ตอนที่ 577 ถูกจับยกครอบครัว

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 577 ถูกจับยกครอบครัว

ภายในบ้านอันทรุดโทรม พ่อหม่าและแม่หม่าตกอยู่ในสภาพหวาดกลัวจนตัวสั่น

พวกเขาคิดว่าเถาจืออวิ๋นบุกมาที่นี่ตามลำพัง ดังนั้นจึงลงมือทุบตีและทำร้ายร่างกายหล่อนโดยประมาท ในใจคิดแค่ว่าวันนี้ต้องทำให้หล่อนตายกันไปข้าง

หากหล่อนไม่ปฏิเสธการแต่งงานใหม่กับลูกชายของพวกเขา ครอบครัวของพวกเขาจะต้องเผชิญกับความทุกข์ยากแบบนี้เหรอ?

แต่พวกเขาไม่คาดคิดเลยว่าเถาจืออวิ๋นจะพาเจ้าหน้าที่ตำรวจตามมาด้วย!

นายตำรวจคนที่เหลือหยิบกุญแจมือสองคู่ออกมาจากเอวของเขา เตรียมจะใส่กุญแจมือให้สองเฒ่าผัวเมียตระกูลหม่า

พ่อหม่าและแม่หม่ารีบถามด้วยความตื่นตระหนก “คุณจับพวกเราทำไม? พวกเราทำอะไรผิด?”

ตำรวจระงับความรังเกียจไว้ในใจแล้วอธิบายว่า “พวกคุณสองคนถูกจับในข้อหากักขังหน่วงเหนี่ยว ทำร้ายร่างกายเด็ก และทำร้ายร่างกายผู้อื่น!”

แม่หม่าเล่นลิ้น “คนที่ฉันทุบตีต่างก็เป็นหลานชายและลูกสะใภ้ของฉัน การสั่งสอนคนในครอบครัวผิดกฎหมายตรงไหน?”

เนื่องจากรถตำรวจสามล้อมาจอดอยู่ตรงหน้าประตูบ้านของครอบครัวหม่า เพื่อนบ้านจำนวนมากในละแวกใกล้เคียงจึงแห่กันมารับชมความตื่นเต้น

ถึงตระกูลหม่าเพิ่งจะย้ายมาอยู่ที่นี่ได้ไม่นาน แต่พวกเขาก็กระทำพฤติกรรมน่ารังเกียจมากมาย ก่อนหน้านี้ทั้งสามคนมักจะแอบย่องไปด้อม ๆ มอง ๆ อยู่รอบหมู่บ้าน

ทั้งหม่าเทาและพ่อแม่ของเขาไม่เคยมีนิสัยลักเล็กขโมยน้อยมาก่อน

แต่เพราะความยากจนบีบให้ไม่มีทางเลือก

ข้าวแต่ละมื้อที่ตกถึงท้องไม่เคยอิ่ม ต่อให้พวกเขาไม่เคยมีนิสัยแบบนั้น แต่เมื่อเข้าตาจนแล้วสันดานเลว ๆ ก็ถูกขุดออกมาใช้ทุกรูปแบบ

การกระทำลับ ๆ ล่อ ๆ ของทั้งสามคนทำให้เพื่อนบ้านรังเกียจเดียดฉันท์เป็นอย่างมาก

สามพ่อแม่ลูกตระกูลหม่าไม่เคยยอมรับว่าตัวเองมาเดินวนเวียนอยู่หน้าประตูเพราะจ้องจะขโมยไข่สองสามฟองที่แม่ไก่เพิ่งออกไข่ หรือขโมยผักแห้งตากลมไว้ตรงประตู

พอเค้นหนักเข้าแม่หม่าก็บีบน้ำตา กล่าวหาว่าชาวบ้านรังแกคนจน จงใจใส่ร้ายพวกเขา

ทุกครั้งที่เพื่อนบ้านต้องรับมือกับสามคนนี้ ใครบ้างไม่รู้สึกปวดหัว?

พอเห็นว่าแม่หม่าพูดจาที่ไม่สมควรต่อหน้าเจ้าหน้าที่ตำรวจ ชาวบ้านก็วิพากษ์วิจารณ์หล่อนอย่างรุนแรง

“ยังจำได้อยู่เหรอว่าเขาเป็นหลานชายของตัวเอง เห็นปฏิบัติกับเขายิ่งกว่าลูกศัตรูซะอีก!”

“หลานชายตัวเล็กแค่นี้ กะจะทุบตีเขาให้ตายคามือเลยหรือยังไงกัน? พอได้ทุบตีก็ทุบตีตลอดทั้งคืน พวกคนป่าเถื่อนเขายังไม่ทำกันถึงขนาดนี้เลย!”

ตำรวจพูดเสียงเข้ม “เด็กที่ชื่อฉีฉีไม่ได้เป็นแค่หลานชายของพวกคุณ แต่เขายังมีสถานะเป็นอนาคตของชาติ และไม่ว่ายังไงพวกคุณก็ไม่มีสิทธิ์ไปทำร้ายร่างกายเขา ส่วนลูกสะใภ้ที่พวกคุณกล่าวอ้าง หล่อนก็ไม่ใช่ลูกสะใภ้ของพวกคุณอีกต่อไป ต่อให้ตอนนี้หล่อนจะยังเป็นอยู่ พวกคุณก็ไม่สามารถทุบตีหล่อนได้ตามใจชอบ!”

หลังจากพูดจบ ไม่ว่าแม่หม่าจะพยายามโต้เถียงหรือขัดขืนรุนแรงแค่ไหน หล่อนก็ถูกจับใส่กุญแจมือภายในคลิกเดียว

แม่หม่าตื่นตระหนกทันที แสร้งทำตัวน่าสงสาร “สหายตำรวจ ฉันไม่รู้กฎหมาย ครั้งนี้โปรดยกโทษให้ฉันด้วย”

ตำรวจสวนกลับอย่างเย็นชา “ประชาชนมากมายไม่รู้กฎหมายมีอยู่ถมเถ แต่ไม่มีใครมีจิตใจอำมหิตเท่าคุณกับสามีที่ทำร้ายได้แม้กระทั่งหลานชายของตัวเอง เรื่องนี้ไม่เกี่ยวว่าคุณจะรู้ข้อกฎหมายไหม แต่เกี่ยวกับความไร้มนุษยธรรมของพวกคุณล้วน ๆ อย่าใช้ความไม่รู้กฎหมายของตัวเองเป็นเกราะกำบังเพื่อหลีกเลี่ยงบทลงโทษเลย”

ผู้ชมหลายคนพากันโห่ร้องและปรบมือเสียงดัง “สหายตำรวจ คุณพูดได้ดีมาก!”

ถึงแม้ท้ายที่สุดแล้วสองเฒ่าผัวเมียตระกูลหม่าจะไม่ยอมท่าเดียว แต่สุดท้ายพวกเขาก็ถูกใส่กุญแจมือกันทั้งคู่

ทันใดนั้น ชาวบ้านคนหนึ่งก็ตะโกนขึ้นมาว่า “หม่าเทาหนีไปแล้ว!”

ตำรวจร้อนใจขึ้นมาทันที ขอให้ชาวบ้านหลายคนช่วยคุ้มกันพ่อหม่าและแม่หม่าไว้ในบ้าน ส่วนเขาวิ่งออกไปตามจับหม่าเทา

หม่าเทาตอบสนองอย่างรวดเร็วเมื่อมีคนเห็นว่าเขากำลังหลบหนี หลังจากนั้นเขาก็ไม่คิดจะวิ่งหนีอีก กลับยืนรอตำรวจอยู่ที่เดิมเงียบ ๆ

เนื่องจากหม่าเทาวิ่งออกไปไม่ถึงหนึ่งร้อยเมตร ตำรวจจึงตามจับเขาได้อย่างรวดเร็ว

เขาก้าวเข้าไปตะครุบตัวหม่าเทา ต่อว่าด้วยน้ำเสียงโกรธเกรี้ยว “คิดจะหนีรึ ทำไมไม่วิ่งไปให้สุดล่ะ?”

หม่าเทาพูดด้วยสีหน้าโศกเศร้า “สหายตำรวจครับ ผมไม่ได้คิดจะวิ่งหนี ผมแค่กลั้นปัสสาวะเอาไว้ไม่ไหว ก็เลยจะไปเข้าห้องน้ำ”

พูดจบ เพื่อเป็นการพิสูจน์ว่าตัวเองไม่สามารถกลั้นปัสสาวะได้จริง ๆ เขาจึงปล่อยปัสสาวะราดรดกางเกงตัวเองตรงนั้นเสียเลย พร้อมกับมองตำรวจด้วยความเขินอาย

เมื่อเห็นปัสสาวะไหลเป็นทางออกมาจากขากางเกง ตำรวจก็ตำหนิอีกครั้ง “ในเมื่อนายแค่อยากเข้าห้องน้ำ แล้วทำไมไม่เรียกหาฉันถ้าตัวเองบริสุทธิ์ใจ?”

ถึงเขาจะรู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นแค่ละครตบตาของหม่าเทา แต่เขาก็ไม่มีหลักฐาน นายตำรวจจึงทำอะไรไม่ได้

ครอบครัวหม่ามีด้วยกันถึงสามคน นายตำรวจเพียงคนเดียวไม่สามารถควบคุมตัวพวกเขากลับไปโรงพักพร้อมกันได้ จึงขอให้ชาวบ้านคนหนึ่งช่วยไปที่สถานีตำรวจ เพื่อเรียกเพื่อนร่วมงานอีกสองคนให้มาช่วยกันจับกุม

ชาวบ้านอาสาออกไปทำธุระให้ทันที

พวกเขารอเวลาที่ครอบครัวหม่าจะเข้าไปกินข้าวแดงอยู่ในคุกเต็มที หมู่บ้านอันสงบสุขของพวกเขาจะได้กลับคืนสู่สภาวะปกติดังเดิม

หลินม่ายและอีกสามคนรุดมาถึงโรงพยาบาลแล้ว นายตำรวจช่วยอุ้มเด็กชายตัวน้อยตรงไปที่แผนกฉุกเฉิน ส่วนหลินม่ายแยกตัวออกไปลงทะเบียน

เถาจืออวิ๋นวิ่งตามหลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ จนชนเข้ากับหลิวหย่งเจียงที่สวมชุดกาวน์สีขาว

หลิวหย่งเจียงทำหน้าประหลาดใจทันที ร้องทักหล่อนขึ้น “เสี่ยวเถา ทำไมคุณถึงมาอยู่ที่นี่? ฉีฉีป่วยงั้นเหรอ?”

“ฉีฉีโดนปู่ย่าของเขาทำร้ายร่างกายค่ะ”

ทุกครั้งที่พูดถึงชะตากรรมอันโหดร้ายของฉีฉี น้ำตาของเถาจืออวิ๋นก็หลั่งรินอย่างควบคุมไม่ได้

หลิวหย่งเจียงรีบถาม “ฉีฉีอยู่ไหน? ให้ผมดูหน่อยว่าอาการเขาเป็นยังไงบ้าง”

เถาจืออวิ๋นชี้ไปด้านหน้าพร้อมกับพูดว่า “สหายตำรวจกำลังพาเขาไปที่แผนกฉุกเฉินค่ะ”

หลิวหย่งเจียงสาวเท้าอย่างรวดเร็วไปที่แผนกฉุกเฉินพร้อมกับหล่อน

หลังจากหลินม่ายลงทะเบียนผู้ป่วยเสร็จเรียบร้อยแล้ว เธอก็รีบตามไปที่แผนกฉุกเฉิน

ฉีฉีเริ่มรู้สึกตัวตื่น ปล่อยให้คุณหมอถอดเสื้อผ้าชั้นนอกของเขาออก เหลือเพียงเสื้อผ้าบาง ๆ ด้านใน

คุณหมอจัดการถลกแขนเสื้อและขากางเกงทั้งสองข้างของเขาขึ้นทั้งหมด ทันใดนั้นรอยแผลตามเนื้อตัวจากการถูกก้นบุหรี่จี้ รวมถึงรูเข็มจำนวนนับไม่ถ้วนก็เผยให้เห็น สร้างความตกใจเป็นอย่างมาก

นอกจากนี้ตามตัวของเขายังมีรอยฟกช้ำดำเขียวเป็นจ้ำขนาดใหญ่กระจายอยู่โดยทั่ว ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นถึงความทรมานที่ฉีฉีได้รับ

เถาจืออวิ๋นร้องไห้หนักกว่าเก่าประหนึ่งจะขาดใจตาย โดยมีหลิวหย่งเจียงคอยปลอบโยนหล่อนอยู่ข้าง ๆ

นอกจากรอยแผลเป็นเหล่านี้แล้ว ฉีฉียังมีไข้สูง ดูเหมือนจะป่วยเป็นโรคปอดบวมอย่างรุนแรงด้วย

ในยุคนี้ โรคปอดบวมในเด็กถือเป็นโรคภัยที่ร้ายแรงมาก เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เด็กส่วนใหญ่เสียชีวิต

แพทย์ประจำแผนกฉุกเฉินออกเอกสารรับรองการเป็นผู้ป่วยใน แล้วส่งตัวฉีฉีไปเข้ารับการรักษาที่แผนกอื่นต่อ

หลิวหย่งเจียงรอให้เถาจืออวิ๋นแต่งตัวให้ฉีฉีจนเสร็จ จากนั้นก็อุ้มฉีฉีขึ้นมา แล้วเดินเคียงข้างไปกับเถาจืออวิ๋นเพื่อพาฉีฉีเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลตามขั้นตอน

จนถึงตอนนี้หลินม่ายเพิ่งจะสังเกตเห็นเขา

เมื่อกี้นี้ตรงหน้าเธอเต็มไปด้วยคุณหมอหลายคนที่สวมเสื้อกาวน์ ทำให้เธอไม่รู้ว่าใครเป็นใครบ้าง ที่สำคัญคือเธอไม่ได้สนใจมองพวกเขาด้วยซ้ำ

หลินม่ายจึงรู้สึกประหลาดใจมาก

เธอจำได้ว่าก่อนหน้านี้ฟางจั๋วหรานเคยบอกว่าหลิวหย่งเจียงทำงานอยู่ที่โรงพยาบาลใหญ่ในปักกิ่ง แล้วเขาย้ายมาทำงานที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่?

เธอจึงถามขึ้น “หมอหลิวคะ คุณย้ายมาทำงานที่โรงพยาบาลนี้แล้วเหรอ?”

หลิวหย่งเจียงพยักหน้ารับ ระหว่างนั้นสายตาก็ชำเลืองมองไปทางเถาจืออวิ๋น

แต่ความสนใจทั้งหมดของเถาจืออวิ๋นอยู่ที่ฉีฉีซึ่งอยู่ด้านข้าง หล่อนแทบไม่ได้สนใจบทสนทนาระหว่างหลินม่ายกับหลิวหย่งเจียงเลย

หลังจากดำเนินการตามขั้นตอนผู้ป่วยในเสร็จสิ้น ฉีฉีก็ได้มานอนอยู่บนเตียงในโรงพยาบาล

เขาพูดกับเถาจืออวิ๋นด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง “แม่ครับ ผมหิวมากเลย” หลังจากพูดอย่างนั้น เขาก็สำลักไออย่างรุนแรง

หลินม่ายรีบพูดว่า “เดี๋ยวน้าจะออกไปซื้ออะไรมาให้หนูกินเอง หนูอยากกินอะไรจ๊ะ?”

หลิวหย่งเจียงพูดจากด้านข้าง “อะไรก็ได้ที่เป็นอาหารที่มีโปรตีนสูง พยายามหลีกเลี่ยงอาหารที่มีฤทธิ์ร้อน เพราะตอนนี้เด็กยังมีไข้สูง”

หลินม่ายตอบรับ เมื่อเธอหันกลับมา ก็เห็นว่าฟางจั๋วเยวี่ยเดินเข้ามาพร้อมกับข้าวของเต็มไม้เต็มมือ

ฟางจั๋วเยวี่ยรับอาสา “เดี๋ยวผมออกไปซื้อมาให้เอง”

ว่าแล้วเขาก็วางกระป๋องนมผง สารสกัดจากนมมอลต์ และผลไม้ต่าง ๆ ไว้ที่โต๊ะปลายเตียงของฉีฉี จากนั้นก็เดินกลับออกไปซื้ออาหารมาให้ฉีฉี

ก่อนจะจากไป เขาเหลือบมองไปที่หลิวหย่งเจียงแวบหนึ่ง

ใช้เวลาไม่ถึงสิบนาที ฟางจั๋วเยวี่ยก็ถือชามเกี๊ยวกับชามเต้าฮวยเดินกลับมา

ถึงตอนนี้ฉีฉีจะมีไข้สูง แต่เขาก็กินอาหารตรงหน้าอย่างตะกละตะกลามจนเกลี้ยง

ทำให้ตากลมโตคู่นั้นปูดโปนเนื่องจากกินจนจุกเกินไป

เถาจืออวิ๋นทั้งรู้สึกเป็นทุกข์และโกรธเคืองในเวลาเดียวกัน ก่อนจะหลั่งน้ำตาออกมาด้วยความคับแค้น “ถึงยังไงฉีฉีก็เป็นหลานชายแท้ ๆ ของสัตว์ร้ายเฒ่าสองคนนั้น พวกเขาทำร้ายเขาลงได้ยังไงกัน ทำได้ยังไง!”

หลินม่ายแค่นเสียงตะคอกอย่างเย็นชา “เพราะพวกนั้นไม่ใช่มนุษย์ไงล่ะ ก็เลยไม่มีจิตสำนึกและมุมมองแบบเดียวกับมนุษย์อย่างเรา ๆ”

สมัยที่เธอยังมีชีวิตอยู่ในชาติที่แล้ว เธอเคยเห็นข่าวมากมายบนอินเทอร์เน็ตเกี่ยวกับผู้ชายที่ฆ่าลูกแท้ ๆ ของตัวเอง แสร้งทำเป็นว่าเด็กพลัดตกลงมาจากหน้าต่างโดยไม่ตั้งใจ

หลังจากถูกจับกุม เขาไม่ได้มีความรู้สึกผิดใด ๆ ทั้งสิ้น แถมยังคิดจะจ้างทนายความเพื่อยื่นอุทธรณ์ หวังให้ตัวเองรอดพ้นจากความผิดที่ตัวเองเป็นคนก่อ

ผู้ชายใจหฤโหดคนนั้นไม่มีวันกลับตัวเป็นคนดีได้แล้ว เคยทำชั่วครั้งหนึ่งก็ทำชั่วตลอดไป

ยิ่งไปกว่านั้น ปู่ย่าของหลานที่มีความสัมพันธ์กันทางสายเลือดแท้ ๆ ยังใจร้ายใจดำไม่ต่างจากสัตว์นรก

ขณะที่ครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้น ท้องหลินม่ายก็ร้องโครกครากขึ้นมา

เธอยิ้มด้วยความเขินอาย “ฉันหิวแล้ว ขอลงไปซื้อข้าวก่อนนะคะ”

“ไม่ต้องซื้อหรอก ผมเอาอาหารมาส่งคุณแล้ว”

เสียงของฟางจั๋วหรานดังขึ้นจากด้านหน้าประตูวอร์ด

เมื่อเห็นว่าในมือเขามีกล่องอาหารติดมาด้วยแค่สองกล่อง หลินม่ายจึงพูดว่า “คุณห่อข้าวมาแค่สองกล่อง แต่พวกเรามีกันตั้งสี่คนนะคะ”

ฟางจั๋วเยวี่ยซึ่งนั่งอยู่ที่ปลายเตียงและกำลังเฝ้าดูฉีฉีกินอาหารรีบผุดลุกขึ้นทันที พูดว่า “ผมตั้งใจแวะมาที่นี่เพื่อกินข้าวพอดี เดี๋ยวผมจะซื้อข้าวไปฝากสหายตำรวจเขาสักหน่อย”

ความจริงแล้วหลิวหย่งเจียงเองก็ยังไม่ได้กินข้าวกลางวัน แต่เขาไม่อาสาสักคำว่าจะไปซื้อมาให้

นายตำรวจคนนั้นรีบโบกมือ “ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมจะลงไปกินอาหารกลางวันข้างล่างแล้ว”

หลิวหย่งเจียงยืนขึ้น “พอดีเลย ฉันเองก็ยังไม่ได้กินข้าวกลางวันเหมือนกัน ถ้าอย่างนั้นฉันขอไปที่โรงอาหารกับนายด้วย”

พูดจบแล้ว ทั้งสองก็เดินออกจากวอร์ดไป

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

ขอให้ติดคุกแบบขังลืมยาวๆ แล้วโดนคนในคุกรุมทึ้งเลยนะคะครอบครัวสัตว์นรกนี่ ทำแบบนี้กับเด็กตัวเท่านั้นได้ไง ถ้ามาช่วยไม่ทันนี่น้องจะต้องทรมานสาหัสขนาดไหน

เอ๋ หมอหลิวนี่ยังไงน้า ดูเหมือนจั๋วเยวี่ยจะมีคู่แข่งแล้วสิ

ไหหม่า(海馬)