนที่รอดชีวิต ผลงานในการปฏิบัติหน้าที่ครั้งนี้ช่างน่าทึ่งเกินไปแล้ว…
จ้าวซื่อหลางรู้สึกผิดเล็กน้อยเมื่อจะคิดต่อไป
อย่างไรก็ตามการเกิดแผ่นดินไหวมีคนที่ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต ไม่ควรเห็นว่าเป็นเรื่องน่าดีใจ
เมื่อเห็นว่าทุกคนปรึกษาหารือกันอย่างออกรสออกชาติไม่รู้ว่าจะหารือกันไปถึงเมื่อไร ผู้ที่มีประสบการณ์น้อยในเรื่องฟื้นฟูบ้านเมืองหลังจากเกิดภัยพิบัติอย่างอวี้จิ่นลุกขึ้น “ทุกท่านค่อยๆ ปรึกษาหารือกัน ข้าขอตัวไปพักก่อน”
เมื่ออวี้จิ่นแยกไป ทุกคนที่เหลืออยู่ต่างก็มองหน้ากันไปมา ไม่รู้ว่าใครพูดออกมา “หรือว่าพวกเราก็แยกย้ายกันเถอะ จะสงเคราะห์ผู้ประสบภัยได้เราต้องรอดูสภาพที่เกิดเหตุของเมืองจิ๋นหลี่ก่อนค่อยว่ากัน”
“อืม แยกย้ายกันเถอะ”
เมื่อไม่มีอวี้จิ่นอยู่ การร่วมกันหารือก็ไม่มีเรื่องอะไรจะให้ยิบยกมาพูดโดยไม่รู้ตัว
จ้าวซื่อหลางที่กลับไปถึงห้อง นอนพลิกตัวไปมาอยู่บนเตียงที่นอนไม่ค่อยสบายตัว และไม่มีความง่วงเลย จึงมองออกไปด้านนอกหน้าต่าง
หน้าต่างเปิดอยู่ บรรยากาศด้านนอกมืดสนิท
เมืองจิ๋นหลี่เกิดแผ่นดินไหวขึ้น เช่นนั้นเรื่องที่มีเทพเข้ามาเตือนเยี่ยนอ๋องในฝันก็ต้องถูกเล่าต่อออกไปทั่วหล้าเลยน่ะสิ…
จ้าวซื่อหลางทำหน้าซับซ้อน ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ แต่สุดท้ายก็ค่อยๆ ผล็อยหลับไป
ณ เวลารุ่งสางของเช้าวันรุ่งขึ้น ทุกคนรีบตื่นขึ้นมา จัดเตรียมทหารเพื่อมุ่งหน้าไปช่วยผู้ประสบภัยที่ เมืองจิ๋นหลี่
ปฏิกิริยาแรกของไท่จื่อก็คือปฏิเสธ
การไปช่วยผู้ประสบภัยทั้งลำบากทั้งอันตราย เขาไม่อยากเอาด้วยหรอก
แต่ข้าหลวงก็พูดเกลี้ยกล่อมออกไป “ไท่จื่อ แผ่นดินไหวเพิ่งจะเกิดขึ้น เป็นช่วงเวลาอ่อนไหวง่ายที่ชาวบ้านพวกนั้นจะรู้สึกซาบซึ้งในความเมตตาของท่าน หากท่านไม่ไป เยี่ยนอ๋องก็จะเหนือกว่าท่านเอานะพ่ะย่ะค่ะ”
ไท่จื่อลังเลอยู่ครู่หนึ่ง
ที่ข้าหลวงพูดก็มีเหตุผลอยู่เล็กน้อย เขาออกมาทั้งที แน่นอว่าก็อยากจะได้รับชื่อเสียงที่ดี เพียงแต่รู้สึกว่าชื่อเสียงไม่สำคัญเท่าความปลอดภัยของชีวิตก็เท่านั้น
แต่ถ้าไม่อันตราย…
ข้าหลวงราวกับเดาได้ว่าไท่จื่อกังวลอะไร จึงเอ่ยขึ้นเสียงเบา “ไท่จื่อ สุนัขตัวนั้นของเยี่ยนอ๋องไม่ใช่ว่าสามารถล่วงรู้อันตรายล่วงหน้าได้หรือพ่ะย่ะค่ะ หากมีสุนัขตัวนั้นอยู่ เมื่อมีอันตรายก็จะสามารถรับรู้ได้ก่อน ถึงตอนนั้นพวกเราค่อยแยกออกมาก็ได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ไท่จื่อถูกโน้มน้าวใจได้ทันที พลางเอ่ยขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ “สุนัขตัวนั้นอะไรกัน นั่นคือเอ้อร์หนิว ขุนนางขั้นห้าที่แท้จริง จะว่าไปแล้วก็เก่งพอๆ กับพวกเจ้าเลย”
ข้าหลวงแอบเบะปากเงียบๆ
ไท่จื่อยังไม่ได้ครอบครองเอ้อร์หนิวไว้ในมือเลย ปกป้องก่อนแล้วหรือ
ในฐานะที่ติดตามไท่จื่อมายี่สิบกว่าปี ข้าหลวงก็รู้เลยว่าไท่จื่อคิดจะทำอะไรบางอย่างกับเอ้อร์หนิว
ไท่จื่อผู้นี้ไม่สนใจข้าหลวงอีกต่อไป แล้วเดินไปหาอวี้จิ่น “น้องเจ็ด วันนี้เอ้อร์หนิวจะไปด้วยหรือไม่”
อวี้จิ่นมองหน้าไท่จื่อสักพัก แล้วพยักหน้าลงเล็กน้อย “ไป”
ไท่จื่อยิ้มร่าออกมา “เช่นนั้นข้าก็ไปด้วย”
อวี้จิ่น “…”
ไท่จื่อพูดจาแปลกๆ
ทั้งไท่จื่อและทุกคนที่อยู่ด้วย กลุ่มคนรีบเคลื่อนตัวไปยังที่พักของชาวบ้านเมืองจิ๋นหลี่หลังจากที่รวมตัวกับชาวบ้านในเมืองเสร็จก็มุ่งหน้าไปเมืองจิ๋นหลี่ทันที
จากที่นี่ไปถึงเมืองจิ๋นหลี่ใช้เวลาไม่เกินสองชั่วโมง ทว่าเนื่องจากความรีบร้อนในใจจึงทำให้เพิ่มความเร็วขึ้น เวลาที่ใช้จึงสั้นลง
เมื่อมาถึง ทุกคนก็นิ่งเงียบขึ้นมาทันที
ภายใต้แสงอาทิตย์ยามเช้า ทุกอย่างมันชัดเจนจนน่าสะเทือนใจเสียยิ่งกว่าเมื่อตอนกลางคืนเสียอีก
เมืองที่พลุกพล่านและคึกคักได้พังทลายกลายเป็นซากปรักหักพังไปแล้ว และดูเหมือนว่าหากมองออกไปก็ไม่มีบ้านเรือนที่ตั้งตระหง่าน ในอากาศก็เต็มไปด้วยกลิ่นแปลกๆ ทั้งกลิ่นโคลนและเลือดผสมปะปนกัน
ชาวบ้านเมืองจิ๋นหลี่ที่หลี่เจิ้งเป็นผู้นำคุกเข่าลงกับพื้น หมอบร้องไห้ลงกับพื้นอย่างเจ็บปวด
พวกเขาไม่อาจควบคุมความเศร้าโศกนี้ไว้ได้เลย
ผู้ที่เลือกกลับเข้าเมืองมีร้อยกว่าคน ต่างก็เป็นญาติพี่น้องกัน ถึงแม้ว่าจะไม่มีญาติเสียชีวิตในเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งนี้ แต่บ้านเรือนที่พังทลายลงมันก็เพียงพอที่จำทำให้ชายร่างสูงร้องไห้ฟูมฟายออกมาได้แล้ว
นี่เป็นสถานที่พักอาศัยจากรุ่นสู่รุ่นของพวกเขา ทว่าตอนนี้มันกลับกลายเป็นนรกบนดิน
ทุกคนเริ่มเข้าไปค้นหาผู้รอดชีวิตในเมืองตามที่จัดกำลังไว้
เนื่องจากทหารที่เข้ามาในเมืองจิ๋นหลี่มีประสบการณ์ในการช่วยเหลือที่เมืองเฉียนเหอมาก่อนจึงปฏิบัติการได้อย่างมีระเบียบขั้นตอน หากเทียบกับพลทหารที่ใจเย็น ชาวบ้านเมืองจิ๋นหลี่นั้นอ่อนแอมาก โดยเฉพาะเมื่อเห็นศพที่ขาดรุ่ยในกองซากปรักหักพังก็มักจะอดไม่ได้ที่จะร้องไห้โฮออกมา
ไท่จื่อเบื่อที่จะรออยู่ในเมือง จึงเอ่ยพูดกับอวี้จิ่นขึ้น “น้องเจ็ด ข้าจะไปดูที่พักชั่วคราวของคนพวกนี้สักหน่อย”
“ไปเถอะพี่รอง”
ไท่จื่อเหลือบมองเอ้อร์หนิว “เอาเอ้อร์หนิว…”
ยังไม่ทันพูดจบ ก็ถูกเอ้อร์หนิวกลอกตาใส่ สุนัขตัวใหญ่สะบัดขนของมันแล้ววิ่งไปที่กองซากปรักหักพัง