บทที่ 527 แม้แต่จานก็ยังขโมยไป

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ

บทที่ 527 แม้แต่จานก็ยังขโมยไป

บทที่ 527 แม้แต่จานก็ยังขโมยไป

เหลียงซิ่วรีบเทน้ำใส่ถ้วยให้ “พี่สะใภ้ไม่ต้องรีบนะ อากาศหนาวขนาดนี้พื้นเป็นน้ำแข็งหมดแล้ว เกิดหกล้มขึ้นมาจะทำยังไง?”

หวังเซียงฮวารับน้ำมาด้วยมือสั่นเทา ตอนนี้เธอรู้สึกตื่นเต้นมากทั้งยังวิ่งกลับมาด้วยความเร็ว หลังจากดื่มน้ำสองอึกติดกัน อาการเหนื่อยหอบของเธอจึงดีขึ้น

“แม่ใหญ่ หนูคิดถึงแม่ใหญ่จังเลย!”

ซูเสี่ยวเถียนซุกตัวอยู่ในผ้าห่ม เธอไม่อยากออกไปไหนเลยแต่ก็ไม่ลืมเอ่ยปากเอาใจ

หวังเซียงฮวายิ้มกว้าง แล้วตวาดสายตามองลูกชายด้วยสายตาตำหนิ ทำไมชีวิตเธอเลวร้ายขนาดนี้นะ ลูกสาวที่น่ารักก็ไม่มีแล้วดูไอ้เด็กดื้อพวกนี้สิ มันทำอะไรกัน?

“ลูกรักของแม่ใหญ่ แม่คิดถึงจะตายอยู่แล้ว เดี๋ยวแม่เชือดไก่เอามาต้มเป็นซุปให้ลูกดื่มนะ” แม่ใหญ่มีความสุขมาก

“แม่ใหญ่ หนูเอาของขวัญจากเมืองหลวงมาให้ด้วยแต่ตอนนี้หนูหนาวอยู่ เดี๋ยวอุ่นขึ้นแล้วหนูจะเอามาให้นะคะ” เสี่ยวเถียนนึกถึงของขวัญที่เตรียมไว้ให้พิเศษขึ้นได้ก็รีบเอ่ยปาก

หวังเซียงฮวาดีใจกว่าเดิม ได้แต่หวังว่าจะได้อุ้มสาวน้อยแล้วหอมแก้มสักที

“ไอ้หยา ไม่เสียแรงที่แม่รักจริง ๆ ยังเอาของขวัญมาฝากด้วย แม่โตแล้วนะมีอะไรต้องให้อีกล่ะ ถ้าหนูมีเงินก็ซื้อยางรัดผมใช้เองดีไหม?” แม้จะรู้สึกดีใจแต่ก็ยังบ่นอยู่ดี

เสี่ยวเถียนไม่ได้ใส่ใจอะไรเท่าไร จริง ๆ มันก็เป็นแนวคิดของพวกผู้ใหญ่ในยุคนี้

ถึงจะดีใจที่ได้ของจากลูกหลานแต่ก็ยังบ่นเรื่องเปลืองเงินอยู่ดี

คราวนี้เสี่ยวเถียนกลับมาพร้อมกับของขวัญฝากคู่แม่ใหญ่กับแม่รองที่ไม่ได้ไปด้วยไว้แล้ว เสื้อผ้าคนละหนึ่งชุด เป็นสีฟ้าที่คนในยุคนี้นิยมกันโดยทั่วไป รูปแบบไม่แปลกใหม่จนเกินหน้าเกินตา

แต่ยังไม่ทันได้เห็นของขวัญ

เพราะในไม่ช้าก็มีแขกมาหา

คนที่มาไวสุดคือคู่สามีภรรยาหลี่จู้จื่อและลูกอีกสองคน

เด็กชายทั้งสองท่าทางแข็งแรง หาได้ยากมาก

คุณย่าซูรีบเอาเมล็ดแตงโมและถั่วลิสงที่เตรียมไว้ปีใหม่ออกมาให้เป็นขนม

“มานี่สิ ให้ลูกคนโตกับคนเล็กกิน” แกเอาถั่วให้คนโตและขนมอบเนื้อนุ่มอีกสองชิ้นให้เด็กทั้งสองตามลำดับ

คนเล็กยังเด็กอยู่ ถั่วลิสงติดคอง่ายเลยให้แค่ขนมอบเท่านั้น

“คุณป้า ขนมที่ป้าเอามาจากเมืองหลวงใช่ไหมคะ? มันแพงมากเลยนะ ให้พวกเขาทำไมเนี่ย?” ภรรยาหลี่จู้จื่อรีบปฏิเสธ

“ทำไมล่ะ ให้ขนมเด็ก ๆ ไม่ได้หรือ?” แกพูดด้วยใบหน้าเรียบเฉย “เราซื้อขนมมาให้คนกินไม่ใช่หรือไง?”

หญิงสาวยิ้มและไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่ก็ยังไม่สบายใจอยู่ดี

ทีแรกยังกังวลอยู่เลยว่าเราอยู่ห่างกัน อาจจะสนิทน้อยลงก็ได้

แต่พอได้เห็นฉากนี้ก็เหมือนว่าจะไม่เป็นเช่นนั้น บ้านซูยังปฏิบัติต่อครอบครัวเราเหมือนเดิมเลย

เธอแต่งงานกับสามีมาหลายปีแล้ว และก็มองออกด้วยว่าคนบ้านซูเก่งกันมา แค่คำแนะนำเล็กน้อยก็ช่วยให้เรามีชีวิตที่ดีได้

ก่อนหน้านี้เราไม่ได้มองเห็นเรื่องการขายไข่อะไรพวกนี้เลย แต่เพราะมันเลยทำให้ครอบครัวเราหาเงินได้ไม่น้อย

ก่อนหน้านี้ก็ส่งให้คุณย่าซูแต่พอแกไปเมืองหลวง สามีได้เพิ่มลูกค้าอีกหลายรายและธุรกิจที่เราทำก็ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ

“ขอบคุณคุณป้านะคะ ที่ยังเป็นห่วงพวกเขา”

“กลับไปก็เอาไปอีกนะ ให้พ่อเธอกินด้วย”

หญิงสาวยิ้มขอบคุณ “งั้นฉันจะไม่เกรงใจแล้วค่ะ ขอบคุณป้ามากเลย พ่อฉันต้องดีใจแน่ ๆ ชีวิตนี้ได้กินขนมของเมืองหลวงแล้ว!”

ขณะที่กำลังสนทนากันอยู่ ก็มีแขกมาหาอีก

ในไม่ช้าคนจากกองชุมชนก็มากันเต็มไปหมด

ห้องหลักเต็มไปด้วยคนจำนวนมาก ความหนาวที่เคยมีหายไปอย่างรวดเร็ว

แน่นอนว่าเวลาแบบนี้หลิวซิ่วอิงไม่มีทางพลาด กว่าจะรู้เรื่องก็ช้ากว่าใครเขาแล้ว ขนาดรีบมาแล้วนะก็ยังช้าอยู่ดี ในห้องมีคนเต็มไปหมด

เธอมองคนพวกนั้นด้วยสายตาบ่น ๆ คนเยอะขนาดนี้ ถ้ามีของดีก็ไม่ถึงตาเธอสักทีสิ หลิวซิ่วอิงเป็นคนแบบนั้น และคิดว่าทุกคนจะต้องเป็นเหมือนตัวเอง และไม่เคยคิดเลยว่าแขกที่มาจะเอาของฝากมาให้คนบ้านซู

ผู้คนส่วนใหญ่เป็นคนซื่อตรง พวกเขาคิดว่าที่บ้านซูเพิ่งกลับมาเพราะมีปัญหาขาดแคลนผักฤดูหนาวผักตากแห้ง พอมาถึงจางซานก็เอาผักตากแห้งมา หลี่ซื่อเอาหัวไชเท้าและหวังอู่เอาผักกาดขาวมา

ขนาดยายฉางก็ไม่ได้มามือเปล่า แกเอากระเทียมมาให้ มียี่สิบกว่าหัวได้

มีแค่หลิวซิ่วอิงที่หิ้วหลานชายมาเท่านั้นแหละ

จินหวาและอิ๋นหวาต่างก็อยู่ในช่วงวัยรุ่น ตามปกติแล้วพวกเขาควรจะเป็นพวกรู้ความ แต่เพราะมีหลิวซิ่วอิงสั่งสอน ก็น่าจะเดาได้นะว่าเด็กพวกนี้จะมีนิสัยยังไง

สองพี่น้องตรงไปห้องหลัก พอเห็นว่าเมล็ดแตงโม ถั่วลิสง และลูกอมอยู่บนโต๊ะก็รีบพุ่งเข้าไปอย่างไวและคว้ามันมา

หยิบแล้วกินเองไม่ว่า

แต่นี่เหมือนกะมากวาดจนเกลี้ยงเลย

โชคดีที่กระเป๋าไม่ใหญ่พอ

พอเห็นหลานชายเป็นแบบนั้นแกก็อดด่าไม่ได้ “ทำไมพวกแกโง่ขนาดนี้?”

คนอื่น ๆ ที่ได้ยินก็คิดว่าในที่สุดหลิวซิ่วอิงก็รู้เรื่องรู้ราวกับเขาเสียที

แต่ประโยคต่อมากลับทำทุกคนตกตะลึงกันหมด

“ทำไมไม่เอาทั้งจานกลับไปบ้าน?”

ไม่รู้จะพูดอะไรเลย…

เสี่ยวปาและเสี่ยวจิ่วที่นั่งเล่นอยู่ข้าง ๆ มองหน้ากัน ก่อนพุ่งไปปิดประตูทันที ขวางทางจินหวาและอิ๋นหวาที่ถือจานเอาไว้

“ทำไมพวกแกถึงมารังแกคนเขาแบบนี้?”

หลิวซิ่วอิงเห็นสองคนนั้นขวางทางหลานชายตัวเอง จึงไม่ทนอีกต่อไป

“ใครรังแกกัน? เราแค่ไม่อยากเห็นของในบ้านโดนขโมยต่างหาก” เสี่ยวปาเอ่ยอย่างเป็นธรรมชาติ

ส่วนเสี่ยวจิ่วคว้าจานในมือจินอิ๋นหวามาเอง

ตอนนั้นเสี่ยวชีเข้ามาแจมด้วย ตอนที่จินหวากำลังตกใจจานในมือตัวเองก็หายไปแล้ว

เมื่อมองไปที่มือที่ว่างเปล่าพี่ชายทั้งสองก็น้ำตาไหลทันที

และคนอย่างหลิวซิ่วอิงที่เห็นหลานชายร้องไห้ก็หาเหตุผลทันที

“พวกแกไปเมืองหลวงแท้ ๆ แม้แต่เครือญาติยังไม่รู้จักนึกถึงเลย! จินหวาอิ๋นหวายังเด็กอยู่นะ ทำไมต้องทำแบบนั้นกับพวกเขาด้วย?”

เสี่ยวปาเอ่ยเสียงเย็น “พวกเราก็เด็กเหมือนกันไม่ใช่หรือครับ? แต่ลูกหลานย่าแย่งของเราไป เราไม่มีสิทธิ์ปกป้องของของตัวเองเลยหรือไง?”

“พี่แปด ผมได้ยินมาว่าถ้าขโมยของจะโดนลงโทษด้วยนะ ไม่รู้ว่าสถานีตำรวจยังทำงานอยู่ไหม พวกเราไปแจ้งตำรวจกัน!”

เสี่ยวจิ่วพูดท่าทางจริงจัง ดูไม่เหมือนล้อเล่นเลยสักนิด

หลิวซิ่วอิงไม่คิดว่าเด็กคนนั้นจะพูดเรื่องแจ้งตำรวจจึงตกใจมาก

“แจ้งตำรวจทำไม? ไม่ได้กินของพวกแกเสียหน่อย?” หลิวซิ่วอิงเริ่มอ่อนลงเล็กน้อย แต่ก็ยังไม่หยุดปาก

“กินไม่ว่าหรอกครับ แต่ถ้าถึงขนาดแย่งจานเราไปด้วยเนี่ย มันไม่ปกติแล้วนะ” เสี่ยวจิ่วยิ้ม แต่ไม่ได้มีท่าทีสุภาพเลยแม้แต่น้อย