ตอนที่ 586 ผู้ตรวจการณ์หอเลือนสลัว
เสียงเกือกม้าดังก้อง ด้านหลังของขบวนม้าหลายสิบตัวคือทหารราบหลายพันนายที่วิ่งติดตามมา มุ่งหน้าสู่แถบป่าเขาที่เป็นจุดต่อสู้
เมื่อกำลังพลที่ประจำการอยู่ในละแวกใกล้เคียงได้รับคำสั่งจากกองทัพก็เร่งเดินทางมาทันที
ศิษย์วังสวรรค์หมื่นวิมานคนหนึ่งที่ติดตามมาด้วยกระโดดลงจากหลังม้า ค่อยๆ ย่อตัวลงบนพื้น มองศพของศิษย์ร่วมสำนักด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
กองทหารกระจายตัวออกไป เริ่มออกค้นหาในป่าเขา ศพทุกร่างของมือสังหารถูกแบกหามออกมานับจำนวน นอกจากร่างของศิษย์วังสวรรค์หมื่นวิมานทั้งเจ็ดศพแล้ว ศพที่เหลือล้วนถูกโยนลงไปรวมกันในหลุมที่ถูกขุดขึ้น
เปลวไฟถูกจุดขึ้นบนกองฟืน ซากศพถูกเผาเกิดกลิ่นไหม้คละคลุ้ง หลังจากเผาทำลายจนวอดก็กลบดินฝัง ทำลายร่องรอยศพตามความต้องการของหนิวโหย่วเต้า
….
ขบวนทหารนับพันมาถึงด้านนอกจุดพักม้าแล้ว ในขบวนก็มีศิษย์วังสวรรค์วิมานคนหนึ่งที่ติดตามมากับกองทัพเช่นกัน มาเพื่อรับตัวพวกซุนหลินเซียนที่บาดเจ็บ
ส่วนพวกหนิวโหย่วเต้าได้เปลี่ยนอาชาออกเดินทางไปนานแล้ว…
….
ณ จังหวัดชิงซาน โพรงถ้ำบนภูเขา เขตหวงห้ามของสำนักเบญจคีรี
หยวนกังนั่งอยู่ในโถงศิลาห้องหนึ่ง ตรวจสอบดูจดหมายลับที่ส่งมาจากสถานที่ต่างๆ ทุกวัน คัดกรองว่ามีข่าวสารที่เป็นประโยชน์หรือไม่ นี่คือหนึ่งในกิจวัตรประจำวันของเขายามอยู่ในจังหวัดชิงซาน
ในโถงศิลามีโต๊ะสองตัว ตัวหนึ่งเป็นของหยวนกัง อีกตัวที่ตั้งอยู่ตรงข้ามกันเป็นของกงซุนปู้ ข่าวสารที่หยวนกังอ่านดูแล้วจะได้รับการตรวจสอบจากกงซุนปู้ไปพร้อมกัน
มีลูกศิษย์คนหนึ่งเดินเข้ามาจากด้านนอก เอ่ยรายงานว่า “เจ้าสำนัก มีคนมาขอเข้าพบอยู่ด้านนอกหุบเขา แจ้งว่าเป็นสหายเก่าของท่านขอรับ”
กงซุนปู้อ่านข่าวสารในมือพลางเอ่ยถามส่งๆ ไปว่า “ผู้ใดกัน?”
ลูกศิษย์ตอบว่า “แจ้งนามว่าไป๋หลี่เจี๋ย บอกว่าบังเอิญผ่านมาทางนี้จึงถือโอกาสมาเยี่ยมขอรับ”
“ไป๋หลี่เจี๋ยหรือ?” กงซุนปู้ผงะไปเล็กน้อย วางจดหมายในมือลง เงยหน้าขึ้นด้วยความฉงน “เขามาได้อย่างไร?”
หยวนกังที่ดูเหมือนจะจดจ่อกับการอ่านช้อนตาขึ้นมาแล้วเอ่ยถาม “ผู้ใดกัน?”
กงซุนปู้ตอบว่า “ผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักคนหนึ่งที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงในโลกบำเพ็ญเพียรขอรับ”
หยวนกังถาม “สหายของเจ้าหรือ?”
กงซุนปู้ส่ายหน้า “สมัยก่อนตอนยังไม่ได้ย้ายมาอยู่ทางนี้ ได้รู้จักเขาในช่วงที่ออกไปท่องเที่ยว อีกทั้งเคยพบกันเพียงครั้งเดียว ไม่นับว่าสนิทชิดเชื้อ นับเป็นสหายอันใดไม่ได้ เขามาด้วยเหตุใดกัน?”
หยวนกังไม่ได้ถามมากอีก ก้มหน้าอ่านข่าวสารในมือตนต่อไป
“เชิญเข้ามา” กงซุนปู้โบกมือเล็กน้อย ตัวเองก็ลุกขึ้นมาเช่นกัน
เนื่องด้วยสถานภาพของสำนักเบญจคีรีในปัจจุบันนี้ จึงไม่สะดวกจะให้คนนอกเข้ามายังส่วนในของสำนักเบญจคีรี มีการสร้างหอสูงหลังหนึ่งขึ้นบนเนินเขาด้านนอกเขาที่ตั้งสำนัก เอาไว้ใช้รับรองแขกที่มาเยือนโดยเฉพาะ แล้วก็ใช้ผ่อนคลายและใช้ชมทิวทัศน์ได้
ไป๋หลี่เจี๋ยมาเยือนเพียงลำพัง มาคนเดียวพร้อมกระบี่อีกหนึ่งเล่ม สวมอาภรณ์ตัวหลวมแขนเสื้อกว้าง ไว้หนวดเคราสามปอย ยามเดินแขนเสื้อสะบัดไปมา ดูสง่างามอย่างยิ่ง
กงซุนปู้มาคอยที่ทางเข้าหอสูงแล้ว พอเห็นแขกเดินเข้ามาก็ประสานมือเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไป๋หลี่ซยง ไม่ได้พบกันเสียนาน”
ไป๋หลี่เจี๋ยหัวเราะดังฮ่าๆ ประสานมือกล่าวไปว่า “กงซุนซยง จากกันไปหลายปี ดูมีสง่าราศีขึ้นกว่าเดิมนะ”
กงซุนปู้เชิญให้อีกฝ่ายเข้ามานั่งในหอสูง รินชาให้ด้วยตัวเอง
ไป๋หลี่เจี๋ยคล้ายจะอยู่เฉยไม่เป็น เดินเตร่ขึ้นลงภายในหอสูง สำรวจดูรอบข้าง สุดท้ายก็มายืนอยู่ริมหน้าต่างบานหนึ่งที่ชั้นบน ทอดสายตามองทิวทัศน์นอกหน้าต่าง ไม่เอ่ยจุดประสงค์ที่ตนมาเสียที
กงซุนปู้ที่เดินตามอย่างมีความอดทนขมวดคิ้วนิดๆ สังเกตเห็นว่าคนผู้นี้ไม่ตระหนักเลยว่าตัวเองเป็นแขก พวกเขาสนิทกันนักหรือ?
ไป๋หลี่เจี๋ยเหลือบเห็นจากปลายหางตาก็ยิ้มออกมานิดๆ “สถานที่ดาษดื่นพื้นเพ ได้ยินว่าหนิวโหย่วเต้ามีอิทธิพลในเขตหนานโจวแห่งนี้ เหตุใดถึงไม่เสาะหาสถานที่ชัยภูมิมงคลสักแห่งให้ตนเล่า กลับมาพำนักอยู่ในป่าดงกันดารเช่นนี้ ออกจะไม่เป็นธรรมต่อเจ้าสำนักกงซุนเกินไปหน่อยกระมัง?”
กงซุนปู้ชี้ไปยังคฤหาสน์กระท่อมฟางที่มองเห็นผ่านหน้าต่างได้ “มีโคลงคู่บทหนึ่งอยู่ในคฤหาสน์ของเต้าเหยี่ย เขียนเอาไว่ว่า สูงต่ำมิอาจวัดบรรพต เซียนปรากฏย่อมเรืองนาม ลึกตื้นมิอาจประเมินชลธาร มังกรล่องผ่านย่อมเลื่องลือ พำนักอยู่ที่ใดไม่สำคัญ สำคัญที่ความมั่นคง จะบอกว่าไม่เป็นธรรมได้อย่างไรเล่า?”
“สูงต่ำมิอาจวัดบรรพต เซียนปรากฏย่อมเรืองนาม ลึกตื้นมิอาจประเมินชลธาร มังกรล่องผ่านย่อมเลื่องลือ…” ไป๋หลี่เจี๋ยพึมพำแล้วพยักหน้าเล็กน้อย ทอดสายตามองไปทางคฤหาสน์ “วาจาแฝงด้วยปรัชญา กระท่อมฟางอย่างนั้นหรือ แม้นามจะสามัญ แต่กลับคล้องจองกับท่อนที่ว่าสูงต่ำมิอาจวัดบรรพต ลึกตื้นมิอาจประเมินชลธาร ในโลกบำเพ็ญเพียร ณ ปัจจุบันนี้ มีใครบ้างจะไม่รู้จักคฤหาสน์กระท่อมฟางแห่งจังหวัดชิงซาน ได้ยินชื่อเสียงของคฤหาสน์กระท่อมฟางมาช้านาน ไม่ทราบว่ากงซุนซยงพอจะพาข้าเข้าไปเยี่ยมชมได้หรือไม่? ”
กงซุนปู้ส่ายหน้า “เกรงว่าคงต้องทำให้ไป๋หลี่ซยงผิดหวังแล้ว คฤหาสน์กระท่อมฟางเป็นสถานที่สำคัญของจังหวัดชิงซาน และกล่าวได้ว่าเป็นสถานที่สำคัญของทั้งมณฑลหนานโจวด้วย คนนอกไม่อาจเข้าไปส่งเดชได้ ข้าเองก็ไม่มีคุณสมบัติที่จะพาคนนอกเข้าไปได้เช่นกัน”
ไป๋หลี่เจี๋ยเอ่ยด้วยความเสียดาย “มาถึงแล้วแต่ยากจะเข้าไปได้ น่าเสียดายนัก”
กงซุนปู้ไม่สนิทกับเขา ไม่อยากจะยืดเยื้อกับเขาต่อไปอีกจึงลองถามหยั่งเชิงดู “ไม่ทราบว่าไป๋หลี่ซยงมาหาถึงที่นี่มีเรื่องใดจะชี้แนะหรือ?”
ไป๋หลี่เจี๋ยกวาดตามองรอบข้างเล็กน้อย สะบัดแขนเสื้อที่อยู่ใต้หน้าต่างคราหนึ่ง แสดงป้ายคำสั่งที่ดูคล้ายทำขึ้นจากหยกขาวชิ้นหนึ่งให้เห็น บนป้ายมีลวดลายคล้ายเมฆหมอกลอยอวล ลึกเข้าไปในม่านเมฆหมอกมีหมู่อาคารปรากฏเลือนสลัว
ทันทีที่เห็นลวดลายบนป้ายคำสั่ง คำว่า ‘หอเลือนสลัว’ ผุดขึ้นมาในหัวของกงซุนปู้ทันที ม่านตาหดตัวในทันใด มองคนที่อยู่เบื้องหน้าอย่างไม่อยากจะเชื่อ
ไป๋หลี่เจี๋ยยื่นป้ายคำสั่งในมือให้ สื่อว่าให้เขารับไปตรวจสอบดู
ความคิดสารพัดอย่างประเดประดังเข้ามาในหัวกงซุนปู้ สุดท้ายก็ยื่นมือออกไปอย่างยากลำบาก รับป้ายคำสั่งนั้นมาถือ
หลังจากถูปลายนิ้วลูบไล้ไปตามลวดลายบนป้ายซ้ำๆ ถ่ายเทพลังปราณเข้าไปตรวจสอบดู พลันรับรู้ได้ถึงกระแสปราณทรงพลังยากจะอธิบายได้สายหนึ่งที่แฝงอยู่ภายใต้การห่อหุ้มของป้ายคำสั่ง ทำให้จิตใจคนสั่นสะท้าน กระแสปราณนี้ไม่อาจปลอมแปลงกันได้ เนื่องจากร่ำลือกันว่าป้ายคำสั่งนี้สร้างขึ้นจากกระดูกของมังกรศักดิ์สิทธิ์ สร้างขึ้นจากกระดูกมังกรของจริง
ซึ่งนี่ก็แปลว่าป้ายคำสั่งที่ไป๋หลี่เจี๋ยมีอยู่นี้เป็นของจริง
กงซุนปู้ถอนพลังที่ส่งเข้าไปตรวจสอบออกจากป้ายคำสั่ง ยื่นป้ายคำสั่งคืนให้ด้วยสองมือ กลืนน้ำลายอยู่หลายที เอ่ยถามเสียงแผ่วเบาด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยสบายใจนัก “ท่านคือคนของหอเลือนสลัวหรือ?”
ไป๋หลี่เจี๋ยเก็บป้ายคำสั่งกลับเข้าแขนเสื้อ เอ่ยคำว่า “ผู้ตรวจการณ์!” สามคำนี้ออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
กงซุนปู้ตะลึงอยู่ในใจ แม้หลับฝันก็ไม่เคยคิดเลยว่าคนที่เป็นเพียงผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักที่พอจะมีชื่อเสียงเล็กน้อยในโลกบำเพ็ญเพียรผู้นี้กลับกลายเป็นผู้ตรวจการณ์ของหอเลือนสลัวไปได้
สิ่งใดคือผู้ตรวจการณ์ของหอเลือนสลัวน่ะหรือ ความหมายก็ตรงตามตัวอักษร เป็นผู้ที่คอยตรวจสอบสถานการณ์ทั่วหล้าให้หอเลือนสลัว!
หอเลือนสลัวเป็นสถานที่เช่นใดเล่า?
ยอดคนทั้งเก้าต่างมีกลุ่มอิทธิพลของตนอยู่ แต่เพื่อควบคุมใต้หล้าจึงต้องมีหน่วยงานที่คอยประสานงานสอดส่องดูแลเรื่องราวทั่วหล้า ความรู้ความสามารถตลอดจนการกระทำต่างๆ ของคนเพียงคนเดียวยังมีขีดจำกัดอยู่ ทั้งเก้าคนจึงร่วมมือกันจัดตั้งขึ้นมา ทุกเรื่องในใต้หล้ายากจะรอดพ้นจากสายตาของยอดคนทั้งเก้าไปได้
หอเลือนสลัวกำหนกกฎกติกาในโลกบำเพ็ญเพียรและโลกมนุษย์ธรรมดาขึ้น อย่างเช่นโรงรับฝากเงินก็เป็นกิจการผูกขาดของหอเลือนสลัวเท่านั้น ใต้หล้าจะมีเพียงโรงรับฝากเงินของหอเลือนสลัวเท่านั้น หากกล้าท้าทายอำนาจจะต้องตายอย่างไร้หลุบฝังกลบแน่นอน!
ถึงแม้สำนักใหญ่บางส่วนจะมีตำแหน่งในหอเลือนสลัว แต่ก็เป็นเพียงตำแหน่งอ้างอิงตามกฎเท่านั้น ไม่ใช่คนที่มีอำนาจตัดสินใจในหอเลือนสลัว ยกตัวอย่างเช่นป้ายคำสั่งนี้ก็เป็นสิ่งที่สำนักใหญ่ที่มีตำแหน่งเหล่านั้นไม่มีในครอบครอง
ไป๋หลี่เจี๋ยกล่าวว่า “กงซุนซยงน่าจะทราบเจตนาที่ข้ามาเยือนแล้ว จะยอมให้ความร่วมมือหรือไม่?”
เหงื่อเย็นๆ ค่อยซึมออกมาจากหน้าผากกงซุนปู้ สีหน้าก็ค่อนข้างย่ำแย่เช่นกัน หอเลือนสลัวมาหาถึงที่แล้ว เขามีสิทธิ์ปฏิเสธอย่างนั้นหรือ? ย่อมไม่มี!
ใต้หล้านี้ไม่มีผู้ใดกล้าต่อต้านยอดคนทั้งเก้า ใต้หล้านี้เป็นของยอดคนทั้งเก้า!
กงซุนปู้ถาม “ข้ายังมีทางเลือกอีกหรือ?”
ไป๋หลี่เจี๋ยยิ้มน้อยๆ พยักหน้ากล่าวไปว่า “รู้ก็ดีแล้ว”
กงซุนปู้เอ่ยถาม “ท่านน่าจะไม่ได้มาเพราะข้า แต่มาเพราะหนิวโหย่วเต้ากระมัง?”
“เฉียบแหลม!”
“เพราะเหตุใด?”
“ไม้งามในพงไพร ชื่อเสียงขจรไกล ระยะนี้โดดเด่นสะดุดตาอย่างยิ่ง หากเป็นคนธรรมดาก็แล้วไปเถิด แต่ดันเป็นคนในโลกบำเพ็ญเพียรด้วย สมควรต้องใส่ใจเอาไว้เช่นกัน”
กงซุนปู้กระจ่างแล้ว ระยะนี้เต้าเหยี่ยโดดเด่นเกินไป ดึงดูดความสนใจของหอเลือนสลัวเข้าแล้ว มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเตะตายอดคนทั้งเก้าเข้า ดังนั้นผู้ตรวจการณ์แห่งหอเลือนสลัวถึงมาเยือน
เช่นนี้คือต้องการให้ตนรับหน้าที่เป็นสายสืบข้างกายหนิวโหย่วเต้าให้หอเลือนสลัว!
ในใจเขาทุกข์ทรมานนัก หน้าที่สายสืบเช่นนี้ไม่มีวันเปิดเผยตัวได้ หากคิดจะพึ่งพาหาผลประโยชน์ใดจากหอเลือนสลัวไม่มีทางเป็นไปได้ หอเลือนสลัวไม่มีทางปล่อยให้มีเบาะแสร่องรอยใดๆ ที่สื่อให้เห็นว่าเขามีความเกี่ยวข้องกับพวกเขา แต่เขาไม่มีทางเลือกแล้ว หากอีกฝ่ายต้องการบดขยี้เขาก็ง่ายดายนัก ต่อให้หนิวโหย่วเต้ามีความสามารถเพียงใดก็ต้านไม่ไหว!
ว่ากันตามจริง หนิวโหย่วเต้าไม่ได้ตระหนี่ต่อสำนักเบญจคีรีเลย อีกทั้งไม่ตระหนี่ถี่เหนียวต่อกงซุนปู้ด้วย
อุปนิสัยของหนิวโหย่วเต้าและความสามารถของหนิวโหย่วเต้า ทำให้กงซุนปู้ไม่มีเหตุผลที่จะต้องทรยศหักหลังเลย แต่ในเมื่อหอเลือนสลัวมาหาเขา แล้วเขาจะทำอย่างไรได้อีกเล่า?
กงซุนปู้ค่อยๆ หลับตาลง “ข้าไม่เข้าใจ”
“ไม่เข้าใจเรื่องใด?”
“เหตุใดถึงต้องเป็นข้า? ข้าไม่นับว่าเป็นคนที่ได้รับความไว้วางใจจากหนิวโหย่วเต้าอย่างแท้จริง คนที่ได้รับความไว้วางใจจากหนิวโหย่วเต้าอย่างแท้จริงคือคนที่ติดตามอยู่ข้างกายเขากลุ่มนั้น เหตุใดท่านถึงไม่ไปหาพวกเขา มาหาข้าด้วยเหตุผลใดกัน เพียงเพราะพวกเรารู้จักกันอย่างนั้นหรือ?”
ไปหลี่เจี๋ยเอ่ยว่า “เจ้าคิดว่าคนที่ภักดีต่อหนิวโหย่วเต้าอย่างสุดจิตสุดใจจะเหมาะสมหรือ? คนประเภทนั้นไม่สุขุมเลย ใช้อารมณ์ตัดสินเรื่องราวได้ง่ายๆ ที่ข้ามาหาเจ้าก็ย่อมมีเหตุผลที่เลือกมาหาเจ้าอยู่”
กงซุนปู้ถามด้วยรอยยิ้มขมขื่น “ต้องการให้ข้าทำสิ่งใด?”
ไป๋หลี่เจี๋ยกล่าวว่า “เจ้าวางใจเถอะ พวกเราทำงานย่อมมีกฎระเบียบของตนอยู่ ไม่มีทางทำให้เจ้าลำบาก และจะไม่ส่งผลกระทบใดๆ ต่อเจ้า เจ้าก็ใช้ชีวิตตามปกติไป ควรทำสิ่งใดก็ทำไปตามนั้น ไม่มีทางให้เจ้าทำเรื่องเสี่ยงเผยพิรุธใดๆ หากไม่มีความจำเป็นจริงๆ พวกเราไม่มารบกวนเจ้าแน่นอน แต่หากว่าฐานะสายสืบของเจ้าเปิดเผยออกไปเพราะเหตุสุดวิสัยหรือเพราะมีสาเหตุอันใดที่เกิดจากทางเราขึ้นมา พวกเราจะชดเชยให้เจ้าอย่างเต็มที่แน่นอน ได้ยินว่าเจ้ารับผิดชอบเครือข่ายข่าวสารให้หนิวโหย่วเต้าหรือ?”
กงซุนปู้ถอนหายใจเอ่ยตอบไป “นับว่าใช่กระมัง!”
ไป๋หลี่เจี๋ยไม่พอใจเล็กน้อย “นับว่าใช่งั้นหรือ คิดจะแสร้งทำตัวเลอะเลือนกับข้าหรือไร?”
กงซุนปู้กล่าวว่า “ข่าวสารส่วนใหญ่จะสื่อสารผ่านทางข้า แต่ก็มีข่าวสารที่ไม่ผ่านทางข้า หากแต่อยู่ภายใต้การควบคุมจากทางคฤหาสน์โดยตรงอยู่เช่นกัน ข่าวสารของทางคฤหาสน์ต่างหากที่น่าจะเป็นเรื่องลับสุดยอดอย่างแท้จริง”
ไป๋หลี่เจี๋ยขมวดคิ้วใคร่ครวญอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็ล้วงกล่องสี่เหลี่ยมผืนผ้าใบหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อยื่นส่งให้เขา
กงซุนปู้รับไป แค่เห็นก็ทราบแล้วว่าเป็นไข่ของปีกทอง เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายต้องการสร้างช่องทางสื่อสารลับกับทางตน
“ด้วยสถานะและเงื่อนไขของฝั่งเจ้า ทุกวันล้วนมีข่าวสารผ่านเข้าออกมากมายอยู่แล้ว มีปีกทองบินเข้าออกติดต่อกับเจ้าก็ไม่มีทางก่อให้คนเกิดความสงสัยขึ้นมาได้ ก็อย่างที่บอกไปก่อนหน้านี้ เจ้าควรทำสิ่งใดก็จัดการไปตามนั้น พวกเราจะไม่มารบกวนเจ้าส่งเดช แต่ทันทีที่มีเรื่องสอบถามมา หวังว่าเจ้าจะบอกทุกสิ่งที่รู้อย่างไม่ปิดบัง มิเช่นนั้นเจ้าคงทราบผลลัพธ์ที่จะตามมาดี” ไป๋หลี่เจี๋ยเอ่ยเตือนเล็กน้อย
เวลานี้สิ่งที่อยู่ในมือทำให้กงซุนปู้รู้สึกเหมือนถือของหนักพันชั่งขึ้นมา เขาพยักหน้ารับอย่างยากลำบาก “เข้าใจแล้ว”
ฝ่ายแขกรั้งอยู่ไม่นานก็จากไป
กงซุนปู้ที่จัดคนให้ออกไปส่งแล้วยืนอยู่นอกหอสูงด้วยความรู้สึกเศร้าหมองห่อเหี่ยวใจ…
….
ภายในคฤหาสน์บนเขา หยวนกังเดินสวนกับจวงหง เมื่อบังเอิญพบกันหยวนกังจะพยักหน้าทักทายเล็กน้อยเท่านั้น จวงหงที่เดินผ่านไปชะงักเท้าเล็กน้อย จากนั้นก็ค่อยๆ หันกลับไปมองเขาคราหนึ่ง
หยวนกังเดินเข้าไปในห้องครัวของคฤหาสน์ มองเหล่าสมณะที่ยุ่งง่วนจัดเตรียมอาหารของวันนี้อยู่
“หยวนเยี่ย” อู๋ซานเหลี่ยงที่อยู่ตรงหน้าประตูเอ่ยทัก ห้องครัวเป็นเขตหวงห้ามของวัดหนานซาน นอกจากหนิวโหย่วเต้ากับหยวนกังแล้ว เป็นตายอย่างไรหยวนฟางก็ไม่ยอมให้ใครหน้าไหนผ่านเข้าไปได้