ตอนที่ 587 พ่ายแพ้แต่ไม่ย่อท้อ

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

ตอนที่ 587 พ่ายแพ้แต่ไม่ย่อท้อ

แม้แต่คนเก่าคนแก่ที่ติดตามหนิวโหย่วเต้ามานานอย่างอู๋ซานเหลี่ยงก็ยังไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าสู่ด้านในเช่นกัน สถานที่ทุกแห่งที่ถูกหยวนฟางตอกป้าย ‘วัดหนานซาน’ ไว้เหนือบานประตูล้วนจะเปรียบเสมือนหางแมวที่ไม่อาจแตะต้องได้ของหยวนฟาง

และเนื่องจากเป็นคนที่ติดตามหนิวโหย่วเต้ามานาน อู๋ซานเหลี่ยงถึงรู้ว่าหยวนฟางมีนิสัยเช่นไร ก็แค่กลัวเคล็ดลับในการทำอาหารจะรั่วไหลออกไปสู่ภายนอกมิใช่หรือ?

อู๋ซานเหลี่ยงก็นับว่ายอมใจสมณะกลุ่มนี้แล้วเช่นกัน เพื่อปกป้องเคล็ดลับการทำอาหารไว้ สมณะกลุ่มหนึ่งยอมลงมือฆ่าสัตว์เพื่อปรุงอาหารอย่างไม่นึกลังเลแม้แต่น้อย อีกทั้งไม่กลัวจะผิดต่อพุทธองค์เลย

ด้วยกลัวว่าพวกเขาจะลำบากจึงอยากช่วยแบ่งเบางานในบางด้านให้ แต่เป็นตายอย่างไรสมณะเหล่านี้ก็ไม่ยินยอม

อู๋ซานเหลี่ยงก็ไม่ทราบเช่นกันว่าหยวนฟางใช้ยาเสน่ห์อันใดกับสมณะกลุ่มนี้ ตอนเขาไปบ่นให้หนิวโหย่วเต้าฟัง หนิวโหย่วเต้าเอ่ยถึง ‘ศรัทธา’ สองคำนี้ บอกว่าสมณะกลุ่มนี้คือกลุ่มคนที่มีความศรัทธาอย่างแท้จริง

ศรัทธาอย่างนั้นหรือ? อู๋ซานเหลี่ยงไม่ค่อยเข้าใจคำนี้นัก

หยวนกังหันมองเล็กน้อย จากนั้นหันหลังเดินออกจากห้องครัวไป

พอมาถึงสถานที่ปลีกวิเวกด้านนอกแล้ว อู๋ซานเหลี่ยงที่เดินอยู่ข้างๆ เขาเอ่ยกระซิบว่า “ข้า ‘บังเอิญ’ พบเขา ยังไม่ทันหาข้ออ้างสอบถาม เขาก็เป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นมาเองแล้ว บอกว่าเป็นคนรู้จักเก่า พอดีผ่านมาทางนี้แล้วการเงินติดขัด เขาจึงมอบเงินหนึ่งพันเหรียญทองให้ไป๋หลี่เจี๋ยเป็นน้ำใจ ดูปกติมากขอรับ ไม่มีความผิดปกติใดๆ เลย หยวนเหยี่ย ท่านสงสัยว่ากงซุนปู้จะมีปัญหาหรือขอรับ?”

หยวนกังเหลือบมองเขาด้วยสีหน้าใช้ความคิด “เจ้าคิดมากไป สำนักเบญจคีรีทำหน้าที่อะไรใช่ว่าเจ้าจะไม่รู้ ไม่ว่าจะเป็นการติดต่อใดๆ กับโลกภายนอกล้วนต้องให้ความสนใจไว้มากหน่อย หามีความคิดอื่นใดไม่”

“เรื่องนั้นก็ถูกขอรับ” อู๋ซานเหลี่ยงพยักหน้ารับ

เมื่อไม่มีเรื่องใดแล้ว เขาก็รีบจากไปด้วยตัวเองเลย

พอเลยเที่ยงไป เหลยจงคังที่กลับมาจากด้านนอกหุบเขาเข้ามาหาหยวนกังที่ห้องพักในคฤหาสน์ต่อ หยวนกังเปลือยท่อนบนหกสูงมือเดียวอยู่ภายในห้อง

เหลยจงคังเดินเข้ามาหยุดเบื้องหน้าเอ่ยรายงานว่า “หยวนเหยี่ย หลังจากไป๋หลี่เจี๋ยคนนั้นออกจากหุบเขาไปก็เข้าไปที่ตัวเมือง กินดื่มอย่างสำราญอยู่ในเมืองหนึ่งมื้อก็จากไปอย่างไม่เร่งร้อน ดูปกติอย่างยิ่ง ไม่พบความผิดปกติใดๆ เลยขอรับ”

เขารับผิดชอบดูแลงานในส่วนนี้ คนนอกที่เคยผ่านเข้าออกทางนี้ หลังจากออกไปแล้วเขาล้วนจะตามจับตามองทุกราย

หยวนกังตอบอืมคำหนึ่ง สื่อว่ารับทราบแล้ว

หลังจากเหลยจงคังออกไป หยวนกังหมุนเอว วางสองเท้าแตะพื้นแล้วลุกขึ้นยืน สวมเสื้อแล้วเดินออกจากห้องไป

จากนั้นก็ไปหาต้วนหู่ ทั้งสองเดินออกจากคฤหาสน์ไปด้วยกัน เดินเล่นไปจนถึงหน้าหลุมศพของเฮยหมู่ตาน

“หยวนเหยี่ยมีเรื่องใดหรือขอรับ?” ต้วนหู่เอ่ยถาม

หยวนกังเอ่ยว่า “ไป๋หลี่เจี๋ย ได้ยินว่าเป็นผู้บำเพ็ญเพียรที่พอจะมีชื่อเสียงในโลกบำเพ็ญเพียรเล็กน้อย เจ้าติดต่อไปหาทางลิ่งหูชิวที่เป็นพี่น้องร่วมสาบานของเต้าเหยี่ย ลิ่งหูชิวคุ้นเคยกับสถานการณ์ทำนองเดียวกันนี้ สอบถามเขาดูว่ารู้เรื่องไป๋หลี่เจี๋ยคนนี้มากน้อยเพียงใด ปกติแล้วทำอะไรบ้าง ให้เขาเล่าข้อมูลทั้งหมดของไป๋หลี่เจี๋ยเท่าที่รู้มา อย่าได้หมกเม็ด ข้าอยากจะรู้”

ต้วนหู่ตอบรับ “ขอรับ ข้าจะส่งข่าวไปหาเขาเดี๋ยวนี้”

หยวนกังยกมือปราม สื่อว่าให้คอยก่อน จากนั้นก็หยิบแผ่นกระดาษม้วนหนึ่งจากในแขนเสื้อยื่นให้เขา

ต้วนหู่เปิดออกดู พบว่าเป็นรายชื่อจำนวนหนึ่ง มีคนบางส่วนในรายชื่อที่เขาพอจะรู้จักอยู่เช่นกัน อดไม่ได้ที่จะถามด้วยความฉงน “หยวนเหยี่ย รายชื่อเหล่านนี้ดูเหมือนจะเป็นศิษย์ใหม่ที่สำนักเบญจคีรีเพิ่งรับเข้ามาในช่วงไม่กี่ปีนี้ทั้งสิ้น”

หยวนกังกล่าวว่า “เป็นศิษย์ของสำนักเบญจคีรีก็ดีแล้ว เป็นคนที่ข้าจัดส่งเข้าไป”

ต้วนหู่มึนงง ไม่ทราบว่าการที่เขามอบรายชื่อลับเหล่านี้ให้ตนหมายความว่าอย่างไร

หยวนกังกล่าว่า “ตอนนี้คนเหล่านี้ล้วนยังอยู่ในหุบเขา เจ้าติดต่อพวกเขาซะ นับจากนี้ไปข้าต้องการทราบช่วงเวลาที่ปีกทองทั้งหมดผ่านเข้าออกสำนักเบญจคีรี เจ้าต้องรายงานสถานการณ์ในทุกวันให้ข้าทราบอย่างละเอียด เรื่องนี้ยกให้เจ้ารับผิดชอบ อย่าให้คนอื่นรู้”

เขาเตรียมการเรื่องนี้ไว้แต่แรกแล้ว เตรียมจัดระเบียบกฎเกณฑ์การติดต่อระหว่างสำนักเบญจคีรีและสถานที่ต่างๆ จัดระเบียบตามวิธีการในแบบของเขา

เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญในการจัดระเบียบงานด้านนี้ เขาเคยได้รับการฝึกอบรมในสายงานสืบสวนมาก่อน

นี่คือหนึ่งในเหตุผลที่หนิวโหย่วเต้าต้องการให้เขาย้ายไปทำงานอยู่เบื้องหลัง

ต้วนหู่เอ่ยด้วยความลังเลอย่างเห็นได้ชัด “หยวนเหยี่ย ท่านสงสัยว่าสำนักเบญจคีรีจะมีปัญหาหรือขอรับ?”

“ทุกอย่างอยู่บนพื้นฐานความเป็นจริง มีอะไรให้สงสัยหรือไม่สงสัยกัน? กว่าเต้าเหยี่ยจะพาทุกคนมาถึงจุดนี้ได้ไม่ง่ายดายเลย” หยวนกังชี้หลุมศพของเฮยหมู่ตาน สื่อว่านี่ก็คือหนึ่งในสิ่งที่เสียไป “มิใช่ว่าสงสัยในตัวผู้ใด แต่พวกเราก็ต้องรับผิดชอบตัวพวกเราเองเช่นกัน พวกเรามีหน้าที่เฝ้าบ้านก็ต้องคอยดูแลบ้านไว้ ไม่อาจปล่อยให้เกิดปัญหาขึ้นภายในบ้านได้ มิเช่นนั้นจะผิดต่อคนที่เสียไปแล้ว และจะผิดต่อคนที่ยังมีชีวิตอยู่ด้วย คนที่ยังมีชีวิตอยู่จำเป็นต้องทำอะไรให้เป็นประโยชน์บ้างเพื่อคนที่สิ้นชีพไปแล้ว กำลังของเต้าเหยี่ยเพียงคนเดียวมีจำกัด ไม่มีทางดูแลทุกเรื่องได้ครอบคลุม พวกเราได้รับหน้าที่ใดก็สมควรทำให้ดี นี่คือเรื่องพวกเราสมควรทำ”

ต้วนหู่มองป้ายหลุมศพเฮยหมู่ตาน ขบกรามจนแก้มตึงขึ้นมาเล็กน้อย “ข้าเข้าใจแล้วขอรับ หยวนเหยี่ยโปรดวางใจ ยกเรื่องนี้ให้เป็นหน้าที่ข้าได้เลย”

หลังจากต้วนหู่ไปแล้ว หยวนกังจ้องมองป้ายหลุมศพอย่างใจลอย

สถานการณ์ของคฤหาสน์กระท่อมฟางในปัจจุบันนี้ อันที่จริงด้านในยังแบ่งแยกกันเป็นหลายกลุ่ม

กลุ่มคนจากทางสวนไม้เลื้อยมีก่วนฟางอี๋เป็นผู้น้ำ ส่วนก่วนฟางอี๋ก็เห็นได้ชัดว่ามองตนเป็นคนของเต้าเหยี่ยแล้ว

กลุ่มของเฮยหมู่ตานก็เป็นอีกกลุ่มหนึ่งที่คิดว่าตนมีฐานะเป็นคนเก่าคนแก่ของหนิวโหย่วเต้า เนื่องจากมักจะได้รับภารกิจลับบางอย่างเสมอ ดังนั้นจึงคิดว่าพวกเขาต่างหากถึงจะเป็นคนที่ได้รับความไว้วางใจจากทางเต้าเหยี่ยอย่างแท้จริง

กลุ่มคนฝั่งสำนักเบญจคีรีไม่จำเป็นต้องพูดถึงเลย ทั้งสำนักล้วนพึ่งพาการสนับสนุนด้านการเงินจากเต้าเหยี่ยอย่างสมบูรณ์ เต้าเหยี่ยสามารถขุดรากถอนโคนพวกเขาได้ตลอดเวลา ขึ้นตรงกับเต้าเหยี่ยเท่านั้น

เหล่าสมณะแห่งวัดหนานซานรับผิดชอบดูแลงานจิปาถะภายในคฤหาสน์กระท่อมฟาง ยกตัวอย่างเช่นดูแลอาหารการกิน ทุกสิ่งที่เต้าเหยี่ยกินดื่มในคฤหาสน์จะมาจากพวกเขาเท่านั้น เหล่าสมณะดูเหมือนจะทำงานรับใช้ยิบย่อย แต่ความจริงแล้วมีสถานะลอยตัว ไม่จำเป็นต้องเข้าร่วมความเสี่ยงด้านการต่อสู้ฆ่าฟัน นอกจากเต้าเหยี่ยกับตัวเขาหยวนกังแล้ว ไม่จำเป็นต้องฟังคำสั่งผู้ใดทั้งสิ้น ดูเหล่าสมณะโง่เง่าที่เวียนวนทางโลก ในมือไร้ซึ่งอำนาจใดๆ แต่กลับมีเต้าเหยี่ยหนุนหลังอยู่ คนอื่นๆ ในคฤหาสน์ไม่อาจทำอันใดพวกเขาได้ ย่อมมีเต้าเหยี่ยเป็นนายเช่นกัน

ซางซูชิงที่มาอยู่กับทางนี้เป็นประจำคือตัวแทนของฝั่งซางเฉาจง แต่กลับกลายเป็นสาวใช้รับหน้าที่หวีผมให้เต้าเหยี่ยไปแล้ว เต้าเหยี่ยว่าอย่างไรนางก็ว่าอย่างนั้น คนที่มีสายตาเฉียบแหลมล้วนมองออกว่าท่านหญิงอัปลักษณ์ผู้นี้หลงรักเต้าเหยี่ยเข้าแล้ว

ส่วนสำนักเซียนสถิต สำนักเมฆาล่องและสำนักคีรีพิลาสสามสำนักนี้ถูกเต้าเหยี่ยกำราบด้วยพระเดชพระคุณวนซ้ำไปมา เรียกได้ว่าถูกเคี่ยวกรำจนแทบเป็นแทบตาย ไม่อาจแยกตัวไปจากเต้าเหยี่ยได้อีก

ลูกน้องกลุ่มใหญ่ที่เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าล้วนเป็นคนของเต้าเหยี่ย แต่กลับไม่ผสานเป็นหนึ่งเดียวกันเลย ทุกคนต่างรับผิดชอบงานของตน ต่างฝ่ายต่างคอยจับตามองอีกฝ่ายไว้ ส่วนใหญ่ล้วนคิดว่าการคอยจับตามองไว้เป็นการทำเพื่อเต้าเหยี่ยและทำเพื่อตัวเองด้วย ล้วนตกอยู่ในกำมือเต้าเหยี่ยกันโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวกันทั้งสิ้น หยวนกังเลื่อมใสในกลยุทธ์ของเต้าเหยี่ยมาก

กลยุทธ์นี้ดูเหมือนจะไม่ได้ทำอะไร ทว่าแทรกซึมเข้าไปได้อย่างเงียบเชียบไร้ซุ่มเสียง หยวนกังยอมรับเลยว่าตัวเองทำไม่ได้ อาศัยเพียงความสามารถในการรวบรวมกลุ่มคนยิบย่อยเหล่านี้ให้มาอยู่รวมกัน อีกทั้งชักนำความคิดของกลุ่มคนที่มีแนวคิดแตกต่างกันให้คล้อยตามไปในทิศทางเดียวกันก็มิใช่ความสามารถที่ใครๆ นึกจะทำก็ทำได้ ถึงอยากเรียนรู้ก็ยังไม่แน่ว่าจะเรียนรู้เรื่อง

สูงต่ำมิอาจวัดบรรพต เซียนปรากฏย่อมเรืองนาม ลึกตื้นมิอาจประเมินชลธาร มังกรล่องผ่านย่อมเลื่องลือ คฤหาสน์กระท่อมฟางตั้งอยู่ในเขตป่าเขากันดารแห่งหนึ่ง ทว่ากลับสามารถรวบรวมกลุ่มคนสารพัดประเภทให้มาอยู่ร่วมกันอย่างสามัคคี ต่างทำหน้าที่ของตนไป ทั้งหมดเกิดจากการคงอยู่ของหนิวโหย่วเต้าเพียงคนเดียวเท่านั้น

ส่วนตัวเขาหยวนกัง นอกจากก่วนฟางอี๋ที่วางตัวเป็นปฏิปักษ์กับเขาแล้ว ในกลุ่มที่เหลือเขาสอดมือเข้าจัดการได้ทั้งสิ้นแต่เมื่อใดที่เขาเข้าไปจัดการเรื่องราวใดในนามของเต้าเหยี่ย ก่วนฟางอี๋ก็ไม่สามารถเข้ามาแทรกแซงได้

อันที่จริงทุกคนในคฤหาสน์ล้วนทราบกันชัดเจนดีว่าหยวนกังต่างหากที่เป็นคนสนิทที่สุดในหมู่คนสนิทของหนิวโหย่วเต้า ถึงขึ้นที่เกินคำว่าคนสนิทไปแล้ว หนิวโหย่วเต้ามองหยวนกังเป็นพี่น้องที่เปรียบดั่งแขนขาอย่างแท้จริง คนผู้นี้มีอำนาจตัดสินใจแทนหนิวโหย่วเต้าได้!

….

ณ เมืองหลวงแคว้นเยียน จวนเจ้ากรมการพลเรือน รถม้าที่มีคนกลุ่มหนึ่งคุ้มกันมาหยุดนิ่งลง เกาเจี้ยนเฉิงที่เพิ่งกลับมาจากกรมลงมาจากรถม้า

เพิ่งจะเข้าสู่จวน พ่อบ้านฟ่านจวนที่เฝ้ารออยู่ก็เดินติดตามมาอยู่ข้างกายเขา เดินเข้าสู่ด้านในไปด้วยกัน เขาโบกมือไล่ผู้ติดตามที่ประกบอยู่ฝั่งซ้ายขวาให้ถอยออกไป จากนั้นก็กระซิบรายงานเก้าเจี้ยนเฉิง “คุณชายใหญ่ส่งข่าวมาแล้ว เกิดเหตุผิดพลาดขึ้นเล็กน้อยขอรับ”

แววตาเกาเจี้ยนเฉิงโชนแสงขึ้นมาเล็กน้อย เร่งฝีเท้าเร็วขึ้น ที่นี่ไม่เหมาะสำหรับพูดคุย สองนายบ่าวเร่งกลับไปยังห้องหนังสือในเรือนอย่างรวดเร็ว

เกาเจี้ยนเฉิงเดินไปนั่งลงหลังโต๊ะ พอเห็นฟ่านจวนจะไปยกชามาให้ เขากดมือลงเล็กน้อย ฟ่านจวนก็ได้แต่ยั้งเท้าเสีย หยิบจดหมายลับฉบับถอดความแล้วยื่นส่งให้เขา

หลังเกาเจี้ยนเฉิงอ่านจบก็ฟาดจดหมายลับลงบนโต๊ะเสียงดังเพียะ แค่นเสียงเย็นชา “ไม่จำคำพูดข้าใส่หัวบ้างเลย กระตือรือร้นอยากสร้างผลงาน แต่ทันทีที่ลงมือก็เกิดปัญหา”

ฟ่านจวนเอ่ยว่า “ประสบความสูญเสียใหญ่หลวง เกรงว่าคุณชายใหญ่คงอธิบายได้ยากแล้วขอรับ!”

เกาเจี้ยนเฉิงเอ่ยว่า “เขาไม่ได้โง่ แต่พฤติกรรมการทำงานยังคงยึดรูปแบบของหน่วยข่าวกรองอยู่ พอมีโอกาสก็คิดแต่จะโจมตี ข้าเคยบอกเขาไปแล้ว เรื่องนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการสังหารหนิวโหย่วเต้า เขายังอ่อนหัดเกินไปหน่อย!”

ฟ่านจวนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ก็เป็นเพราะขาดประสบการณ์หล่อหลอมในราชสำนัก ที่ส่งข่าวมาก็เพื่อขอความเห็นจากนายท่านมิใช่หรือขอรับ?”

เกาเจี้ยนเฉิงถาม “เขายังไม่ได้รายงานขึ้นไปกระมัง?”

ฟ่านจวนตอบว่า “ตอนนี้ยังขอรับ คาดว่าคงไม่ค่อยมีความมั่นใจ จึงอยากให้นายท่านช่วยชี้แนะแนวทาง!”

เกาเจี้ยนเฉิงชี้เขาแล้วกล่าวว่า “บอกเขาว่านี่มิใช่หน่วยข่าวกรอง ไม่ต้องรายงานสถานการณ์ทั้งหมดต่อเบื้องบนอย่างละเอียดทุกขั้นตอน ฝ่าบาทไม่ทรงโปรดเรื่องนี้แน่ แต่แน่นอนว่าเรื่องบางอย่างก็ไม่มีทางปกปิดได้ แต่ต้องใส่ใจกับวิธีรายงานข่าวเข้าไว้ พ่ายแพ้ในทุกศึกกับพ่ายแพ้แต่ไม่ย่อท้อมีความแตกต่างกันอยู่ เจ้าต้องชี้แนะเขาให้ตรงจุด ถึงแพ้ก็ต้องแพ้อย่างที่ฝ่าบาททรงพอพระทัย เปลี่ยนเรื่องร้ายให้กลายเป็นดี!”

ฟ่านจวนพยักหน้ารับ ถามขึ้นมาอีกครั้ง “งานแรกก็แพ้เสียแล้ว เช่นนั้นทางคุณชายใหญ่สมควรจะรับมืออย่างไรขอรับ”

เกาเจี้ยนเฉิงพิงพนักเก้าอี้ใคร่ครวญอยู่สักพัก นิ้วมือเคาะหน้าโต๊ะเบาๆ อยู่พักใหญ่ จากนั้นสองตาพลันหรี่ลง เอ่ยเนิบๆ ว่า “เรามีข้อมูลของเจ้าของที่รายใหญ่แซ่จงนอกเมืองคนนั้นอยู่ สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้!”

ฟ่านจวนสมกับเป็นคนที่ติดตามเขามานานหลายปี รู้ใจกันเป็นอย่างดี แค่ฟังก็เข้าใจแล้ว พยักหน้าเอ่ยรับคำ “ข้าจะไปแจ้งคุณชายใหญ่เดี๋ยวนี้ขอรับ”

….

ภายในอุทยานหลวง ซางเจี้ยนสยงยืนอยู่หน้ากิ่งบุปผาช่อหนึ่งที่หักโค่น อาจจะเป็นเพราะรู้สึกสะเทือนใจ สีหน้าจึงเต็มไปด้วยความโศกหมอง

ผู้ดูแลหลวงเถียนอวี่ปรากฏตัวขึ้นที่มุมสวน เดินเข้ามาใกล้พลางโบกมือให้คนอื่นๆ ถอยออกไป จากนั้นเอ่ยรายงานเสียงเบา “ฝ่าบาท เกาเซ่าหมิงส่งข่าวมาแจ้วว่าล้มเหลวพ่ะย่ะค่ะ…”

เขาเล่าเหตุการณ์ออกมาเล็กน้อย เกาเจี้ยนสยงฟังแล้วค่อยๆ ปรากฏสีหน้าโกรธเกรี้ยวขึ้นมา “แค่ผู้บำเพ็ญเพียรขั้นสร้างฐานคนเดียว ใช้ยอดฝีมือมากมายปานนั้นไปจัดการ แต่กลับถูกกวาดล้างทั้งหมดอย่างนั้นหรือ? นี่น่ะหรือความสามารถที่เขาเสนอตัวรับใช้? ตัวไร้ประโยชน์!”

เถียนอวี่ค้อมกายขานรับ จากนั้นก็เอ่ยขึ้นมาอีกว่า “แต่บ่าวคิดว่าเขาทำเช่นนี้ก็ไม่เลวเลยพ่ะย่ะค่ะ”

ซางเจี้ยนสยงหันขวับมาเอ่ยเสียงเย็นชา “เจ้าได้รับประโยชน์จากเขามาเท่าไรถึงได้ช่วยพูดให้เขา?”

เถียนอวี่ค้อมกายอีกครั้ง เอ่ยไปว่า “ทูลฝ่าบาท เกาเซ่าหมิงแจ้งมาว่าหนิวโหย่วเต้ามิใช่คนธรรมดา ไม่มีทางจัดการได้ง่ายดายปานนั้น แทนที่จะรอจนปรากฏช่องโหว่ขึ้น มิสู้เป็นฝ่ายโจมตีก่อนดีกว่า ก่อนเขาจะลงมือในครั้งนี้ได้เตรียมใจยอมสังเวยยอดฝีมือเหล่านั้นเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว วางเป้าหมายไว้สองข้อ อย่างแรกคืออาจจะสัมฤทธิ์ผลในคราวเดียว อย่างที่สองทำเพื่อหยั่งเชิงสภาพความเป็นจริง ราชสำนักยังไม่เคยประมือกับเขาอย่างซึ่งหน้ามาก่อน สรุปแล้วตื้นลึกหนาบางของเขาเป็นอย่างไรไม่มีผู้ใดทราบชัดเจน แต่พอประสบเรื่องนี้ในครานี้ก็ต่างกันออกไปแล้ว เขารู้แล้วว่ากองกำลังคุ้มกันฝั่งหนิวโหย่วเต้าไม่ธรรมดาเลย หากลอบสังหารตามปกติ ต่อให้ไม่พ่ายแพ้เช่นนี้ก็คงพ่ายแพ้ในรูปแบบอื่นอยู่ดี ตอนนี้สามารถใช้แผนอื่นได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ!”

ซางเจี้ยนสยงฟังแล้วเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นพยักหน้ารับนิดๆ คล้ายจะคิดว่าสมเหตุสมผล สีหน้าอ่อนลงเล็กน้อย “เขาเตรียมจะวางแผนไปถึงเมื่อไร?”

เถียนอวี่ตอบว่า “เขามิได้กล่าวอ้างเลื่อนลอยพ่ะย่ะค่ะ หากแต่รายงานแผนการหนึ่งมาแล้ว แต่จำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากราชสำนักพ่ะย่ะค่ะ”

ซางเจี้ยนสยงร้องโอ้ “ไหนลองว่ามาสิ”

“นอกเมืองมีครอบครัวคหบดีใหญ่แซ่จง คนผู้นี้ดูเหมือนจะเป็นเพียงเจ้าของที่ดินคนหนึ่ง แต่ความจริงแล้วเบื้องหลังไม่ธรรมดา…”