บทที่ 422-2 พบความจริง (2)

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 422 พบความจริง (2)

เมื่อกู้เจียวลอบเข้าตำหนักบูรพามา ไท่จื่อก็เพิ่งจะออกจากประตูไป

ยามนี้ฟากฟ้ายังไม่มืดสนิท หลบบนหลังคาไม่เหมาะเท่าใด เพราะจะถูกพบได้ง่าย กู้เจียวจึงถือโอกาสพลิกตัวเข้าคลังเล็กๆ ในตำหนักบรรทมของไท่จื่อเฟยจากประตูหลัง

นี่เป็นคลังส่วนตัวของไท่จื่อเฟย โดยมีผนังกั้นแยกจากห้องนอนของนาง ซ้ำยังสามารถเห็นการเคลื่อนไหวของนางจากช่องประตูเพราะนางเปิดหน้าต่างไว้ด้วย

เพียงแต่กู้เจียวไม่ทันคาดคิดว่าในคลังจะยังมีคนอยู่!

เห็นได้ชัดว่าคนผู้นั้นก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่าจะมีคนมาในเวลานี้ เขาคาดการณ์ไว้แม่นยำแล้วแท้ๆ

ช่างมันแล้ว ฟาดให้สลบก่อนค่อยว่ากัน!

บังเอิญว่ากู้เจียวก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน

ดังนั้นในขณะที่ทั้งคู่ลงมือก็มองเห็นอีกฝ่ายชัดๆ แล้วก็ยั้งมือเอาไว้พร้อมกันทันที

“เจ้า!”

“เจ้าเองรึ”

ซ้ำยังเอ่ยขึ้นพร้อมกันด้วย

กู้เจียว ‘นางไม่เหมาะจะทำคนเดียวหรือไร เหตุใดทุกครั้งต้องมีคนมาร่วมกันทำเรื่องแย่ๆ กับนางตลอดเลย’

“เจ้ามาทำอะไรที่นี่” หยวนถังวางดาบในมือลง ก่อนถาม

กู้เจียวปรายตามองเขา “ประโยคนี้เจ้ามีสิทธิ์ถามออกมารึ”

หยวนถังถูกตอกหน้าหงาย

นั่นสิ หากนางไม่ควรมาที่นี่ เช่นนั้นตนที่เป็นเชลยแคว้นเฉินยิ่งไม่มีเหตุผลให้มาปรากฏตัวที่นี่กว่ามิใช่รึ

หยวนถังโบกพัดด้ามจิ้วในมือไปมา ก่อนแค่นเสียงขึ้นจมูกเอ่ย “นั่นไม่ใช่เพราะว่าเจ้าไม่บอกอะไรกับข้าเลยมิใช่หรือไร ข้าจึงต้องมาสืบเองนี่ไง ซ้ำข้าก็ไม่ได้โง่ หลังจากที่เจ้าสงสัยว่าข้ากับไท่จื่อเฟยแคว้นเจาของพวกเจ้าไปมาหาสู่กันอย่างลับๆ ข้าจึงโดนลอบสังหาร ขอแค่ข้าจับตามองนางไว้ ก็จะพบร่องรอยบางอย่างแน่นอน!”

กู้เจียวส่งเสียงอ๋อออกมา “วันนี้ออกจากเรือนมาลืมพกสมองมาด้วยนี่เอง”

หยวนถัง “…”

ตอกหน้าคนอื่นแบบนี้มันดีจริงๆ รึ

กู้เจียวสังเกตเห็นพัดด้ามจิ๋วของเขาที่กลับสู่สภาพเดิมแล้ว ไม่รู้ว่าเป็นพัดด้ามจิ๋วตอนถูกสังหารซ่อมเสร็จแล้วหรือว่าเปลี่ยนก้ามใหม่แทน

พัดด้ามจิ้วอันนี้มีกลไก ยามจำเป็นสามารถใช้เป็นอาวุธได้

“มีคนมา!” จู่ๆ กู้เจียวก็เอ่ยอย่างระแวดระวังขึ้นมา

หยวนถังตั้งใจฟังอย่างละเอียด ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวแผ่วเบายิ่งอยู่เหนือศีรษะตนจริงๆ

แรกเริ่มเขารู้สึกว่ากำลังภายในของเด็กสาวนางนี้สู้เขาไม่ได้ ทว่าหลังจากได้เห็นเด็กสาวนางนี้เสียการควบคุมพลั้งมือฆ่ามือสังหารไปมากมายเพียงนั้น เขาก็ไม่กล้าดูถูกนางอีกเลย

แต่ก็ยังตกใจมากอยู่ดี

ประสาทสัมผัสของเด็กสาวนางนี้ว่องไวยิ่งนัก

ทั้งคู่พยายามกลั้นหายใจเอาไว้ ลดการคงอยู่ของตัวเองลงให้ต่ำที่สุด

ทั้งคู่ต่างอยากเห็นการเคลื่อนไหวในห้องไท่จื่อเฟยอย่างชัดเจน จนใจที่ช่องประตูมันมีช่องเดียว

หยวนถังขยิบตาให้นางนั่งยองๆ ลงไป

กู้เจียวกดลำคอเขาไว้ ให้เขานั่งยองๆ ลงไป

หยวนถังปากอ้าตาค้าง ข้าให้เจ้านั่งลงต่างหากโว้ย!

กู้เจียวขยับปากไร้เสียงว่า “ไม่ต้องขอบคุณ”

หยวนถัง “…”

ช่างเถอะ สุภาพบุรุษไม่ไปทะเลาะกับสตรี

หยวนถังนั่งย่อตัวลงไป เผยทัศนวิสัยด้านบนให้กู้เจียว

ทั้งคู่จ้องการเคลื่อนไหวตรงหน้าเขม็ง ในเมื่อคนผู้นั้นใช้วิชาตัวเบาลอบเข้ามา ก็คงไม่สะดวกที่จะเปิดเผยตัวออกมา ทั้งคู่พากันมองไปยังหน้าต่างบานนั้น ค่อนข้างกังวลว่าอีกฝ่ายจะงับหน้าต่างปิดหรือไม่

โชคดีที่อีกฝ่ายคล้ายไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้

อย่างไรเสียฝั่งตรงข้ามหน้าต่างบานนั้นไม่ใช่ลานตำหนัก แต่เป็นคลังอันเย็นเยียบ

นั่นเป็นบุรุษรูปร่างกำยำสูงใหญ่ แผ่กลิ่นอายสูงส่งออกมาตลอดร่าง ทว่าชั่วขณะที่เห็นนั้น บนร่างของบุรุษคนนั้นพลันมีกลิ่นอายน่ากลัวที่ทำเอาหายใจไม่ออก

แตกต่างกับความน่ากลัวในตอนที่กู้เจียวเสียการควบคุม หยวนถังคิดในใจว่าราวกับแฝงไว้ด้วยความอันธพาลอันชั่วร้ายและเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ

หยวนถังเห็นแค่แผ่นหลัง จึงเดาไม่ออกว่าอีกฝ่ายเป็นใคร และเดาไม่ออกว่าอีกฝ่ายมีเจตนาอย่างไร

เขากะว่าจะมองดูจากแววตากู้เจียวแทน สุดท้ายพอเงยหน้าขึ้น เห็นเพียงคางน้อยๆ ที่เชิดขึ้นคล้ายกำลังเหน็บแนมเขาอยู่…

บุรุษคนนั้นเดินมาข้างเตียง

ไท่จื่อเฟยหลับไปแล้ว นางนอนตะแครงอยู่บนเตียงนุ่ม เส้นผมเงาประกายดุจแพรไหม

นางไม่ทาเครื่องประทินโฉม หลับตาลงเบาๆ แต่ยังคงยากจะปกปิดดวงหน้างามและผิวพรรณเนียนละเอียดได้

ทันใดนั้น บุรุษคนนั้นก็นั่งลงข้างเตียง

หยวนถังตกใจ

ไท่จื่อเฟยหลับไปแล้ว ยามนี้จึงไม่รู้ตัวว่ามีคนอยู่ในห้อง

ทว่าเพียงไม่นานนางก็รู้สึกได้ว่ามีมือเย็นเยียบเคลื่อนไหวอยู่ตรงแก้มและผมงามของนาง

นางนึกว่าไท่จื่อกลับมาแล้ว จึงพึมพำอย่างสะลึมสะลือว่า “ฝ่าบาท…”

อย่าซน หม่อมฉันอยากนอน

ประโยคส่วนท้ายนางนึกว่าตัวเองพูดออกไปแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าพูดแค่ในฝันเท่านั้น

มือของบุรุษคนนั้นที่เดิมทีลูบผมงามและข้างแก้มนางแผ่วเบาพลันบีบคอนางทันที!

หยวนถังเป็นเชลยแคว้นเฉิน เรียกได้ว่าผ่านร้อนผ่านหนาวมามาก แต่ก็แทบจะยั้งเสียงตกใจเอาไว้ไม่อยู่

เกิดอะไรขึ้นกันแน่

นึกว่าเป็นยอดฝีมือคนสนิทของไท่จื่อเฟย ผลสุดท้ายเขาลงมือล่วงเกินแตะต้องไท่จื่อเฟย

นึกว่าจะดีต่อไท่จื่อเฟย ผลสุดท้ายคล้ายว่าเขาอยากจะฆ่าไท่จื่อเฟยเสียนี่!

ทั้งเคียดแค้นหนักและโกรธเคืองไม่น้อย!

สีหน้ากู้เจียวราบเรียบมาก และลมหายใจก็ผ่อนคลาย

หยวนถังมุมปากกระตุก อุปนิสัยของตนกลับสู้เด็กสาวอายุสิบกว่าปีไม่ได้

ในที่สุดไท่จื่อเฟยที่อยู่ภายในห้องก็สะดุ้งตื่นเพราะโดนบีบคอ ตื่นขึ้นมาก็เห็นใบหน้าคุ้นเคยดวงหนึ่ง นางตัวสั่นโดยไม่มีสาเหตุทันที

“ทำไมรึ กลัวรึ”

เสียงคล้ายหัวเราะของบุรุษคนนั้นดังขึ้นภายในห้องบรรทมอันว่างเปล่า แฝงไว้ด้วยกลิ่นอายเหน็บแนมและรุนแรง

หยวนถังพลันรู้สึกดวงใจตัวเองเย็นเยียบ

เสียงนี้ทั้งคุ้นหูทั้งแปลกหน้า

ราวกับเคยได้ยินน้ำเสียงของเขามาก่อน แต่น้ำเสียงของคนๆ นั้นไม่ควรจะรุนแรงเพียงนี้

จู่ๆ หยวนถังก็ค่อนข้างแตกสลายขึ้นมา

กู้เจียวดูความสนุกโดยไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องใหญ่ ซ้ำดวงตายังเป็นประกายด้วย

หยวนถัง เอ่อ…นี่เจ้าจริงจังหรือไม่

มือของบุรุษคนนั้นเพิ่มแรงขึ้นมาอีกเล็กน้อย ไท่จื่อเฟยถูกบีบคอจนหน้าแดงก่ำ

นางใช้เรี่ยวแรงมหาศาลมากจึงได้เปล่งเสียงออกมาจากลำคอได้ “ที่นี่มันตำหนักบูรพานะ! เจ้าอยากตายรึ!”

น้ำเสียงของบุรุษคนนั้นทั้งหยอกเย้าและรุนแรง “เจ้าต่างหากที่อยากตาย เวินหลินหลัง เจ้าต่างหากที่อยากตาย”

“ข้าไม่เข้าใจว่าเจ้าหมายถึงอะไร!” ไท่จื่อเฟยใกล้จะหายใจไม่ออกแล้ว

บุรุษคนนั้นไม่มีทีท่าจะเมตตาผ่อนแรง “ข้าเคยเตือนเจ้าแล้วว่าอย่าได้ใกล้ชิดกับชายอื่นเกินไป”

ไท่จื่อเฟยมองเขาอย่างเย็นชา “เขาเป็นไท่จื่อ ข้าเป็นไท่จื่อเฟย! เจ้าพูดมาแบบนี้มันน่าขันนัก!”

บุรุษคนนั้นเอ่ยเสียงเย็น “อย่างน้อยก็อย่าได้เอ่ยต่อหน้าข้า!”

เอ่ยจบก็ชักมือกลับทันเวลาก่อนที่ไท่จื่อเฟยจะสลบไป ดึงนางกลับมายังเตียงที่เย็นเยียบไปนานแล้วอย่างแรง

ไท่จื่อเฟยพลันได้หายใจ นางฟุบกับเตียงหอบหายใจหนักเฮือกใหญ่

ปลายนิ้วเย็นเยียบของบุรุษคนนั้นจิ้มลงหน้าอกนาง “เวินหลินหลัง จำเอาไว้ให้ดี เจ้ายั่วโมโหข้าก่อน ตรงนี้ของเจ้าเป็นของข้าคนเดียวเท่านั้น หากเจ้ากล้าหวั่นไหวกับชายอื่น ข้าจะฆ่าเขาซะ!”

ไท่จื่อเฟยหัวเราะเหน็บแนม “เขาเป็นไท่จื่อ! มีปัญญาเจ้าก็ไปฆ่าสิ!”

บุรุษคนนั้นหัวเราะเย็นเยียบ “เจ้าคิดว่าข้าไม่กล้ารึ”

คล้ายไท่จื่อเฟยนึกบางอย่างขึ้นมาได้ สีหน้านางพลันแข็งทื่อ แล้วเบี่ยงหน้าหนี