ตอนที่ 584 ตัวข้ายังหนักแน่นไม่หวั่นไหว!
เกาเซ่าหมิงพลันตื่นเต้นขึ้นมา รีบสาวเท้าเดินเข้าไป หมายจะดึงจดหมายลับในมือของขันทีคนนั้นมาดู
“ใต้เท้าเกา!” ขันทีคนนั้นเอ่ยเตือนคราหนึ่ง ยกมือห้ามไว้ ขอให้อีกฝ่ายสำรวมตน หากไม่มีคำสั่งจากจ้าวเซิน ทางนี้ไหนเลยจะปล่อยให้คนอื่นอ่านจดหมายลับได้ง่ายๆ?
เกาเซ่าหมิงได้แต่ต้องหยุดมือลง หันไปมองจ้าวเซิน
จ้าวเซินก็จ้องมองเขาอยู่เช่นกัน จากข่าวที่ได้รับมา เป็นคนผู้นี้ที่ไปโน้มน้าวฝ่าบาทถึงทำให้เขาต้องย้อนกลับมาให้ความร่วมมือกับเรื่องกำจัดหนิวโหย่วเต้า ลงมือกับหนิวโหย่วเต้าในอาณาเขตมณฑลจินโจว ใครจะไปรู้ว่าจะเกิดเรื่องใดขึ้นมาบ้าง ในแง่หนึ่งแล้วนี่นับเป็นการกระทำที่สุ่มเสี่ยง เขาถูกคนผู้นี้ทำให้พลอยเดือดร้อนไปด้วยแล้ว จึงไม่พอใจสักเท่าไร
แต่ก็ช่วยไม่ได้ ฝ่าบาทมีราชโองการลงมาแล้ว เขาจำเป็นต้องปฏิบัติตาม
สุดท้ายเขายังคงกระโดดลงมาจากก้อนหิน รับจดหมายลับจากขันทีคนนั้นไปตรวจดู หลังอ่านจบก็มุ่นคิ้วพึมพำว่า “เขาโดยสารวิหคพาหนะมามิใช่หรือ?”
เกาเซ่าหมิงทนไม่ไหวแล้ว “เจ้ากรมจ้าว สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง?”
จ้าวเซินยื่นจดหมายให้เขาอ่าน
พอได้จดหมายไป เกาเซ่าหมิงอ่านดูอย่างละเอียดทันที หลังอ่านจบก็แปลกใจเช่นกัน “ใช้เส้นทางบกหรือ? เขากำลังจะกลับไปยังหนานโจว มีวิหคพาหนะแต่ไม่ใช้ กลับเลือกใช้เส้นทางบกอย่างนั้นหรือ?”
ทั้งสองสบตากัน จ้าวเซินเอ่ยว่า “ข้างกายเขานอกจากหงเหนียงกับอู๋เหล่าเอ้อร์คนนั้นแล้ว ก็มีเพียงเหล่าศิษย์ของวังสวรรค์หมื่นวิมานอีกสิบคนที่คุ้มกันไปส่ง เจ้าคิดว่าเขาอยากท่องเขาลำเนาไพร หรือเพราะรู้สึกเบื่อหน่ายหรือ?”
เกาเซ่าหมิงเข้าใจความหมายในวาจาของเขา นี่อาจจะเป็นหลุมพราง เขาเองก็กังวลใจในเรื่องนี้เช่นกัน มันจะผิดปกติเกินไปแล้ว “ต่อให้โดยสารวิหคพาหนะ คนที่จ้องจะเล่นงานเขาก็สามารถเล่นงานเขาได้อยู่ดี หรือจะเป็นเพราะทราบเช่นนี้ ดังนั้นจึงจงใจเล่นลูกไม้ตบตา?”
จ้าวเซินกล่าวว่า “เจ้าอย่าลืมไปเสียเล่า ถูไหวอวี้มีผู้คุ้มกันติดตามอารักขามากมายขนาดนั้นก็ยังปกป้องเขาไว้ไม่ได้ กองกำลังที่ลอบสังหารถูไหวอวี้ไม่ธรรมดาเลย หากว่าเป็นหลุมพรางจริงๆ จะทำให้สูญเสียอย่างมากได้”
เกาเซ่าหมิงเอ่ยว่า “แล้วจะให้มองดูเขาเดินทางกลับไปเฉยๆ อย่างนั้นหรือ? เขาไม่ใช่ผู้บำเพ็ญเพียรธรรมดา เขามีอำนาจอยู่ในมือมากล้นแล้ว รอบคฤหาสน์กระท่อมฟางหลังนั้นของเขามีผู้บำเพ็ญเพียรหลายพันคนจากสามสำนักคอยอารักขาอยู่ อีกทั้งรอบข้างยังมีกองทัพคอยเฝ้าคุ้มกัน ต่อให้เป็นทัพใหญ่แสนนายก็ยากจะโจมตีฝ่าเข้าไปได้ ต่อให้เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงก็อย่าฝันว่าจะเข้าใกล้เขาได้ง่ายๆ หากเข้าใกล้เพียงเล็กน้อยจะถูกสายสืบที่จับตามองอยู่ในรัศมีหลายลี้รอบคฤหาสน์พบเห็นทันที มือสังหารยังไม่ทันได้เข้าใกล้ เพียงมีสายลมพัดยอดหญ้าไหวก็จะกลายเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่นได้แล้ว จากนั้นเขาก็จะหลบหนีหายไปอย่างไร้ร่องรอย หุบเขากว้างใหญ่ หากคนผู้หนึ่งต้องการหลบซ่อนตัวก็ง่ายดายเหลือเกิน คิดจะออกตามหานั้นไม่ได้ต่างจากงมเข็มในมหาสมุทรเลย”
“ที่พักแห่งนั้นของเขาถูกคุ้มกันหนาแน่นดั่งล้อมด้วยกำแพงเหล็ก หากปล่อยให้เขากลับไปเก็บตัวอยู่ในบ้านได้ คิดจะลงมือกับเขาอีกก็ไม่ใช่เรื่องง่ายแล้ว ไม่ว่าจะเป็นกับดักหรือไม่ เราก็ไม่อาจพลาดโอกาสดีในครั้งนี้ไปได้เด็ดขาด ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องดู เกิดมันเป็นลูกไม้ตบตาเล่า?”
จ้าวเซินถาม “เจ้าพากำลังคนมาด้วยหรือไม่?”
เกาเซ่าหมิงเอ่ยว่า “กองกำลังที่เดินทางมาก่อนหน้านี้ยังไม่สลายตัว รอคำสั่งอยู่นอกเมืองจินโจวมาโดยตลอด ทางท่านเตรียมกำลังไว้มากน้อยเพียงใดกันเล่า?”
จ้าวเซินกล่าวว่า “ทางข้าไหนเลยจะเตรียมกำลังคนอันใดไว้ มีผู้ติดตามมาเพียงเท่านี้”
เกาเซ่าหมิงเอ่ยถามเสียงเครียด “หรือว่าจ้าวกงกงไม่ได้รับราชโองการจากเบื้องบน?”
จ้าวเซินเอ่ยว่า “ราชโองการจากเบื้องบนเพียงสั่งให้ข้าให้ความร่วมมือกับเจ้าในการดำเนินงาน สายสืบจากหอชมดาวของข้าล้วนช่วยเป็นหูเป็นตาให้เจ้า คอยจับตามองความเคลื่อนไหวของทางนั้นทุกฝีก้าว ทำให้ทางเจ้าได้รับทราบข่าวสารจากทางนี้ตลอด อีกทั้งช่วยจัดเตรียมวิหคพาหนะมาให้เจ้าอีกห้าตัว จัดเตรียมไว้ให้เจ้าได้ใช้งานในกรณีที่หนิวโหย่วเต้าโดยสารวิหคพาหนะหลบหนีไป หรือว่ากระทั่งเรื่องต่อสู้ฆ่าฟันเจ้าก็ยังจะให้คนของข้าวิ่งไปอยู่ข้างหน้าอีก? หากทำเช่นนี้จริงๆ ล่ะก็ มันก็เท่ากับข้าทำงานทั้งหมดคนเดียวแล้ว จำเป็นต้องให้เจ้ามาคอยชี้ไม้ชี้มือสั่งการอยู่ที่นี่อีกอย่างนั้นหรือ?”
ล้อเล่นหรือเปล่า รู้ทั้งรู้ว่าอาจจะมีหลุมพราง เขาจะปล่อยให้คนของตัวเองเข้าไปเสี่ยงอันตรายอยู่ในแนวหน้าได้อย่างไร เขาย่อมต้องให้คนของแคว้นเยี่ยนเข้าไปลองเสี่ยงหยั่งเชิงอยู่ในแนวหน้าแล้วค่อยว่ากันอีกที
เกาเซ่าหมิงถูกวาจาของอีกฝ่ายตอกหน้าจนพูดไม่ออก ที่สำคัญคือวาจาของอีกฝ่ายสมเหตุสมผล เขาเอ่ยเสียงอ้อมแอ้ม “เช่นนั้นก็ได้ คนของข้าจะรับผิดชอบเรื่องโจมตีเอง! แต่หวังว่าจ้าวกงกงจะเข้าใจเช่นกัน ต้องกำจัดหนิวโหย่วเต้าทิ้ง แคว้นเยี่ยนถึงจะลงมือกับหนานโจวได้สะดวก เมื่อไม่มีหนานโจวคอยให้การสนับสนุน แคว้นของท่านถึงจะลงมือกับจินโจวได้สะดวก ในเมื่อพวกเราทั้งสองฝ่ายต่างร่วมมือกันแล้ว ก็หวังว่าจ้าวกงกงจะเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม ทันทีที่ทางข้าต้องการกำลังสนับสนุน ขอจ้าวกงกงโปรดอย่าได้นิ่งดูดาย!”
จ้าวเซินกล่าวว่า “ไม่จำเป็นต้องให้เจ้ามาเตือนหรอก ข้ารู้ดี”
“แผนที่!” เกาเซ่าหมิงยื่นมือไปขอแผนที่ ให้คนนำแผนที่ออกมากางไว้ด้านหน้าคนทั้งสอง ให้สายสืบของทางจ้าวเซินติดตามยืนยันความเคลื่อนไหวและพิกัดที่หนิวโหย่วเต้าอยู่อีกครั้ง หารือกันว่าจะไปดักซุ่มอยู่ที่ใด
….
ณ ประตูเมืองฝั่งตะวันออก ขบวนเดินทางสิบกว่าคนเริ่มเคลื่อนตัว หนิวโหย่วเต้า ก่วนฟางอี๋และอู๋เหล่าเอ้อร์ที่สะพายกรงปีกทองไว้บนหลังก็อยู่ในขบวนด้วย มีศิษย์วังสวรรค์หมื่นวิมานสิบคนติดตามคุ้มกัน
สมัยที่ก่วนฟางอี๋ยังสาวจะสวมชุดเรียบง่ายงามสง่า แต่ตอนนี้ยิ่งอายุมากขึ้นเท่าไรกลับยิ่งชอบประโคมโฉมดั่งบุปผาสะพรั่ง
ใบนางของนางมักจะมีรอยยิ้มบางๆ อยู่เสมอ เรือนร่างเย้ายวนโยกไหวอยู่บนหลังม้า ดวงเนตรสุกสกาว นัยน์ตางามที่กวาดมองรอบข้างเป็นระยะเจือแววระแวดระวังและสอดส่อง
อู๋เหล่าเอ้อร์ที่ค่อยๆ สอดส่ายสายตาอย่างเชื่องช้ากลับดูค่อนข้างลุ่มลึก ภายนอกดูผ่อนคลาย แต่ภายในตื่นตัวอยู่เช่นกัน เฝ้าระวังรอบข้างอยู่ตลอดเวลา
ทั้งสองประกบหนิวโหย่วเต้าไว้ เฝ้าคุ้มกันจากสองฝั่งซ้ายขวา
แต่หนิวโหย่วที่ส่ายโยกเยกอยู่บนหลังม้ากลับสงบและสุขุมนัก ควบม้าผ่านเมืองเสมือนชมทุ่งบุปผาอยู่
ยามที่ออกจากเมือง ซุนหลินเซียนศิษย์ของหลีอู๋ฮวาคือหัวหน้ากลุ่มผู้คุ้มกันที่ทางวังสวรรค์หมื่นวิมานส่งมาอารักขาทางนี้ เขาออกหน้าไปแจ้งเรื่องเล็กน้อย ทหารเฝ้าประตูงดเว้นการสอบถามไป ปล่อยให้ทั้งขบวนผ่านออกจากเมืองได้โดยไร้อุปสรรคขัดขวาง
ออกจากเมืองมาได้ไม่นาน ม้าตัวหนึ่งที่หยุดอยู่ข้างประตูฝั่งนอกเมืองก็ควบเข้ามาหา พุ่งเข้ามาหาทางขบวน
ผู้ที่ควบม้าเข้ามาคือบุรุษในชุดลายดอก เป็นชุดลายดอกจริงๆ บนอาภรณ์ปักลายบุปผาเอาไว้เป็นช่อๆ เห็นได้ชัดว่าสวมหน้ากากปลอมแปลงใบหน้าไว้ ไม่ได้เปิดเผยใบหน้าที่แท้จริง
“ผู้ใดกัน?” ซุนหลินเซียนที่มีฐานะเป็นหัวหน้าหน่วยตวาดถาม ยกกระบี่ขึ้นมาสื่อให้อีกฝ่ายอย่าเข้ามาใกล้
ขบวนทางฝั่งนี้เข้าสู่สภาวะเตรียมป้องกันทันที ก่วนฟางอี๋และอู๋เหล่าเอ้อร์ตื่นตัวอย่างเต็มที่ขึ้นมาแล้ว
ชายที่สวมชุดลายดอกรั้งบังเหียนในมือเล็กน้อย บังคับม้าเบี่ยงไปอยู่ริมขบวน ทอดสายตามองไปที่หนิวโหย่วเต้า
หนิวโหย่วเต้าเหลือบมองพินิจชุดลายดอกบนร่างอีกฝ่ายเล็กน้อย มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มขบขัน โบกมือนิดๆ เอ่ยไปว่า “ไม่เป็นไร พวกเดียวกัน!”
พวกเดียวกันอย่างนั้นหรือ? ก่วนฟางอี๋และอู๋เหล่าเอ้อร์แลกเปลี่ยนสายตากันอย่างรวดเร็ว ล้วนมองเห็นแววฉงนในดวงตาของอีกฝ่าย มีคนเช่นนี้อยู่ในฝั่งตนด้วยหรือ?
แต่ในเมื่อหนิวโหย่วเต้ากล่าวมาเช่นนี้แล้ว ซุนหลินเซียนได้แต่ส่งสัญญาณตามเขา โบกมือให้เหล่าศิษย์วังสวรรค์หมื่นวิมานที่ตั้งท่าระวังอยู่เปิดทางให้
ชายในชุดลายดอกขยับเท้ากระทุ้งสีข้างม้าเล็กน้อย ควบม้าเข้ามา ไม่มีความเกรงใจเลยเช่นกัน มาถึงก็ให้อู๋เหล่าเอ้อร์ขยับออกไป เข้ายึดตำแหน่งคุ้มกันแทนอู๋เหล่าเอ้อร์ รวมตัวกับขบวนทางฝั่งนี้
“จำเป็นต้องให้ข้าแต่งตัวเช่นนี้ด้วยหรือ?” ชายในชุดลายดอกเอ่ยด้วยเสียงแหบพร่า
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยยิ้มๆ ว่า “กลัวว่าจะมองพลาดไป ทำแบบนี้เพื่อสะดวแก่การยืนยันตัวตน แต่อันที่จริงท่านสวมชุดนี้แล้วดูดีอย่างยิ่ง อย่างน้อยก็ดูดีกว่าชุดเดิมของท่าน”
ชายในชุดลายดอกปรายตามองเขาเล็กน้อย ไม่เอ่ยวาจาอีก
ก่วนฟางอี๋ฉงน แอบเพ่งพินิจชายในชุดลายดอกเป็นระยะ ไม่ว่าจะใช่พวกเดียวกันหรือไม่ แต่ในช่วงที่หนิวโหย่วเต้าพำนักอยู่ทางนี้ การติดต่อสื่อสารกับภายนอกล้วนอยู่ในการดูแลของนางเสมอมา เมื่อมีข่าวเข้าออกล้วนต้องผ่านตานาง แต่ก็ไม่เคยเห็นหนิวโหย่วเต้าติดต่อให้ใครมารอรับนอกเมืองเลย
แต่หากจะบอกว่ามีล่ะก็ เช่นนั้นก็มีความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียว นั่นคือในตอนที่หนิวโหย่วเต้าส่งจดหมายติดต่อกับหยวนกัง พวกเขาทั้งสองจะใช้ตัวอักษรแปลกประหลาดชนิดหนึ่งในการสื่อสาร นางอ่านไม่ออกเลย
“ไปเถอะ!” หนิวโหย่วเต้าโบกมือคราหนึ่ง ส่งสัญญาณให้ทั้งขบวนออกเดินทางอย่างเป็นทางการ
พอออกมานอกเมืองแล้วขบวนก็เริ่มเดินทางอย่างรวดเร็ว อาชาสิบกว่าตัวควบทะยานไปตามเส้นทางหลวง
….
ภายในเมือง นอกประตูจวนผู้ว่าการมณฑล หน้าต่างของรถม้าคันหนึ่งที่เลิกผ้าม่านขึ้นหันหน้าไปทางประตูจวน ฉู่เซียงอวี้ราชทูตแคว้นจิ้นนั่งคอยอยู่ภายในรถม้า
กัวหว่านจินที่รักษาการณ์ในตำแหน่งพ่อบ้านเดินออกมาจากจวน วิ่งเหยาะๆ ลงบันไดมา พอมาถึงข้างรถม้าก็ประสานมือเอ่ยกับฉู่เซียงอวี้ที่อยู่ในรถม้าว่า “ใต้เท้าฉู่มาพบหนิวโหย่วเต้าหรือขอรับ?”
ฉู่เซียงอวี้เอ่ยถาม “อะไรกัน? เขาจะพบข้าหรือไม่ พวกเจ้าตัดสินใจแทนเขาได้หรือ? ”
กัวหว่านจินเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “หามีเจตนาเช่นนั้นไม่ ใต้เท้าฉู่อย่าได้เข้าใจผิดไป หนิวโหย่วเต้าไปแล้ว ไม่อยู่ในจวนแล้วขอรับ”
“ไปแล้ว?” ฉู่เซียงอวี้มึนงง “ไปที่ใด?”
กัวหว่านจินตอบว่า “เรื่องนี้ก็ไม่ทราบแน่ชัดเช่นกัน ออกไปตั้งแต่เช้าตรู่แล้วขอรับ” เขาทราบดีว่าหนิวโหย่วเต้าเดินทางกลับไปยังมณฑลหนานโจว แต่เขาก็ไม่มีทางพูดออกมาเช่นกัน สำหรับสถานการณ์ในตอนนี้ วังสวรรค์หมื่นวิมานก็ต้องพิจารณาถึงเรื่องความปลอดภัยของหนิวโหย่วเต่าเช่นกัน เนื่องจากความปลอดภัยของหนิวโหย่วเต่าเกี่ยวพันถึงผลประโยชน์ของคนมากมายเหลือเกิน
ฉู่เซียงอวี้พูดไม่ออก ทางเขาเพิ่งจะได้รับคำตอบกลับมาจากฝั่งแคว้นจิ้น ไท่ซูสยงสั่งให้เข้ามาเจรจากับหนิวโหย่วเต้าอีกครั้ง บอกว่านอกจากหัวของเซ่าผิงปอแล้ว ขอเพียงเป็นเงื่อนไขที่หนิวโหย่วเต่าเสนอมาก็สามารถต่อรองไปได้เลย หากตัดสินใจเองไม่ได้ค่อยขอความเห็นอีกครั้ง
ตอนนี้อีกฝ่ายจากไปแล้ว แล้วจะให้เขาเจรจาได้อย่างไร? ขอบเขตอำนาจของเขาอยู่ภายในแคว้นจ้าว หากหนิวโหย่วเต้าออกจากแคว้นจ้าวไปแล้ว เขาจะต้องเดินทางออกจากแคว้นจ้าวไล่ตามไปเจรจาหรือว่าขอความเห็นจากเบื้องบนอีกครั้งกันเล่า
เรื่องที่ทำให้เขาต้องขมวดคิ้วฉงนใจคือ เขาตระหนักได้ว่าหนิวโหย่วเต่าดูเหมือนจะไม่ได้ต้องการเจรจาอันใดอย่างแท้จริง ทราบชัดเจนดีว่าเขาต้องรอคำตอบจากเบื้องบน แต่บทจะไปก็ไปเลย ไม่คิดจะรอเขาเลยสักนิด…
….
เดินทางผ่านป่าดงพงไพร เสียงฝีเท้าม้าแว่วดังไปตลอดทาง
มองเห็นยอดเขาคดเคี้ยวปรากฏขึ้นด้านหน้าอีกครั้ง ขบวนเดินทางชะลอความเร็วลงเล็กน้อย คนที่อยู่ทางฝั่งซ้ายขวาของขบวนยื่นบังเหียนให้ศิษย์ร่วมสำนัก จากนั้นมีคนสี่คนเหินกายพุ่งขึ้นสู่กลางอากาศ เข้าไปสำรวจป่าเขาสองฝั่งซ้ายขวาของเส้นทางหลวง เพื่อเตรียมพร้อมเปิดทางให้พวกหนิวโหย่วเต้าที่อยู่ด้านหลัง
ระหว่างทางเคยผ่านขุนเขามาหลายลูกแล้ว ย่อมมีการสำรวจเปิดเส้นทางเช่นนี้มากกว่าหนึ่งครั้ง เส้นทางด้านหน้าล้วนไม่มีปัญหาใด แต่สุดท้ายก็ไม่อาจรอดพ้นจากปัญหาไปได้อยู่ดี
“มีการซุ่มโจมตี!”
ในกลุ่มคนที่ออกไปสำรวจเส้นทางด้านหน้ามีสองคนที่คอยสำรวจสอดส่องภายในป่าสองข้างทาง ส่วนอีกสองคนทะยานขึ้นไปเหนือยอดไม้เพื่อตรวจตราพื้นที่รอบข้าง
สองฝั่งของทางหลวงไม่พบความผิดปกติใด แต่ผลลัพธ์กลับกลายเป็นว่าศัตรูเจ้าเล่ห์นัก ไม่ได้ดักซุ่มอยู่ในละแวกสองฝั่งของทางหลวง หากแต่ไปดักซุ่มอยู่ในส่วนลึกของป่าสองข้างทาง คล้ายจะล่วงรู้ถึงรูปแบบความเคลื่อนไหวของทางนี้แล้ว กระทั่งคนที่ออกไปสำรวจเปิดเส้นทางเคลื่อนผ่านไปแล้ว มือสังหารที่ซุ่มอยู่ในป่าก็ลงมืออย่างรวดเร็ว พุ่งทะยานไปหาพวกหนิวโหย่วเต้าที่อยู่ทางด้านหลัง ไม่ให้โอกาสหนิวโหย่วเต้าได้หนีรอดไป
แต่ความเคลื่อนไหวยามที่พุ่งลัดป่าไปกลับถูกคนสำรวจเส้นทางที่คอยสอดส่องอยู่เหนือยอดไม้สังเกตเห็นเข้า จึงรีบร้องตะโกนแจ้งเตือนภัยแนวหลัง
เหล่าศิษย์วังสวรรค์หมื่นวิมานที่อยู่ในขบวนพากันชักกระบี่ออกมา ตั้งท่าประหนึ่งพบศัตรูตัวฉกาจ
ส่วนอู๋เหล่าเอ้อร์หยิบกระบอกไม้ไผ่ผอมเพรียวลำหนึ่งขึ้นมาทันที กระตุกเชือกเล็กน้อย เกิดเสียงดัง ‘วี้ด!’ ลูกศรดอกหนึ่งพุ่งขึ้นสู่นภา
หนิวโหย่วเต้าไม่ยินร้อนยินหนาว บังคับม้าควบมุ่งหน้าต่อไปอย่างรวดเร็ว ชายในชุดลายดอกอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองเขาอยู่หลายครั้ง
มีเสียงสวบสาบแว่วมาจากป่าสองข้างทาง คนโพกหน้ากลุ่มหนึ่งทยอยพุ่งตามกันออกมาจากป่าเขา ศิษย์วังสวรรค์หมื่นวิมานตกใจหน้าถอดสี ย่อตัวเหินทะยานออกไป พยายามขัดขวางอย่างสุดกำลัง
เสียงต่อสู้ดังสนั่นครึกโครมแว่วขึ้นมา อาชาตกใจหวีดร้อง หนิวโหย่วเต้ากุมบังเหียนแน่น ไม่ปล่อยให้ม้าตกใจจนเตลิดหนี ยังคงควบม้ามุ่งหน้าต่อไปคนเดียวโดยไม่ตื่นตระหนก
“เต้าเหยี่ย รีบหนีเถิดขอรับ!” ซุนหลินเซียนตะโกนบอกด้วยความร้อนใจ
หนิวโหย่วเต้าไม่แยแสเลย ไม่ว่าจะมีคลื่นซัดสูงเสียดฟ้า ตัวข้ายังหนักแน่นไม่หวั่นไหว!
ศิษย์วังสวรรค์หมื่นวิมานไหนเลยจะต้านทานมือสังหารมากมายขนาดนี้ได้ พริบตาเดียวก็ถูกโจมตีทลายแนวป้องกัน มือสังหารสิบกว่าคนร่วมมือกันพุ่งทะยานเข้ามา ต่างฟันส่งปราณกระบี่สิบกว่าสายออกไปพร้อมกัน ล้วนพุ่งเป้าไปที่หนิวโหย่วเต้า
หนิวโหย่วเต้าไม่มีทีท่าว่าจะชักกระบี่ออกมา ไม่มีแม้แต่ความคิดที่จะป้องกันตัวแม้แต่น้อย ยังคงควบม้ามุ่งหน้าไปอย่างไม่หือไม่อือ ไม่ต่างจากรอให้ปราณกระบี่โจมตีเข้ามาเลย
“เต้าเหยี่ย!” ก่วนฟางอี๋หวีดร้อง ตกใจจนวิญญาณแทบกระเจิดกระเจิงออกไป
มุมปากของชายในชุดลายดอกที่ประกบอยู่ข้างกายหนิวโหย่วเต้าคล้ายจะกระตุกยิกๆ ขึ้นมา พอเห็นว่าปราณกระบี่กำลังจะฟันเข้าที่หน้าของหนิวโหย่วเต้าแล้ว แต่ก็ยังไม่เห็นหนิวโหย่วเต้าจะตอบโต้เลย ในที่สุดเขาก็ทนต่อไปไม่ไหว
“ถือว่าเจ้าแน่!” ในขณะที่สบถด่า เขาพลันซัดฝ่ามือทั้งสองข้างออกไป สิบนิ้วเคลื่อนไหวดั่งเงามายา!