ตอนที่ 585 ไม่เคยลงมือง่ายๆ!

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

ตอนที่ 585 ไม่เคยลงมือง่ายๆ!

เมื่อเกิดเหตุขึ้นอย่างกะทันหัน มีเพียงเขาที่ยังคงสุขุมเยือกเย็นได้เช่นเดียวกับหนิวโหย่วเต้า ไม่ไยดีอันตรายรอบกายเลย ควบม้าไปพร้อมกับหนิวโหย่วเต้า มุ่งหน้าฝ่าอันตรายต่อไปอย่างไม่ตระหนกลนลานด้วยความเร็วคงที่

ในเวลานี้ปลายนิ้วของเขาตวัดดีดกระแสลมปราณออกไปสายแล้วสายเล่า ราวกับยิงลูกศรที่มองไม่เห็นออกไปอย่างต่อเนื่อง

เกิดเสียงดังตูมๆๆ แว่วขึ้นอย่างต่อเนื่อง ปราณกระบี่ที่ฟาดฟันเข้ามาถูกกระแสดัชนีเหล่านั้นทำลายล้างลงในชั่วพริบตา

มือสังหารสิบกว่าคนพุ่งเข้ามาพร้อมกัน แขนเสื้อลายดอกของชายในชุดลายดอกโบกสะบัดพลิ้วไหว สิบนิ้วขยับเหินไปมาดั่งเงามายา กระแสดัชนีที่พุ่งออกไปดั่งสายฟ้าแลบเสมือนจะทำลายได้ทุกสิ่ง

เกิดเสียงกระบี่ตวัดปัดป้องดังเคร้งๆ

โลหิตพุ่งกระฉูดออกมาจากร่างดังฉูดๆ

บางคนก็มีโลหิตทะลักออกมาจากตำแหน่งหัวใจ บางคนก็หน้าผากทะลุมีโลหิตและคราบสีขาวไหลนองออกมา บางคนก็อกทะลุเป็นรูพรุน

มือสังหารสิบกว่าคนยังไม่ทันเข้าถึงตัวม้าทั้งสองในระยะหนึ่งจั้งด้วยซ้ำ กลับล้มระเนระนาดลงไปดั่งใบไม้ร่วง ร่วงกองลงบนพื้นเสียงดังตึงตัง

ก่วนฟางอี๋ที่เพิ่งกรีดร้องไปก่อนหน้านี้พอได้เห็นฉากนี้ก็สูดหายใจด้วยความตกตะลึง เรียกได้ตะลึงงันสั่นสะท้าน ชายในชุดลายดอกคนนี้เป็นผู้ใดกันแน่?

ท่ามกลางสายลมกระโชกที่พัดโหมระลอกแล้วระลอกเล่า หนิวโหย่วเต้าควบมาผ่านไปอย่างสงบไม่ลนลาน มุมปากของอาชาที่ได้รับความตื่นตระหนกถูกรั้งบังเหียนจนปรากฏรอยเลือดว ศพเพิ่งร่วงกองลงไป ม้ายกเท้าขึ้นย่ำลงบนร่างศพเดินผ่านไปเช่นนั้นเลย

มีมือสังหารเข้ามาใกล้อีกครั้ง ชายในชุดลายดอกวาดแขนเสื้อคราหนึ่ง มีคนร่วงหล่นลงสู่พื้น สังหารคนเหล่านี้ได้อย่างง่ายดาย

ในเวลานี้เอง มีวิหคยักษ์ห้าตัวบินโฉบผ่านอากาศเข้ามาอย่างเร่งด่วน เรียกได้ว่าบรรทุกคนมาเต็มอัตรา บินโฉบเข้ามาอย่างรวดเร็ว แม้แต่บนกรงเล็บของวิหคยักษ์ก็ยังมีคนเกาะโหนมาด้วย

กลุ่มคนที่โดยสารมากับวิหคยักษ์ล้วนโคจรลมปราณเหินอากาศมาแทบทุกคน เพียงอาศัยยืมแรงบินของวิหคยักษ์เท่านั้น นั่นเป็นเพราะกลัวว่ามีคนมากไปแล้วจะสร้างภาระต่อการบินของวิหคยักษ์

วิธีเช่นนี้เหมาะสำหรับการเดินทางในระยะสั้นๆ เท่านั้น ใช้ในสถานการณ์ฉุกเฉินเร่งด่วน หากใช้ในการเดินทางระยะยาว พลังของผู้บำเพ็ญเพียรก็มีไม่พอเช่นกัน

วิหคทั้งห้าโฉบผ่านอากาศเข้ามา เงาดำกลุ่มหนึ่งทิ้งตัวลงมา ชายชุดดำโพกหน้าห้าสิบคนพุ่งตัวลงมาในชั่วพริบตาเดียว เข้าร่วมการต่อสู้โจมตีสังหาร

พอเห็นว่ากำลังเสริมมาแล้ว หนิวโหย่วเต้าส่งสัญญาณมือคราหนึ่ง ก่วนฟางอี๋ตะโกนทันที “ศิษย์วังสวรรค์หมื่นวิมานถอย!”

ไหนเลยจะยังมีศิษย์วังสวรรค์หมื่นวิมานอันใดอีก ภายในการต่อสู้ระยะสั้นๆ นี้ มีคนเสียชีวิตไปแล้วเจ็ดคน อีกสามคนที่เหลืออยู่ก็ล้วนบาดเจ็บถ้วนหน้า กำลังรีบเร่งติดตามไปอยู่ด้านหลังของพวกหนิวโหย่วเต้าด้วยความหวาดหวั่น

หนิวโหย่วเต้าควบม้ามุ่งหน้าต่อไป เมื่อพบอุปสรรคจากการต่อสู้ก็จะบังคับม้าย่ำผ่านไป เขาไม่มีท่าทีสนใจไยดีสภาพแวดล้อมรอบข้างเลย

ตั้งแต่ต้นจนจบ กลุ่มคนชุดดำโพกหน้าอารักขาพวกเขามุ่งหน้าต่อไป เผชิญการปิดล้อมโจมตีจากมือสังหารโพกหน้าที่แต่งกายด้วยสีสันแตกต่างกันไปตลอดทาง

ไม่นานนัก วิหคยักษ์ห้าตัวก็โฉบลงมาจากท้องนภาอีกครั้ง มีกลุ่มคนชุดดำโพกหน้าถูกปล่อยลงมาอีกครั้ง

ในเวลานี้จำนวนคนของทั้งสองฝ่ายทัดเทียมสูสีกันแล้ว แต่เห็นได้ชัดว่าพลังของกลุ่มคนโพกหน้าที่คุ้มกันฝั่งหนิวโหย่วเต้าเลิศล้ำกว่าฝั่งมือสังหาร

ชายในชุดลายดอกเฝ้าสังเกตการณ์รอบข้างอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นถามออกมา “เจ้าไปหายอดฝีมือมากมายขนาดนี้มาจากไหน?”

หนิวโหย่วเต้าตอบว่า “อยู่ต่อหน้าท่านไหนเลยจะกล้าเรียกว่ายอดฝีมือได้”

เขาไม่ตอบให้ตรงคำถาม ชายในชุดลายดอกก็ไม่ถามต่อเช่นกัน

หลังจากมีกองกำลังทิ้งตัวลงมาจากกลางอากาศอีกครั้ง ก็เห็นได้ชัดว่าฝั่งมือสังหารไม่อาจต่อกรได้อีกต่อไป สถานการณ์พลิกกลับไม่เอื้อประโยชน์ต่อฝ่ายตนแล้ว แม้แต่จะคิดหาทางเข้าใกล้หนิวโหย่วเต้าก็ไม่มีวิธีแล้ว ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องสังหารอันใดเลย ได้แต่ล่าถอยไปเท่านั้น

“ไป!” พอมีเสียงนกหวีดแว่วดังขึ้นมา กลุ่มมือสังหารก็ล่าถอยไปอย่างรวดเร็ว

หนิวโหย่วเต้าที่เฝ้ามองอย่างสงบมาตลอดพลันเปล่งเสียงเย็นชา “สังหารให้หมด!”

นอกจากคนชุดดำโพกหน้ายี่สิบคนที่คอยเหินทะยานปกป้องอยู่รอบข้างแล้ว คนชุดดำโพกหน้าที่เหลือต่างไล่ตามไปทันที ตามไล่ล่ามือสังหารที่ล่าถอยไปด้วยความหวาดกลัว

มือสังหารที่หลบหนีเข้าสู่ป่าดงจำเป็นต้องต่อสู้อย่างสุดชีวิตอีกครั้ง เนื่องจากเพิ่งเข้าสู่ป่าเขาได้ไม่นานก็พบว่ามีคนชุดดำโพกหน้าอีกกลุ่มหนึ่งพุ่งเข้ามาหาอีกแล้ว

ครั้งนี้ไม่ได้ทิ้งตัวลงมาจากกลางอากาศ แต่พบว่าคนชุดดำโพกหน้ากลุ่มนี้ล้อมกรอบเข้ามาในทิศทางที่พวกเขามุ่งหน้าไป

เผชิญหน้ากับกลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านการซุ่มโจมตีเข้าเสียแล้ว!

หลังจากการต่อสู้จบลง กลุ่มคนชุดดำโพกหน้าสลายตัวไปอย่างรวดเร็ว ขณะที่ล่าถอยออกไปก็ได้นำซากศพสหายร่วมกลุ่มของตนจากไปด้วย…

พอพ้นจากป่าเขา คนชุดดำโพกหน้าทั้งยี่สิบคนคุ้มกันพวกหนิวโหย่วเต้าไปตามเส้นทางหลวง คุ้มกันพวกหนิวโหย่วเต้าไปส่งจนถึงจุดพักม้าแห่งหนึ่ง

คนชุดดำโพกหน้าพุ่งเข้าไปในจุดพักม้าตรวจสอบภายในจุดพักม้าอย่างรวดเร็ว สถานการณ์นี้สร้างความตกใจให้คนในจุดพักม้าเป็นอย่างยิ่ง ซุนหลินเซียนที่แขนบาดเจ็บอยู่ต้องออกหน้าแสดงฐานะศิษย์วังสวรรค์หมื่นวิมานถึงจะทำให้สถานการณ์สงบลงได้

หนิวโหย่วเต้าที่อยู่บนหลังม้ามองสำรวจรอบข้าง จนกระทั่งมีคนชุดดำโพกหน้ารายหนึ่งเดินเข้ามาพยักหน้าให้ ยืนยันว่าจุดพักม้าไร้ปัญหา หนิวโหย่วเต้าถึงได้ลงจากม้า สั่งให้ทุกคนไปพักผ่อนกันสักหน่อย จากนั้นค่อยเปลี่ยนม้าแล้วออกเดินทางต่อ เพราะนับตั้งแต่เดินทางออกจากมณฑลจินโจวมา นี่ก็ผ่านมาเกือบครึ่งวันแล้ว

ต่อมา หลังจากหนิวโหย่วเต้าพูดคุยกับคนชุดดำโพกหน้าผู้หนึ่งได้ไม่นานนัก กองไฟกองหนึ่งก็ถูกจุดขึ้นในจุดพักม้า เกิดควันดำลอยโขมงขึ้นเป็นสาย

ผ่านไปไม่นานนัก วิหคยักษ์ห้าตัวบินเข้ามาจากที่ไกลๆ ยามที่โน้มตัวร่อนลงสู่จุดพักม้า คนชุดดำโพกหน้าทั้งยี่สิบคนทะย่านขึ้นสู่อากาศพร้อมกัน โดยสารวิหคทั้งห้าตัวจากไป

ชายในชุดลายดอกยืนกอดอกอยู่ในจุดพักม้าจ้องมองฉากนี้อยู่ครู่ใหญ่ จากนั้นก็หันไปมองหนิวโหย่วเต้าที่คุยกับซุนหลินเซียนอยู่

“ลำบากเจ้าแล้ว อาการบาดเจ็บของเจ้าเป็นอะไรหรือไม่?” หนิวโหย่วเต้าถามซุนหลินเซียน

ซุนหลินเซียนส่ายหน้าเงียบๆ “ไม่เป็นไรขอรับ ก่อนออกเดินทางท่านอาจารย์บอกให้พวกเราทราบถึงความเสี่ยงอย่างชัดเจนแล้ว พวกเราเตรียมใจไว้แต่แรกแล้วขอรับ”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ข้าส่งข่าวติดต่อไปหาทางอาจารย์เจ้าแล้ว เรื่องราวหลังจากนี้อาจารย์ของเจ้าจะจัดการให้เอง พวกเจ้าก็ส่งข้าเท่านี้เถิด อาจารย์ของพวกเจ้าจะส่งคนมารับพวกเจ้า”

ซุนหลินเซียนเงยหน้าขึ้น เอ่ยด้วยความมึนงง “มิใช่ว่าต้องคุ้มกันท่านไปส่งยังจังหวัดชิงซานในหนานโจวหรอกหรือขอรับ?”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “พวกเจ้ากลายเป็นเช่นนี้ไปแล้ว ยังจะคุ้มกันอันใดได้อีก? เมื่อครู่เจ้าก็เห็นแล้ว คนที่คุ้มกันข้าอย่างลับๆ มาถึงแล้ว พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องเสี่ยงอันตรายอีก พวกเจ้าต่อสู้เสี่ยงตายเพื่อคุ้มกัน ข้าได้เห็นหมดแล้ว ข้าจะติดต่อไปหาประมุขซือถูในภายหลัง วังสวรรค์หมื่นวิมานจะตกรางวัลให้พวกเจ้าอย่างงาม”

พูดจบก็พยักหน้าให้แล้วหันหลังเดินจากไป ไม่ได้แสดงท่าทีมากไปกว่านั้น

อันที่จริงไม่ได้มีผู้คุ้มกันลับอันใดเพิ่งตามมาถึงเลย ผู้คุ้มกันลับติดตามเขามาโดยตลอด ทว่าไม่ได้ปรากฏตัวอย่างเปิดเผย แต่เขาจะไม่พาใครมาก็ไม่ได้เช่นกัน เพราะหากพาคนแปลกหน้ามาด้วยมากเกินไปก็กังวลใจว่าฝ่ายศัตรูจะเกิดความหวาดระแวงขึ้นได้ ศิษย์วังสวรรค์หมื่นวิมานย่อมเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุด ดังนั้นศิษย์วังสวรรค์หมื่นวิมานเหล่านี้จึงเป็นเพียงเหยื่อล่อเท่านั้น

พูดตามตรงคือถูกเขานำมาสังเวย

ก่วนฟางอี๋เดินมาหยุดข้างกายชายชุดลายดอก คิดจะสืบดูสักหน่อยว่าเป็นผู้ใดกัน

ทว่าอีกฝ่ายหมางเหมินไม่สนใจนาง มองไปยังหนิวโหย่วเต้าที่เดินผ่านด้านข้างมา เอ่ยทิ่มแทงหนิวโหย่วเต้าด้วยน้ำเสียงเฉยเมยประโยคหนึ่ง “เจ้านำชีวิตของศิษย์วังสวรรค์หมื่นวิมานมาเป็นเหยื่อล่อ!”

หนิวโหย่วเต้าหยุดเท้า ค้ำกระบี่ไว้ด้านหน้า มองเขาพลางยิ้มน้อยๆ แต่วาจาที่กล่าวออกมากลับดูค่อนข้างเย็นชาไร้เยื่อใย “นี่เพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น หลังจากนี้ยังมีคลื่นมรสุมที่รุนแรงกว่ารออยู่ ย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องมีการเสียสละบ้าง ข้าไม่สามารถปกป้องชีวิตของทุกคนเอาไว้ได้ ทำได้เพียงพยายามปกป้องชีวิตคนให้ได้มากที่สุดเท่านั้น”

ชายในชุดลายดอกเอ่ยว่า “แต่ว่า ยามที่เผชิญอันตรายคนที่เสี่ยงชีวิตคืออีกฝ่าย ตั้งแต่ต้นจนจบเจ้าไม่ได้ขยับตัวเลยแม้แต่น้อย”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “เสี่ยงชีวิตหรือ! ทันทีที่ลงมือก็ต้องนำชีวิตไปเสี่ยงอยู่แล้ว ข้าไม่ชอบเข้าไปเสี่ยงชีวิตกับคนอื่น หากเลี่ยงได้ก็จะพยายามเลี่ยง เมื่อมีคนลงมือแล้ว ไยข้าต้องลงมือด้วยตัวเองอีกเล่า ตัวข้าผู้นี้ไม่ชมชอบกลิ่นคาวเลือด!”

ชายในชุดลายดอกเอ่ยถาม “ให้คนอื่นไปสังหารก็ไม่เหม็นคาวโลหิตแล้วหรือ?”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ตัวข้าผู้นี้ไม่ชอบต่อสู้ฆ่าฟัน ไม่เคยลงมือง่ายๆ อยู่แล้ว!”

ชายในชุดลายดอกนึกถึงเหตุการณ์ที่อีกฝ่ายนิ่งเฉยไม่ไหวติง บีบให้เขาต้องออกโรงขึ้นมา “เจ้าช่างไร้ยางอายนัก!”

หนิวโหย่วเต้าพยักหน้ารับ ท่าทางคล้ายจะบอกว่าขอบคุณ จากนั้นก็เดินต่อไป เข้าไปในจุดพักม้าเตรียมจะล้างหน้าล้างตา

กระทั่งเขาเดินจากไปแล้ว ก่วนฟางอี๋กระแซะเข้าไปใกล้ชายชุดลายดอกพลางเอ่ยถาม “เจ้าเป็นใคร?”

ชายในชุดลายดอกเอ่ยว่า “ข้าเป็นใครแล้วสำคัญด้วยหรือ? เจ้าต่างหาก ข้าเคยได้ยินเรื่องของเจ้ามาก่อน หงเหนียงแห่งเมืองหลวงแคว้นฉี เจ้าวางแผนจะติดตามเขาไปชั่วชีวิตจริงๆ น่ะหรือ?”

“ข้าก็ไม่อยากติดตามเขาเช่นกัน ก็เหมือนที่เจ้าพูดมานั่นแหละ เขาหน้าด้านไร้ยางอาย ข้าถูกเขาหลอกมา เฮ้อ เรื่องโชคร้ายไม่ขอเอ่ยถึงแล้ว พูดไปก็ช้ำใจ” ก่วนฟางอี๋โบกมืออย่างมีจริตจะก้าน อีกฝ่ายไม่ยอมเปิดเผยสถานะ นางก็ไม่ถามมากอีก ค้อมกายเล็กน้อยแล้วหันหลังจากไป

พอเข้าไปในจุดพักม้าก็ไปหาหนิวโหย่วเต้าที่กำลังล้างหน้าอยู่ เอ่ยถามว่า “บุรุษในชุดตุ้งติ้งที่อยู่ด้านนอกคนนั้นเป็นผู้ใดกัน?”

ตุ้งติ้งหรือ? หนิวโหย่วเต้าที่ใช้ผ้าขนหนูเช็ดหน้าอยู่ลดมือลง หลุดขำออกมาเล็กน้อย ส่ายหน้ากล่าวไปว่า “เขาไม่ให้ข้าบอก ข้าก็ไม่กล้าบอกเช่นกัน”

ก่วนฟางอี๋กลอกตาทีหนึ่ง ในเมื่อเขาไม่บอก เช่นนั้นถามต่อไปก็ไม่มีประโยชน์ จึงขมวดคิ้วกล่าวไปอีกว่า “ล่อลวงศัตรูสำเร็จแล้ว เจ้ายังจะขี่ม้าต่ออีกหรือ? เจ้าคิดว่าพวกเขายังจะติดกับอีกหรือ?”

หนิวโหย่วเต้าถามกลับ “เจ้าคิดว่าอีกฝ่ายจะยอมเมตตาละเว้นหรือ?”

ก่วนฟางอี๋เอ่ยว่า “เกรงว่าคงไม่ยอมปล่อยเจ้าไปง่ายๆ แต่เมื่อเคยลองไปแล้ว ไหนเลยจะติดกับลูกไม้เดิมของเจ้าอีก ไม่เห็นจำเป็นต้องขี่ม้าไปช้าๆ แบบนี้อีกเลย”

“ไม่มีทางยอมเมตตาละเว้น เช่นนั้นก็ให้เวลาอีกฝ่ายได้เตรียมการหน่อย เจ้าคิดว่าข้าเพียงอยากฆ่าคนเล็กน้อยเพื่อมอบบทเรียนให้พวกเขาสักหน่อยอย่างนั้นหรือ? เดิมทีครั้งนี้ก็เป็นการมอบคำเตือนพวกเขาแล้วว่าพลังแค่นี้ไม่เพียงพอจะจัดการข้าได้ ต่อไปจะลงมือกับข้าอีกก็ต้องจำเอาไว้ หากไม่ลงมือก็แล้วไป แต่หากลงมือเมื่อไรต้องทุ่มสุดกำลัง!” เขาใช้ผ้าขนหนูเช็ดมือ จากนั้นก็โยนไปด้านข้าง “ครั้งนี้ไม่จำเป็นต้องทำตัวลึกลับซับซ้อนอีก ข้าจะเผยให้พวกเขาได้รู้อย่างชัดเจนว่าข้าอยู่ที่ใด ในเมื่อหลบก็หลบไม่พ้นแล้ว เช่นนั้นก็เข้ามาเลย บีบคั้นกันนักก็ต้องโต้กลับไปบ้าง ส่งข่าวไปหาหวงเลี่ย ให้เขาเดินทางมายังคฤหาสน์กระท่อมฟางหน่อย…แล้วก็ไม่จำเป็นต้องบอกไปตรงๆ มิเช่นนั้นเจ้าสำนักหวงจะไม่สบอารมณ์แน่นอน บอกไปเพียงว่ามีเรื่องด่วนอยากหารือ”

….

ในหุบเขา จ้าวเซินที่อ่านจดหมายลับจบแล้วยื่นส่งให้เกาเซ่าหมิง

หลังจากเกาเซ่าหมิงรับไปอ่านก็ตกใจจนหน้าถอดสี “ยอดฝีมือหนึ่งร้อยกว่าคนถูกกวาดล้างจนสิ้น หนีไม่รอดแม้แต่คนเดียว นี่มันเป็นไปได้อย่างไรกัน?”

จ้าวเซินกล่าวว่า “คนของข้าเข้าไปตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุแล้ว ช่วยนับศพให้เจ้าหมดแล้วด้วย น่าจะไม่ผิดพลาดแน่ ข้าบอกแล้ว อีกฝ่ายตั้งใจขุดหลุมพรางชัดๆ เจ้ากลับรั้นจะกระโจนลงไปให้ได้”

เกาเซ่าหมิงถาม “ทางฝั่งท่านสูญเสียคนไปเท่าไร?”

จ้าวเซินเหลือบมองไปด้านข้าง “สังเกตเห็นความผิดปกติแล้ว พบว่าอีกฝ่ายเตรียมกำลังคนจำนวนมากปิดล้อมเข้าไป ข้ายังจำเป็นต้องให้คนของข้าวิ่งเข้าไปหาความตายอีกอย่างนั้นหรือ?”

“ท่าน…” เกาเซ่าหมิงพลันชี้หน้าเขาด้วยความโมโห

จ้าวเซินมองมาอย่างเย็นชา “เจ้าไม่สมควรด่วนลงมือเลย ทำไม? คิดจะผลักความรับผิดชอบมาให้ข้าหรือ? เจ้ากระตือรือร้นจะสร้างผลงาน รั้นจะกระโจนลงสู่หลุมพรางแล้วยังคิดโทษข้าอีกหรือ? ข้าว่าเจ้าควรคิดดีกว่านะว่าควรจะรายงานราชสำนักแคว้นเยี่ยนอย่างไรที่สูญเสียคนไปมากขนาดนี้แล้วยังทำงานพลาดอีก!”

“ฮึ่ม!” เกาเซ่าหมิงสะบัดแขนเสื้อแค่นเสียง จากนั้นขมวดคิ้วเอ่ยขึ้นมาอีก “เขาหายอดฝีมือมาคุ้มกันมากมายปานนั้นได้อย่างไร?”

จ้าวเซินกล่าวว่า “คงเป็นวังสวรรค์หมื่นวิมานไม่ก็สำนักเขามหายาน นอกจากสองสำนักนี่แล้ว ยังจะมีผู้ใดที่ยอมทุ่มเทกำลังเพื่อเขามากขนาดนี้อีก?”