บทที่ 521 พี่สาวจากสำนักงานแขวงมาหาถึงบ้าน

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ

บทที่ 521 พี่สาวจากสำนักงานแขวงมาหาถึงบ้าน

บทที่ 521 พี่สาวจากสำนักงานแขวงมาหาถึงบ้าน

“ซื่อเลี่ยง แกใช้ชีวิตด้วยเงินพวกนี้ได้นะ”

ซื่อเลี่ยงตกใจที่จู่ ๆ คุณย่าก็พูดจาแปลก ๆ ออกมา

“ดูสิ น้องสาวแกก็มีบ้านเป็นของตัวเอง อายุแกก็ไม่น้อยแล้ว เตรียมตัวซื้อพวกอสังหาริมทรัพย์สักอย่างดีไหม?”

แกพูดเรื่องใหญ่ขนาดนี้จะไม่ให้คนเขาตกใจได้ยังไง? แถมยังออกปากให้หลานชายซื้อบ้านอีก ไม่ว่าจะคิดยังไงก็น่าเหลือเชื่อ

หลานชายยังเรียนมหาวิทยาลัยอยู่เลยนะ!

เถาฮวา รุ่ยหยวนและคนอื่น ๆ มองคุณย่าซูด้วยความประหลาดใจ คุณย่ากำลังเพ้ออยู่หรือ?

“ก็ฉันได้ยินคนพูดว่าช่วงนี้ราคาที่อยู่อาศัยในเมืองหลวงเพิ่มขึ้นอยู่ เลยคิดว่าถ้าเงินไม่เปลี่ยนไปมากก็อยากให้ใช้ซื้อพวกอสังหาฯ สักอย่างจะดีกว่า”

สิ่งที่เธอพูดก็คือความจริง

บ้านเรามีลูกหลานหลายคน แถมความต้องการด้านที่อยู่อาศัยจะมีตามมาอีกมากในภายภาคหน้า ต่อให้คนหนึ่งจะซื้อปักหลักไม่ได้ แต่ก็ไม่สามารถไปชี้เอาบ้านของเสี่ยวเถียนได้หรอกนะ

แล้วตอนนี้พวกเขาก็มีความสามารถกันแล้ว คงจะดีถ้าซื้อบ้านด้วยตัวเอง เดิมทีซื่อเลี่ยงก็คิดว่าตัวเองรวยจนกระทั่งได้ยินที่ย่าพูด บ้านเรือนเดียวราคามากกว่าสองหมื่นหยวน ในมือมีแค่นี้จะไปทำอะไรกิน?

พอจะซื้อประตูหรือยัง? เหมือนว่าจะต้องหาเงินแล้วแหละ นอกจากธุรกิจที่ช่วยกันทำก่อนหน้านี้ เขาก็ไม่มีแหล่งรายได้จากที่อื่นอีกเลย นี่แหละคือปัญหา

เด็กคนอื่น ๆ ก็โดนเชือดทีละคนเหมือนกัน ซื่อเลี่ยงต้องซื้อบ้าน แล้วพวกเขาไม่ต้องซื้อด้วยหรือไง? โดยเฉพาะโส่วเวินที่เป็นพี่ชายคนโต เจ้าตัวยิ่งคิดว่าตัวเองเป็นพี่ที่ไม่ดี ตอนนี้ยังไม่สามารถยืนหยัดได้ด้วยตัวเอง

เงินในมือก็แค่ไม่กี่ร้อยหยวน การจะซื้อบ้านในเมืองเป็นหนทางอีกยาวนานเลย เขาคงต้องทำงานหนักเพื่อหาเงินแล้วแหละ

เสี่ยวเถียนไม่คิดเลยว่าคำพูดไม่กี่คำจะทำให้พี่ ๆ เริ่มคิดเรื่องหาเงิน

บ้านเราไม่ใช่พวกนอนรอความช่วยเหลือเฉย ๆ พวกเขามีความคิดของตัวเอง และคิดทำอะไรบางอย่างอยู่เงียบ ๆ

ตั้งแต่ได้ยินย่าสร้างแรงบันดาลใจให้ เรื่องหาเงินง่ายอย่างกับโดนฉีดเลือดไก่*[1]

เสี่ยวเถียนเห็นพี่ ๆ ไม่ค่อยว่างก็ได้แต่สงสัยว่าทำไมพวกเขายุ่งกันจัง? หรือวิชาที่เรียนในมหาวิทยาลัยมันเยอะขึ้น? ไม่หรอกมั้ง พี่ ๆ ไม่ถือว่าเป็นนักเรียนอันดับหนึ่งเสียหน่อยแต่ผลการเรียนก็ไม่ได้แย่

เสี่ยวเถียนผลักความคิดนี้ออกไปหลังจากมันแวบเข้ามา

เธอเองก็ไม่ว่าง ยุ่งจนไม่มีเวลาคิดเรื่องพวกนี้หรอก

ทุกวันนี้ยังต้องเรียนหนังสือ ใช้เวลาว่างไปกับการอ่าน วาดภาพให้ป้าเถาฮวาเพื่อที่แกจะได้ขยับขยายด้านการทำงาน และยังรับงานแปลอีกด้วย

หลังจากที่ไปเป็นล่ามให้โรงงานผ้าไหม ชื่อเสียงของเสี่ยวเถียนเติบโตขึ้นเล็กน้อยในอุตสาหกรรมการแปล

แทบทุกคนในแวดวงการแปลรู้ว่า มีเด็กผู้หญิงอายุสิบกว่าปีพูดภาษาเยอรมันและฝรั่งเศสได้ดี

แถมยังมีข่าวลืออีกว่าเธอเป็นลูกศิษย์ฉือเก๋อ คนที่ขอความช่วยเหลือจากชายชราไม่ได้ก็หันไปหาเสี่ยวเถียนแทน

เวลาได้งานแปลภาษาฝรั่งเศส เสี่ยวเถียนก็เอาให้พี่ใหญ่แปลโดยตรง แล้วเธอค่อยมาตรวจทานทีหลัง การทำงานเป็นไปอย่างว่องไว สองพี่น้องทำงานหาเงินได้ดีเลย

สิ่งที่ทำให้เสี่ยวเถียนพอใจมากที่สุดคือ หลังจากปริมาณงานแปลที่เพิ่มมากขึ้น ระดับภาษาของพี่ใหญ่เรียกได้ว่าก้าวกระโดด

เธอถอดถอนใจจากการตั้งคำถามเยอะ ๆ มันมีประสิทธิภาพมากจริง ๆ

เด็กสาวที่เจอกลอุบายนี้เพิ่มจำนวนคำถามให้พี่ ๆ

ส่วนพวกคำถามที่ว่าเธอแลกมันมาจากระบบ ก็เสียคะแนนไม่กี่แต้มเท่านั้นเอง เธอแลกออกมาให้พี่หกและพี่เจ็ดเยอะมากที่สุด เพราะพวกเขากำลังจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ถ้าไม่รีบตอนนี้แล้วจะไปทำตอนไหน?

น่าเศร้ามากที่ทั้งสองต้องขายทั้งหลู่เว่ยและรับการดูแลเป็นพิเศษ จากเสี่ยวเถียนอีก น่าขมขื่นเหลือเกิน!

ในตอนที่เสี่ยวเถียนกำลังไปได้สวย คนจากสำนักงานแขวงก็มาหา

เธอเป็นหญิงวัยกลางคนในวัย 40 ปี สวมชุดลำลองทหารสีน้ำเงิน ทำผมทรงที่พวกเจ้าหน้าที่ทหารเขาทำกัน ดูเรียบร้อยมาก

เสี่ยวเถียนประหลาดใจกับการมาของอีกฝ่ายมาก

ได้แต่ถามตัวเองว่ามันไม่น่าจะมีเหตุผลที่เขามาหาเราสิ

กระทั่งหญิงวัยกลางคนเห็นว่าเธอเป็นเด็กหญิงก็ขมวดคิ้วมุ่น

จากนั้นก็ถามด้วยความไม่แน่ใจ “เธอเป็นเจ้าของบ้านเลขที่ 32 ซอยหลัวกู่หรือเปล่า?”

เสี่ยวเถียนพยักหน้า “ใช่ค่ะ!”

แม้ว่าจะไม่เข้าใจว่าทำไมเจ้าของบ้านหลังใหญ่ถึงเป็นเด็กผู้หญิงตัวแค่นี้ แต่ในเมื่อเธอเป็นเจ้าของบ้านก็พิสูจน์ได้แล้วว่ามาหาถูกคน

“วันนี้ฉันมีเรื่องอยากมาหาเธอน่ะ”

หญิงวัยกลางคนรีบพูดทุกอย่างออกมา

จากมุมมองเสี่ยวเถียนมันตลกมาก

ถ้าไม่ใช่ว่ามันยังพอมีเหตุผลอยู่ เสี่ยวเถียนคงหัวเราะออกมาดัง ๆ แล้ว

ที่แท้ก็ได้ยินมาว่าเสี่ยวเถียนมีบ้านอยู่ แถมยังเป็นบ้านว่าง เจ้าตัวก็เลยอยากให้ปล่อยเช่าให้กับคนอื่นที่ไม่มีที่อยู่อาศัย

“สาวน้อย ปล่อยมันไว้ก็ไร้ประโยชน์นะถ้าเธอไม่ได้อยู่บ้านหลังนั้นน่ะ ทำไมไม่เอาให้คนจรที่เขาไม่มีบ้านอยู่ให้พักชั่วคราวเสียล่ะ การช่วยเหลือคนอื่นก็เป็นเรื่องที่ดีนะ!”

ไม่อยากจะพูดเลยว่า ทำไมพูดจาสมเหตุสมผลจังคะ?

พอเห็นสาวน้อยไม่ตอบ ใบหน้าหญิงคนนั้นพลันเปลี่ยนเป็นน่าเกลียด แถมยังพูดจาไม่น่าฟังออกมาอีก

“ยัยหนู ไม่ต้องห่วงหรอกนะ ฉันจ่ายค่าเช่าแน่ ไม่เข้าไปอยู่เฉย ๆ หรอก!”

เสี่ยวเถียนตะลึง

พวกสำนักงานแขวงสมัยนี้พูดกันแบบนี้แล้วเหรอ? ค่าเช่าหรือ? ไม่รู้หรือไงว่าตอนนี้มันราคาเท่าไรน่ะ?

บ้านเช่าทั้งหลังราคาไม่เกินสามสิบถึงห้าสิบหยวนต่อเดือน

เธอใช้เงินสองหมื่นซื้อบ้านมา ถ้าปล่อยเช่าราคานั้น ปีนึงเพิ่งจะได้เท่าไรเอง?

เสี่ยวเถียนไม่อยากพูดเรื่องไร้สาระต่อไป จึงรีบส่ายหัวทันที

หญิงวัยกลางคนทำหน้าเคร่งเครียด

“ยัยเด็กคนนี้ เธอเลือดเย็นขนาดนี้ได้ยังไง? รู้ไหมว่าตอนนี้มีกี่คนที่เขาไม่มีบ้านให้อยู่น่ะ?”

เพราะคิดว่าเสี่ยวเถียนควรจะดูแลคนพวกนั้นซะ

แต่เด็กสาวไม่คิดแบบนั้น ทำไมต้องปล่อยบ้านทำการกุศลให้คนที่ไม่ได้รู้จักกันด้วยล่ะ?

แล้วไอ้ค่าเช่าน่ะ คิดจะให้เท่าไร? แล้วถ้าปล่อยเช่าจริง ๆ จะจ่ายได้หรือเปล่าก็ไม่รู้

เธอเข้าใจดีกว่าคนในยุคนี้ไม่เหมือนช่วงยุคหลัง ๆ บ้านที่อยู่มานานแบบนั้นอาจจะคิดว่าเป็นบ้านของตัวเองก็ได้

“พี่สาว เรื่องที่คนอื่นไม่มีบ้านให้อยู่กับหนูมันไม่เห็นจะเกี่ยวกันเลยนะ!”

“ยัยเด็กคนนี้ ทำไมเลือดเย็นนัก” หญิงวัยกลางคนคนนั้นโกรธเคืองขึ้นมา!

*[1] ใช้เปรียบเปรยคนที่มีอาการตื่นเต้น คึก คลั่งไคล้เป็นพิเศษ