ตอนที่ 578 โดนตัดสินจำคุกทั้งหมด

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 578 โดนตัดสินจำคุกทั้งหมด

ฟางจั๋วหรานซื้ออาหารกลางวันสองกล่องมาจากโรงอาหารของโรงพยาบาล เป็นเมนูปลาและเนื้อสัตว์

หลังจากฉีฉีได้รับการช่วยเหลือออกมาได้แล้ว ความอยากอาหารของเถาจืออวิ๋นก็กลับสู่ภาวะปกติ หล่อนกินอาหารกลางวันจนหมดกล่อง

ฟางจั๋วหรานไม่สนใจความอยากอาหารของเถาจืออวิ๋นเลย เขาให้ความสนใจกับหลินม่ายแค่คนเดียว

เมื่อเห็นว่าเธอกินข้าวกล่องจนหมด เขาก็จากไปด้วยความสบายใจ

นายตำรวจกลับมาที่วอร์ดพร้อมกับหลิวหย่งเจียง หลังรับประทานอาหารกลางวันอิ่มแล้ว เห็นว่าฉีฉีที่เพิ่งจะกินเกี๊ยวกับเต้าฮวยจนหมดถ้วย และผล็อยหลับไปบนเตียง

เขาขอโทษเป็นมารยาทและแจ้งเถาจืออวิ๋นว่าเขาจำเป็นต้องสอบปากคำฉีฉี แล้วเขาจะได้กลับไปทำคดีที่สถานีตำรวจต่อไป เพราะกำลังตำรวจที่สถานีมีจำกัด เขาไม่สามารถใช้เวลาไปกับคดีของฉีฉีนานเกินไป

เถาจืออวิ๋นยอมให้ความร่วมมือแม้จะอยากให้ลูกชายนอนนานกว่านี้สักหน่อย จึงปลุกฉีฉีให้ตื่นขึ้น

หลังจากฉีฉีดื่มนมอุ่นที่เถาจืออวิ๋นชงให้ไปหนึ่งแก้ว เขาก็ฟื้นสติคืนจากอาการงุนงงหลังตื่นนอน ตำรวจถามว่าเขาถูกลักพาตัวไปได้อย่างไร และระหว่างที่ถูกลักพาตัวไป เขาโดนอีกฝ่ายกระทำทารุณยังไงบ้าง?

ปกติแล้วฉีฉีไม่ใช่เด็กช่างพูดช่างคุย แต่ความสามารถในการเล่าเรื่องและเรียบเรียงลำดับเหตุการณ์ก็ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดี

เขาเล่าให้ตำรวจฟังว่า ขณะที่เขากับโต้วโต้วกำลังปั้นก้อนหิมะอยู่หลังป่าไผ่ในสวนสาธารณะบนถนนเป่ยหู จู่ ๆ ก็มีคนมาปิดปากเขาจากด้านหลัง แล้วอุ้มเขาไปที่ไหนสักแห่ง

จนกระทั่งเขาออกมาจากสวนสาธารณะได้ไม่นาน ถึงรู้ว่าคนที่อุ้มเขาออกมาก็คือผู้เป็นพ่อ

พ่อพาเขาไปหาปู่ย่า ทันทีที่ปู่กับย่าเห็นหน้าเขา ก็ลากเขาเข้าไปในบ้านและใช้รองเท้าทุบตีเขาอย่างแรง

เท่านั้นยังไม่พอ ทุกครั้งที่เขาร้องไห้เสียงดังจะถูกแทงด้วยเข็ม เอาก้นบุหรี่จี้ และเอาน้ำเย็นจัดราดอาบให้

ไม่ต้องพูดถึงหลินม่ายและเถาจืออวิ๋น แม้แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจที่กำลังบันทึกคำให้การของฉีฉี เมื่อเขาได้ยินแบบนั้น ดวงตาของเขายังเปียกชื้นด้วยความสงสาร

เขาถาม “พ่อของหนูอยู่ด้วยตอนที่ปู่กับย่าทำร้ายร่างกายหนูหรือเปล่า?”

ฉีฉีพยักหน้าด้วยสีหน้าเศร้าหมอง “อยู่ครับ”

“แล้วเขาเข้ามาห้ามปรามไหม?”

ฉีฉีส่ายหน้า

ดวงตาของเถาจืออวิ๋นเปลี่ยนเป็นแดงก่ำด้วยความโกรธ “นี่น่ะหรือพ่อแท้ ๆ ที่รับปากว่าจะเอาฉีฉีไปเลี้ยงดูปูเสื่ออย่างดี? แค่ห้ามไม่ให้พ่อแม่ตัวเองทำร้ายฉีฉียังทำไม่ได้เลย!”

หลินม่ายปลอบโยนหล่อนพลางพูดว่า “ใช่ว่าพี่ไม่รู้ซะหน่อย เขาก็แค่รับปากพี่ไปส่ง ๆ เท่านั้นเอง เขาอยากเอาฉีฉีไปเลี้ยงเอง ก็เพราะอยากใช้ลูกเป็นเครื่องมือในการขูดรีดเงินจากพี่ ไม่เห็นว่ามันจะผิดคาดตรงไหน”

เธอหันไปหาเจ้าหน้าที่ตำรวจ “สหายตำรวจคะ พ่อแม่ของหม่าเทาก่ออาชญากรรมร้ายแรงเกี่ยวกับการทารุณกรรมเด็ก โปรดพิจารณาตัดสินโทษพวกเขาอย่างรุนแรงด้วย!”

นายตำรวจพยักหน้า “เราจะทำครับ”

หลิวหย่งเจียงที่อยู่ด้านข้างเตือนเถาจืออวิ๋น “ฉีฉีถูกทรมานร่างกายมาตลอดทั้งวันทั้งคืน ปล่อยให้เขานอนต่อเถอะ ร่างกายจะได้พักฟื้น”

เถาจืออวิ๋นรีบประคองฉีฉีให้เอนตัวลงนอน ซุกชายผ้านวมทับไว้ใต้ร่างของเขา แล้วหันไปพูดกับหลิวหย่งเจียงด้วยความประหลาดใจ “คุณยังไม่ไปทำงานอีกเหรอคะ?”

หลิวหย่งเจียงส่งยิ้มให้อย่างอ่อนโยน “ผมเข้าเวรตอนบ่าย ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาครับ”

ขณะนั้นเอง พ่อเถาและแม่เถา รวมถึงคนอื่น ๆ ได้ทราบข่าวจากทางสถานีตำรวจว่าฉีฉีได้รับการช่วยเหลือออกมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และตอนนี้ได้เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล พวกเขาทั้งหมดจึงมาที่นี่พร้อมกับอาหารเสริม

เมื่อเห็นว่าฉีฉีหลับไปแล้ว ทุกคนจึงลดระดับเสียงลง ถามไถ่เกี่ยวกับสถานการณ์ของฉีฉี ก่อนที่ทุกคนจะร้องไห้ด้วยความสะเทือนใจ

เมื่อเห็นว่าหลินม่ายคอยอยู่เคียงข้างเถาจืออวิ๋นตลอดเวลา แม่เถาก็รู้สึกซาบซึ้งใจมาก ขอให้เธอกลับไปพักผ่อน

ตั้งแต่เมื่อวานจนถึงตอนนี้ หลินม่ายได้ข่มตาลงนอนแค่ไม่กี่ชั่วโมง

สมาชิกทั้งสามคนของตระกูลหม่าถูกจับแล้ว ตอนนี้มีคนจำนวนมากคอยคุ้มกันฉีฉี ดังนั้นเธอไม่มีอะไรต้องกังวลอีก จึงพยักหน้าเห็นด้วย

เธอมองไปที่ฟางจั๋วเยวี่ยซึ่งนั่งนิ่งอยู่ที่ปลายเตียง แล้วเรียกให้เขากลับบ้านไปพร้อมเธอ

จากนั้นฟางจั๋วเยวี่ยก็ลุกขึ้นและเดินตามเธอออกไป

เมื่อทั้งสองเดินออกมาจนพ้นวอร์ดผู้ป่วยในแล้ว หลินม่ายถามเขาอย่างตรงไปตรงมา “นายชอบพี่เถาใช่ไหม?”

ฟางจั๋วเยวี่ยตอบกลับโดยไม่ลังเล “ไร้สาระน่า! ตาข้างไหนของพี่เห็นว่าผมดูชอบพี่เถากัน?”

“ฉันมองเห็นด้วยตาทั้งสองข้างนี่แหละ ถ้านายไม่ชอบพี่เถา นายจะทิ้งลี่ลี่ไว้ข้างหลังเพื่อมาอยู่เคียงข้างพี่เถาให้เร็วที่สุด และคอยปลอบโยนหล่อนแบบนั้นไหม? แถมวันนี้ยังเฝ้าอยู่กับหล่อนในวอร์ดผู้ป่วยตั้งนาน”

“ผมไม่ได้ทิ้งใครเพื่อมาหาพี่เถา ผมแค่เป็นห่วงฉีฉี เป็นธรรมดาที่ผมจะต้องคอยปลอบใจหล่อน แล้ววันนี้ที่ผมเฝ้าอยู่ในวอร์ดนาน ก็เพราะผมอยากแน่ใจว่าฉีฉีปลอดภัยแล้วจริง ๆ”

“งั้นเหรอ?” หลินม่ายพูดต่อ “มีแต่นายที่รู้ใจตัวเองมากที่สุด ตราบใดที่นายมีคนอื่นอยู่ในใจ ก็ไปบอกเลิกลี่ลี่ซะ อย่าทำร้ายหล่อนไปมากกว่านี้”

ฟางจั๋วเยวี่ยก้มหน้าลง นิ่งเงียบไม่พูดอะไรอีก

คุณปู่ฟางเองก็เป็นกังวลเกี่ยวกับฉีฉีมาก ทันทีเห็นหลินม่ายกลับมาก็รีบถามไถ่สถานการณ์ทันที

หลินม่ายบอกพวกเขาว่าฉีฉีถูกปู่กับย่าของตัวเองทำร้ายร่างกายสารพัดจนมีแผลฟกช้ำดำเขียวทั่วทั้งตัว

ก่อนจะพูดต่อว่า “โชคดีที่เป็นแค่บาดแผลภายนอก ยังไม่อันตรายถึงแก่ชีวิต นับว่าเคราะห์ยังดีที่เราไปช่วยเขาออกมาได้ทันเวลา”

คุณย่าฟางโกรธมาก “เป็นความโชคดีในความโชคร้ายล่ะสิไม่ว่า! แม้แต่หลานชายแท้ ๆ ยังลงไม้ลงมือได้ลงคอ ช่างเลวทรามผิดมนุษย์ซะจริง ๆ!”

หลินม่ายออกความเห็นอย่างเฉียบขาด “รักบ้านก็ต้องรักนกบนหลังคา เมื่อไม่รักบ้านก็พลอยเกลียดนกบนหลังคาไปด้วย(1) สัตว์ร้ายแซ่หม่าพวกนั้นเกลียดพี่เถายิ่งกว่าอะไร ฉีฉีตกไปอยู่ในเงื้อมมือของพวกเขาทั้งที แล้วพวกเขาอดใจไม่ทรมานเขาได้ยังไง!”

คุณย่าฟางโกรธยิ่งกว่าเดิม “ทำไมคนพวกนั้นต้องเกลียดเสี่ยวเถาด้วย? เสี่ยวเถาไม่ได้ติดหนี้อะไรพวกเขาสักหน่อย!”

หลินม่ายตะคอกอย่างเย็นชา “เพราะวงจรสมองของเดรัจฉานแตกต่างจากมนุษย์ไงคะ พี่เถาไม่ยอมกลับไปแต่งงานใหม่กับลูกชายพวกเขา พวกเขาเลยขูดรีดเงินจากหล่อนไม่ได้อีกต่อไป ก็เลยคิดว่าหล่อนติดหนี้ตัวเอง”

พูดจบ เธอก็ขึ้นไปชั้นบนแล้วเข้าไปในห้องนอนตัวเอง จากนั้นก็งีบหลับเป็นตาย

ประมาณหกโมงเย็น ฟางจั๋วหรานกลับมาหลังจากเลิกงาน พอไม่เห็นหลินม่ายจึงถามว่า “ม่ายจื่ออยู่ไหนครับ หล่อนยังไม่กลับจากโรงพยาบาลเหรอ?”

เขาอดโกรธเธอไม่ได้ ถึงเธอจะอยากช่วยเหลือผู้อื่นแค่ไหน แต่สภาพร่างกายก็มีขีดจำกัด เธอจะทุ่มเทเวลาให้คนอื่นโดยไม่สนใจตัวเองเลยได้อย่างไร

ทุกคนชี้ไปที่ชั้นบน “คงจะงีบหลับอยู่บนห้องล่ะมั้ง”

คุณย่าฟางพูดว่า “วันนี้เป็นวันเกิดของโต้วโต้ว หลานขึ้นไปปลุกม่ายจื่อให้ลงมาฉลองวันเกิดโต้วโต้วด้วยกันสิ”

วันคล้ายวันเกิดของโต้วโต้วเป็นวันที่ถูกเลือกขึ้นมาใหม่ เพราะหล่อนไม่รู้วันเกิดที่แท้จริงตัวเอง

ตอนที่คุณปู่ฟางไปจดทะเบียนราษฎร์ให้ เขาเลือกวันที่ตรงกับฤกษ์ยามดี คือวันที่ 18 ของเดือนแรกให้เป็นวันเกิดของหล่อน ซึ่งวันนี้ก็ตรงกับวันที่ 18 ของเดือนแรกพอดี

ฟางจั๋วหรานเดินขึ้นไปชั้นบน เข้าไปในห้องนอนของหลินม่าย เมื่อเห็นว่าเธอหลับสนิท ก็โน้มตัวลงไปจูบเธอเบา ๆ ที่หน้าผาก แล้วออกจากห้องอย่างเงียบ ๆ

พอเห็นว่าเขาลงมาข้างล่างคนเดียว ทุกคนก็ถามว่า “แล้วม่ายจื่อล่ะ?”

ฟางจั๋วหรานตอบ “ผมเห็นว่าเธอกำลังนอนหลับสบาย เลยไม่กล้าปลุกเธอครับ”

คุณย่าฟางบอกว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ปล่อยให้เธอนอนหลับต่อไปเถอะ เราฉลองวันเกิดให้โต้วโต้วกันเองแล้วกัน”

ทุกคนหยิบจานและเค้กวันเกิดที่คุณย่าฟางเตรียมไว้มาวางเรียงบนโต๊ะทั้งหมด

หลังจากที่โต้วโต้วอธิษฐานและเป่าเทียนวันเกิดเรียบร้อยแล้ว คุณย่าฟางก็ตัดเค้กวันเกิดชิ้นหนึ่งแล้ววางไว้ด้านข้าง

ตั้งใจแบ่งเค้กชิ้นนี้ไว้ให้ฉีฉีตอนที่พวกเขาไปเยี่ยมเขาหลังจากกินอาหารมื้อเย็นกันเสร็จ

หลังงานเลี้ยงวันเกิดจบลง คุณย่าฟางก็พาทุกคน รวมถึงเคอจื่อฉิงไปเยี่ยมฉีฉี

ฟางจั๋วหรานไม่ได้ตามไป แต่อยู่ที่บ้านเพื่อเฝ้าหลินม่าย

แต่หลินม่ายไม่ต้องการให้เขามาเฝ้า บอกว่าเธอจะนอนหลับไปจนตื่นอีกทีเช้าวันรุ่งขึ้นเลย

เมื่อเธออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าและลงไปชั้นล่าง ก็ได้กลิ่นซุปไก่หอมโชยมาปะทะจมูกทันที

หลินม่ายพูดอย่างมีความสุข “คุณเคี่ยวซุปไก่อีกแล้วเหรอคะ?”

วันนั้นเธอดื่มซุปไก่ที่ฟางจั๋วหรานทำมาส่งให้ที่บ้านของเถาจืออวิ๋นไปเพียงครึ่งถ้วย จนถึงตอนนี้เธอก็ยังคิดถึงรสชาตินั้นอยู่

คุณย่าฟางยิ้มพร้อมตอบกลับ “จั๋วหรานเขาไม่สบายใจที่เธอไม่ได้นอนมาหลายวัน ก็เลยไปตลาดแต่เช้าเพื่อซื้อไก่กลับมาเคี่ยวซุปให้เธอ วันนี้เธอต้องดื่มสักสองสามถ้วยนะ”

หลินม่ายเดินเข้าไปในครัว เห็นว่าฟางจั๋วหรานกำลังทอดปาท่องโก๋อยู่บนเตาแก๊ส

เธอเดินเข้าไปกอดเอวเขาจากด้านหลัง เอนศีรษะซบไหล่เขา ทำตัวติดหนึบราวกับกำลังหาที่พักพิง

ฟางจั๋วหรานหันหน้ากลับมา หอมแก้มเธอฟอดหนึ่ง แล้วถามเบา ๆ ว่า “เมื่อคืนหลับสบายไหมครับ?”

หลินม่ายพยักหน้า “หลับสบายค่ะ”

หลังอาหารเช้า หลินม่ายตั้งใจจะออกไปที่โรงพยาบาลเพื่อเยี่ยมลูกชายของเถาจืออวิ๋น โต้วโต้วรบเร้าว่าจะตามไปด้วย

หลินม่ายจึงพาหล่อนไปที่นั่นด้วยกัน

เมื่อมาถึงโรงพยาบาล ฉีฉีตื่นนอนนานแล้ว และเถาจืออวิ๋นก็กำลังป้อนอาหารเช้าให้เขา… เป็นหมูสับนึ่งไข่ไก่ที่ย่อยง่าย

ตา ยาย ลุง ๆ และป้าสะใภ้ทั้งหลายของเขา นั่งล้อมวงกันอยู่ตรงปลายเตียง

หลังจากได้นอนหลับพักผ่อนตลอดทั้งคืน อาการโดยรวมของฉีฉีดูเหมือนจะดีขึ้นมาก ความอยากอาหารก็ยังอยู่ในสภาวะปกติ เขากินหมูสับนึ่งไข่ไก่จนหมดชาม

ขณะนั้นเอง แพทย์เจ้าของไข้ก็เดินเข้ามาในวอร์ดพร้อมกับกลุ่มนักศึกษาฝึกงาน

ทันทีที่แพทย์เจ้าของไข้เดินเข้ามา เขาก็ทักทายด้วยรอยยิ้ม “ฉีฉี เมื่อกี้นี้หนูเพิ่งกินอะไรไป กลิ่นหอมมากเลย!”

ฉีฉีตอบรับเขาด้วยความเขินอาย “สวัสดีครับลุงหลิว”

จากนั้นก็พูดต่อ “ผมกินหมูสับนึ่งไข่ไก่ฝีมือคุณยายฮะ”

หลินม่ายเงยหน้ามอง เห็นว่าแพทย์เจ้าของไข้คนนี้ก็คือหลิวหย่งเจียงนั่นเอง

เธอยิ้มและพูดคุยกับหลิวหย่งเจียงนิดหน่อย จากนั้นก็หลีกทางไปให้พร้อมกับเถาจืออวิ๋นและคนอื่น ๆ เพื่อให้หลิวหย่งเจียงตรวจดูอาการของฉีฉีอย่างสะดวก

สมรรถภาพทางกายของฉีฉีนั้นไม่เลวนัก ยิ่งเมื่อได้รับการรักษาจากแพทย์ฝีมือดีอย่างหลิวหย่งเจียง อาการของเขาจึงดีวันดีคืน

ไม่กี่วันต่อมา ตำรวจแจ้งให้เถาจืออวิ๋นทราบถึงบทลงโทษของสมาชิกทั้งสามคนจากตระกูลหม่า

แม่หม่ากระทำอาชญากรรมร้ายแรงอย่างการทารุณกรรมเด็ก ซึ่งถือเป็นความผิดทางอาญา ทางตำรวจได้ส่งตัวหล่อนไปขึ้นศาล และศาลได้ตัดสินลงโทษให้แม่หม่าถูกจำคุกเป็นเวลาห้าปี

ส่วนพ่อหม่าเป็นเพียงผู้สมรู้ร่วมคิด แต่เขาก็ถูกตัดสินลงโทษให้จำคุกสองปี

ตามกฎหมายแล้ว ความผิดฐานทารุณกรรมเด็ก หากพฤติการณ์ออกมาในทางร้ายแรง ผู้ต้องหาจะต้องถูกระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือกักบริเวณ หรือเฝ้าระวังทางอาญา

ส่วนผู้ที่เป็นเหตุให้ผู้ถูกกระทำได้รับบาดเจ็บสาหัสหรือถึงแก่ความตาย จะต้องถูกระวางโทษจำคุกไม่น้อยกว่าสองปี แต่ไม่เกินเจ็ดปี

จากผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น ทำให้ศาลพิพากษาลงโทษสัตว์ร้ายเฒ่าอย่างพ่อหม่าและแม่หม่าด้วยโทษร้ายแรงที่สุด

ใครใช้ให้พวกเขาดวงซวยโดนจับในช่วงที่มีการปราบปรามอันธพาลอย่างเข้มงวดกันล่ะ

ทางด้านหม่าเทา ถึงนี่จะเป็นครั้งที่สองที่เขาลักพาตัวฉีฉี แต่ก็เป็นการละเมิดกฎหมายทั้ง ๆ ที่ตัวเองรู้ความผิดอยู่แล้ว

จากการรวบรวมหลักฐานของเถาจืออวิ๋น เพียงพอแล้วที่จะใช้เป็นเครื่องมือพิสูจน์ว่าหม่าเทาตั้งใจลักพาตัวฉีฉีเพื่อรีดไถเงินจริง

ถึงเขาไม่ได้ลงมือทำร้ายฉีฉี แต่ในฐานะพ่อ เขากลับไม่ห้ามปรามพ่อแม่ตัวเองไม่ให้ทำร้ายฉีฉี

อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่หม่าเทามีสถานะพิเศษ เพราะเขาเป็นบิดาผู้ให้กำเนิดของฉีฉี ถึงเขาจะลักพาตัวลูกชายไปโดยที่ไม่ได้รับความยินยอมจากอดีตภรรยา แต่บทลงโทษทางอาชญากรรมก็ยังถือว่าเล็กน้อย

เขาตกเป็นผู้ต้องสงสัยคดีขู่กรรโชกทรัพย์ก็จริง แต่เหตุกรรโชกทรัพย์ที่ว่าก็ยังไม่เกิดขึ้น

เขาจึงกลายเป็นคนที่ได้รับโทษสถานเบาที่สุดในครอบครัว ถูกตัดสินจำคุกเพียงหกเดือนเท่านั้น

ครอบครัวของเถาจืออวิ๋นค่อนข้างพอใจกับคำตัดสินของศาล ถึงอย่างนั้นก็ยังรู้สึกว่าโทษของหม่าเทานั้นเบาเกินไป

เนื่องจากศาลมีมาตรฐานการพิจารณาคดีที่รัดกุม ประชาชนจึงต้องยอมรับคำพิพากษาโดยดุษณี

………………………………………………………………………………………………………………………..

เป็นประโยคที่ประยุกต์มาจากสำนวน รักบ้านแล้วก็ต้องรักอีกาที่เกาะอยู่บนหลังคาบ้านด้วย หมายความว่า เมื่อรักเขาก็ต้องรักทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับเขา

สารจากผู้แปล

หม่าเทาโดนโทษเบาจังหว่า ไม่สมกับเป็น abuser ที่ทำร้ายจืออวิ๋นมานานหลายปีเลย ควรโดนฉีดยาให้ไข่ฝ่อด้วยนะคะ คนแบบนี้ไม่ควรมีไว้ทำพันธุ์ต่อ โทษนะคะอินไปหน่อย ช่วงนี้มีแต่ข่าวผู้ชายรังแกผู้หญิงถึงขั้นเสียชีวิตมาไม่หยุดเลย เขาอยู่ด้วยก็ทุบตีทำร้ายเขา พอเขาขอเลิกก็ตามไปฆ่าถึงบ้าน ผู้ชายพวกนี้มันเป็นอะไรหว่า ศักดิ์ศรีความเป็นชายเปราะบางเหลือเกิน โดนผู้หญิงบอกเลิกแล้วตามมาทำร้ายมาฆ่าแกงเขาเนี่ย

ไหหม่า(海馬)