บทที่ 524 ยิ่งคนมากพละกำลังยิ่งมาก

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ

บทที่ 524 ยิ่งคนมากพละกำลังยิ่งมาก

บทที่ 524 ยิ่งคนมากพละกำลังยิ่งมาก

วันเวลาแห่งความสุขและปราศจากความวุ่นวายมักผ่านไปเร็วเสมอ พริบตาเดียวช่วงเวลาแห่งการสอบปลายภาคก็มาถึง

เสี่ยวเถียนไม่เคยกลัวการสอบ แต่พี่ ๆ ยังเครียดเหมือนเดิม

มัธยมปลายปี 2 มีฉืออี้หย่วนไม่เคยพลาดอันดับหนึ่ง

มัธยมปลายปี 1 มีเสี่ยวเถียนขวางทางเลยเป็นอันดับหนึ่งไม่ได้!

แต่ถึงจะชนะคนของเราไม่ได้ แต่เราชนะคนอื่นได้ใช่ไหมล่ะ? ภายใต้ความกดดัน เด็ก ๆ ต่างอ่านหนังสือโดยไม่อดหลับอดนอน ก่อนจะสอบผ่านฉลุย!

โชคดีที่หลังจากสอบเสร็จพวกเรายังขายหลู่เว่ยได้สักระยะหนึ่ง และนี่เป็นเรื่องที่มีความสุขที่สุด

ทุกวันนี้เราใช้เวลาไปกับการค้าขายหลู่เว่ยและคิดว่ามันเป็นธุรกิจเล็ก ๆ ที่ทำเงินได้มหาศาลอย่างคาดไม่ถึง

หลังจากคิดบัญชีเสร็จ เด็ก ๆ มีเงินเกือบสี่ร้อยหยวน

เกินความคาดหมายไปมาก

ขนาดเป็นแค่ธุรกิจเล็ก ๆ ยังได้เงินตั้งขนาดนี้เลย พวกเด็ก ๆ จึงมีความคิดที่ว่าการหาเงินเป็นเรื่องง่าย

และมีความสุขจนพวกพี่โต ๆ อย่างพวกโส่วเวินอิจฉา

พวกเราก็เริ่มทำธุรกิจเล็ก ๆ กับฉืออี้หย่วนเหมือนกัน จนถึงตอนนี้เพิ่งจะเก็บเงินได้เจ็ดแปดร้อยหยวนเอง

ดูเหมือนว่าการสร้างรายได้ในธุรกิจอาหารจะเป็นเรื่องง่ายนะ

อีกฝั่งของเสี่ยวลิ่วและคนอื่น ๆ กำลังรวมตัวและวางแผนเรื่องทำเป็นธุรกิจใหญ่อีกขั้นเพื่อหารายได้

เรามีวันหยุดแล้วแถมยังใกล้วันปีใหม่ด้วย จะรอช้าไม่ได้

“แยกกันทำแล้วกัน อย่ารวมอยู่ที่เดียว!” เสี่ยวจิ่วตื่นเต้นเมื่อนึกถึงเงินสี่ร้อยหยวน

พี่รองวาดรูปได้เงินและรางวัลรวมมากกว่าสามร้อย เทียบได้กับที่เราขายอาหารเลยนะ

“เสี่ยวจิ่วพูดถูก เราจะเอาแต่ขายไม่ได้ ต้องบุกเบิกตลาดด้วย คนอื่น ๆ จะได้มากินหลู่เว่ยเราเยอะ ๆ แล้วเราก็จะได้เงินเยอะขึ้นด้วย!”

เสี่ยวลิ่วหยิบกระดาษแผ่นบางออกมาและบอกว่านี่เป็นแผนที่เขาทำขึ้น

เสี่ยวชีรีบหยิบมาแล้วหยักหน้าขณะอ่าน “ดีมากเลยพี่หก งั้นเราจะไปเรียกพี่เสี่ยวกังมายังไงล่ะ?”

เรามีสมาชิกน้อยคน เลยไปขายในพื้นที่ไกล ๆ ไม่ได้

“ไม่ใช่แค่พี่เสี่ยวกังนะ ถ้าพี่เสี่ยวเหมยยอมมาด้วย เราก็ยกโขยงกันไปนี่แหละ!” เสี่ยวปาเห็นด้วยมา

“พวกพี่ใหญ่ไปกับพี่อี้หย่วน แต่เราไม่รู้ว่าพี่เขาหาเงินได้เท่าไรแล้ว เราจะรั้งท้ายไม่ได้นะ!” เสี่ยวจิ่วทะเยอทะยานในการแข่งกับพี่ใหญ่มาก

คนอื่น ๆ ก็ไม่เห็นว่าจะแปลกอะไรกับคำพูดนั้น

เสี่ยวลิ่ว “ให้เสี่ยวกังกับพี่เสี่ยวเหมยร่วมวงก็คงดีนะ”

ตอนนั้นเสี่ยวเถียนเดินผ่านพอดี เลยบังเอิญได้ยินประโยคนี้จึงเดินเข้าไปดู

ตอนเห็นแผนการของพี่หกก็ต้องนึกประหลาดใจ

ถึงจะไม่นับว่าดี แต่ด้วยวัยของพี่หกถือว่าเยี่ยมมากแล้ว

เข้าท่าจริง ๆ

ทีแรกคิดว่าคงมีแค่พี่สี่ที่เก่งเรื่องนี้ แต่ไม่นึกเลยว่าพี่หกก็เก่งด้วย

ในช่วงเวลาแบบนี้ขอแค่มีแรงผลักดันเราจะหาเงินได้อย่างแน่นอน

พวกพี่ ๆ จะทำหม้อทองคำใบแรกได้แน่

“พี่หก พี่ทำได้แน่นอนค่ะ!” เสี่ยวเถียนชมเต็มที่

คนอื่น ๆ มีความมั่นใจมากขึ้นเมื่อได้ยิน ขอแค่เป็นน้องเล็กเอ่ยออกมา เด็กบ้านซูพร้อมจะเชื่อแบบหน้ามืดตามัว

ไม่ว่าเสี่ยวเถียนจะพูดอะไรก็ตาม มันจะต้องประสบความสำเร็จแน่

ธุรกิจของพวกเราจะต้องไปได้สวย!

“นอกจากเรื่องรับสมาชิกเพิ่มแล้ว อันที่จริงพี่สามารถจ้างคนมาได้นะ หรือจะให้เขาเป็นตัวแทนรับเอาไปขายตรง ๆ ก็ได้ แบบนี้ก็ทำเงินได้เยอะเหมือนกัน” เสี่ยวเถียนเตือนอีกรอบ

ตอนนั้นแหละที่ธุรกิจขายหลู่เว่ยของหออีหมิงได้เปิดตัวขึ้น

หลายคนรู้ว่าร้านนี้ไม่ได้มีแค่อาหารที่อร่อยเท่านั้น แต่หลู่เว่ยก็อร่อยเหมือนกัน

โดยเฉพาะคากิและไส้ใหญ่ตุ๋น ราคาถูกกว่าส่วนเนื้อเยอะเลย

สำหรับลูกค้าพวกนี้ เด็ก ๆ เริ่มจากขายก่อน แต่เพราะยังต้องพึ่งพาพี่ ๆ เลยมีพละกำลังจำกัด

เรื่องหาเงินเราจะพึ่งพาแค่ตัวเองไม่ได้ ต้องทำเงินให้เก่งด้วยความช่วยเหลือจากผู้อื่นด้วย!

“จริงหรือ?” เสี่ยวลิ่วถาม

เราไม่คิดว่าจะจ้างคนมาทำได้

“จริงสิ ถ้าพวกนายเดินขายตามถนนแล้วจะได้เงินเยอะ ๆ เมื่อไรล่ะ?” เสี่ยวซื่อที่เพิ่งเดินเข้ามาเอ่ยแทรก

มีแค่น้องเล็กที่ฉลาดเท่านั้นแหละ ที่เหลือไม่ได้เรื่องเลย

เสี่ยวลิ่วมุ่ยหน้าแต่ไม่ได้ตอบอะไร

เขาไม่รู้ว่าขายมาได้ดีตั้งนาน แต่ไม่เห็นจะได้เงินเท่าไรเลย

เสี่ยวซื่อไม่รู้ว่าน้องคิดอะไร พอเผชิญกับน้องที่แสนรังเกียจเขาไม่มีความสุภาพเลย

เป็นเสี่ยวลิ่วที่สายตาไม่ดี

ตอนแรกที่ต้องทำธุรกิจเราต้องลงทุนก่อน ดูผิวเผินเหมือนจะทำเงินได้น้อยแต่หลังจากผ่านไประยะหนึ่งจะเห็นได้เองว่าเรากำลังคืนทุนอยู่ และทำเงินได้เยอะขึ้นเอง!

ไม่ใช่ว่าไม่ได้เงิน แต่มันกำลังหมุนเวียนอยู่

แต่พูดออกไปได้ไหมล่ะ? ไม่ได้ไง!

“พี่สี่บอกผมทีครับว่าผมจะทำอะไรได้อีก?”

“ถนนเส้นนี้มีร้านอาหารไม่เยอะหรอก เราควรจะเอามาขาย แค่กำไรอาจจะน้อยหน่อย แต่ว่ามันก็ดีกว่าวิ่งหาเงินนะ…”

หลังจากเสี่ยวซื่อแนะนำให้เสี่ยวลิ่วก็เข้าใจในทันที และคิดว่าพวกเราน่าจะหาเงินในช่วงวันหยุดนี้ได้เยอะ

และแน่นอนว่าเราจะชวนเสี่ยวกังและเสี่ยวเหมยมาด้วย

แต่ไม่คิดว่ากลับเป็นสามคนแทน

ซูเสี่ยวเหลียงลาพักร้อนกลับมาบ้าน เขาเพิ่งมาถึง พอได้ยินแผนการของเด็ก ๆ จึงอาสาจะช่วย

เสี่ยวเถียนมองพี่ชายที่ไม่ได้เจอกันมาหลายปีแล้วยิ้มทัก

“พี่เสี่ยวเหลียงดูเป็นลูกผู้ชายขึ้นเยอะเลยค่ะ!”

หลังจากทำงานเป็นทหารมาหลายปี เสี่ยวเหลียงดูแตกต่างจากหลายปีก่อนจริง ๆ

กองทัพทหารเป็นสถานที่ฝึกฝนผู้คนอย่างแท้จริง

“เสี่ยวเถียนก็โตขึ้นเยอะเหมือนกันนะ อีกอย่างพี่ไม่ได้กลับบ้านมาหลายปีแล้วน่ะ!”

หลังจากรับราชการทหาร ช่วงสองปีแรกจะไม่มีวันลากลับบ้านแต่หลังจากนั้นจะมีให้ แต่ว่าแม่แต่งงานใหม่ แม้ว่าเขาจะดีใจแทนแม่แต่ก็รู้สึกเคอะเขิน ไม่รู้จะเผชิญหน้ากับพ่อเลี้ยงยังไง เลยเลื่อนวันไปหาครั้งแล้วครั้งเล่า

ปีนี้ก็ด้วย แต่เพราะคิดถึงมากเลยกลับมาหา เมื่อเขากลับมาเขารู้สึกเงอะงะมาก

เขาต่างจากน้องทั้งสอง ตอนพบพ่อเลี้ยงที่เป็นคนแปลกหน้า เขาไม่มีอะไรให้คุยด้วยสักอย่าง

และมันเขินที่ต้องเรียกอีกฝ่ายด้วย

เช่นเดียวกับเสิ่นจื่อเจินที่เห็นเสี่ยวเหลียงลูกชายที่เป็นคนแปลกหน้า ได้แต่เคอะเขินอยู่

บางอย่างต้องใช้เวลา

พอเสี่ยวเหลียงได้ยินว่าเสี่ยวกังกับเสี่ยวเหมยจะมาช่วยทำธุรกิจที่บ้านซู เลยตามมาด้วยถือว่าเป็นการหลบหน้า

เห็นเด็ก ๆ โต้เถียงกันเรื่องธุรกิจเลยเข้าประเด็นมาด้วย

“ถ้ามีพี่เสี่ยวเหลียง เราจะแข็งแกร่งขึ้น!” เสี่ยวจิ่วปรบมือ

เสี่ยวเถียนพูดไม่ออก…

โง่หรือเปล่าเนี่ย!

ไม่ได้ไปสู้เสียหน่อย!

แต่ในไม่ช้า เสี่ยวเถียนก็ค้นพบว่ามันแข็งแกร่งขึ้นจริง ๆ