บทที่ 530 คล้ายจะเป็นบรรพชนเต๋า รบสือตู๋เต้า

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 530 คล้ายจะเป็นบรรพชนเต๋า รบสือตู๋เต้า

เจ้าแม่หนี่ว์วาหรือ

หานเจวี๋ยตะลึง บังเอิญขนาดนี้เชียวหรือ

เทพสูงสุดหนานจี๋เพิ่งประกาศว่าจะคัดเลือกผู้รับตำแหน่งอริยะ เจ้าแม่หนี่ว์วาก็ส่งคำขอเข้าฝันหานเจวี๋ยตามมาติดๆ

หรือว่าเจ้าแม่หนี่ว์วาจะจับตามองมรรคาสวรรค์อยู่ตลอด

หานเจวี๋ยลอบหวาดระแวง คงมิใช่ว่าเจ้าแม่หนี่ว์วาจะใช้เขาต่างหัวหอกกระมัง

‘หากข้าตอบรับการเข้าฝันของเจ้าแม่หนี่ว์วา มีความเสี่ยงที่ต้องเผชิญหน้ากับอันตรายหรือไม่’

[จำเป็นต้องหักอายุขัยห้าหมื่นล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]

จุ๊ๆ ค่าตัวแพงกว่ามรรคาสวรรค์เสียอีก

ดำเนินการต่อ!

[มี]

หานเจวี๋ยขมวดคิ้ว เช่นนั้นไม่ตอบรับน่าจะดีกว่า

เขาทำนายด้วยตัวเองก็ได้ ไม่จำเป็นต้องไปเสี่ยงเอง

‘ข้าอยากรู้ว่าเจ้าแม่หนี่ว์วามาหาข้าด้วยเหตุใด’

[จำเป็นต้องหักอายุขัยหนึ่งแสนล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]

ทำไมเพิ่มเป็นเท่าตัวเลยล่ะ

หานเจวี๋ยขมวดคิ้วขณะเลือกดำเนินการต่อ

จากนั้น เขาก็เข้าสู่ภาพลวงตาวิวัฒนาการ

ที่นี่คือทะเลดวงดาวกว้างใหญ่ไพศาล ดาราพร่างพราว ทางช้างเผือกพาดผ่าน เป็นภาพที่งดงามและลึกลับ

เจ้าแม่หนี่ว์วายืนอยู่ท่ามกลางแสงรุ้งพรายเจ็ดสี เหนือศีรษะนางมีดวงตาคู่หนึ่ง ใหญ่โตมโหฬารอย่างยิ่ง เสมือนดวงตาข้างเดียวก็ครอบคลุมไปทั่วทั้งจักรวาล

“มรรคาสวรรค์บังเกิดสติปัญญา แท้จริงแล้วมีสาเหตุมาจากความละโมบของเหล่าอริยชน สรรพสิ่งเผชิญภัยพิบัติ มหาเคราะห์มรรคายิ่งใหญ่อาจจุดประกายขึ้นจากเหตุนี้”

น้ำเสียงเฉยเมยแว่วดังขึ้นมา ก้องไปทั่วจักรวาล

เจ้าแม่หนี่ว์วาขมวดคิ้ว เอ่ยว่า “ข้าก้าวข้ามมรรคาสวรรค์แล้ว ไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับเรื่องมรรคาสวรรค์อีก”

อีกฝ่ายกล่าวต่อ “แต่รากเหง้าเจ้าอยู่ที่มรรคาสวรรค์ แม้นเจ้าจะเทียบเทียมมหามรรค แต่หากสิ้นมรรคาสวรรค์ วันหน้าหากเจ้าเผชิญอันตราย ต่อให้อยากถือกำเนิดใหม่ ก็อย่าได้หมายเลย”

คิ้วของเจ้าแม่หนี่ว์วาขมวดแน่นกว่าเดิม

หานเจวี๋ยอยากรู้ว่าคู่สนทนาของเจ้าแม่หนี่ว์วาคือใคร ฟังดูคล้ายจะวางท่ายิ่งนัก

เจ้าแม่หนี่ว์วาถอนหายใจ ถามขึ้นว่า “ข้าควรทำอย่างไร”

“เจ้าต้องคิดหาทางเอง เจ้าไม่จำเป็นต้องลงมือด้วยตัวเอง แต่ไหนแต่ไรมาอริยะอย่างพวกเจ้าก็ทำกันเช่นนี้”

“ได้”

หานเจวี๋ยฟังแล้วรู้สึกแปลกใจ อีกฝ่ายเอ่ยเสียดสีอยู่ชัดๆ ไม่น่าเชื่อว่าเจ้าแม่หนี่ว์วาจะไม่โกรธ นี่หมายความว่าอีกฝ่ายเหนือกว่าเจ้าแม่หนี่ว์วานัก เป็นใครกันแน่

ในเวลานี้เอง ภาพลวงตาวิวัฒนาการพังทลายลงตรงนี้

หานเจวี๋ยถามต่อ ‘ข้าอยากรู้ว่าผู้ที่คุยกับเจ้าแม่หนี่ว์วาในฉากวิวัฒนาการเป็นใคร’

[ไม่สามารถวิวัฒนาการถึงร่างจริงของตัวตนนี้ได้ ระบบต้องทำการยกระดับอีกครั้ง]

หานเจวี๋ยขมวดคิ้ว เลิศล้ำปานนี้เชียวหรือ

คงมิใช่ว่าเป็นบรรพชนเต๋าจริงๆ กระมัง!

ที่ผ่านมา หานเจวี๋ยไม่สามารถวิวัฒนาการถึงบรรพชนเต๋าได้ อย่างมากที่สุดก็ทำนายถึงร่างแยกหรือร่างจำลองของบรรพชนเต๋าได้เท่านั้น

มีจุดหนึ่งที่สามารถยืนยันได้ บรรพชนเต๋ายังไม่ตายแน่นอน!

‘พอดีนัก เจ้าแม่หนี่ว์วาต้องการใช้ประโยชน์ข้าไปเล่นงานอริยะ เช่นนั้นความฝันนี้จะตอบรับหรือไม่ตอบรับก็ได้ทั้งนั้น ถึงอย่างไรนางก็มองออก’

หานเจวี๋ยคิดเงียบๆ จากนั้นก็เริ่มฝึกบำเพ็ญ

….

หนึ่งร้อยปีผ่านไปเร็วยิ่ง

ในวันนี้ หานเจวี๋ยเงยหน้ามองออกไป เห็นเงาร่างมากมายหลั่งไหลเข้าสู่ตำหนักอาณาเขตเต๋าหลังหนึ่ง ณ ชั้นฟ้าที่สามสิบสาม

เทพสูงสุดหนานจี๋กำลังจะแสดงธรรม

หานเจวี๋ยตบตีกับตัวเองอยู่พักหนึ่ง ยังคงตัดสินใจเล่นงานเทพสูงสุดหนานจี๋สักระลอกหนึ่ง

อย่างน้อยก็ไม่อาจปล่อยให้เทพสูงสุดหนานจี๋ต้มตุ๋นหลอกลวงอย่างราบรื่นถึงเพียงนั้นได้

เขาไม่ได้สาปแช่งทันที แต่รอไปก่อน

ห้าวันผ่านไป

เขาเริ่มทุ่มกำลังสาปแช่งเทพสูงสุดหนานจี๋!

ในเวลาเดียวกันนี้

ชั้นฟ้าที่สามสิบสาม ตำหนักเทพสูงสุด

เทพสูงสุดหนานจี๋นั่งสมาธิอยู่บนแท่นดอกบัว จู่ๆ เขาพลันลืมตาขึ้น คิ้วขมวดแน่น

ในห้องโถงมีผู้สดับธรรมหลายพันคน ตบะต่ำสุดคือจักรพรรดิเซียน ทั้งหมดล้วนจมจ่อมอยู่ในสภาวะตระหนักมรรค

‘สมควรตาย สาปแช่งข้าเอาตอนนี้เสียได้ เจ้าแดนต้องห้ามอันธการ!’

เทพสูงสุดหนานจี๋ก่นด่าอยู่ในใจ เขาอดไม่ได้ที่จะเริ่มใคร่ครวญว่าผู้ใดถึงจะใช่เจ้าแดนต้องห้ามอันธการ

ตอนนี้ในหมู่อริยะล้วนกล่าวกันว่าหานเจวี๋ยคือเจ้าแดนต้องห้ามอันธการ แต่เขาไม่คิดเช่นนี้

ถึงอย่างไรในฉากหน้าหานเจวี๋ยก็ไม่เคยปะทะกับพวกเขาเลย สำนักซ่อนเร้นก็หลบซ่อนอยู่กับที่มาโดยตลอด ดังนั้นเขายังคงสงสัยว่าเจ้าแดนต้องห้ามอันธการจะเป็นอริยะรายอื่น

เนื่องจากหานเจวี๋ยไม่ได้อยู่บนชั้นฟ้าที่สามสิบสาม เจ้าแดนต้องห้ามอันธการตัวจริงจึงโยนความผิดให้เขาได้ตามสบาย

ถึงแม้เทพสูงสุดหนานจี๋จะไม่ชอบหานเจวี๋ย แต่เขาชิงชังฉิวซีไหลมากกว่า

เทพสูงสุดหนานจี๋จำเป็นต้องโคจรพลังเวทต่อต้านพลังคำสาปแช่ง

ผ่านไประยะหนึ่ง

เทพสูงสุดหนานจี๋กัดฟัน ถ่ายทอดเสียงหาหลี่มู่อีและเจ้านิกายเทียนเจวี๋ย

ในไม่ช้า สองอริยะก็ปรากฏตัวขึ้นด้านหลังเทพสูงสุดหนานจี๋

หลี่มู่อีสะบัดแขนเสื้อ ก่อเขตอาคม ผู้สดับธรรมจะมองไม่เห็นการมีอยู่ของพวกเขา

สองอริยะยกมือขึ้น ใช้พลังเวทของตนช่วยสนับสนุนเทพสูงสุดหนานจี๋

เจ้านิกายเทียนเจวี๋ยขมวดคิ้ว ถ่ายทอดเสียงสนทนากัน “ต้องกำจัดเจ้าแดนต้องห้ามอันธการให้ได้ จะลงมือกับสำนักซ่อนเร้นเมื่อไร”

หลี่มู่อีไม่ได้ตอบ ลังเลอยู่เช่นกัน

เทพสูงสุดหนานจี๋กล่าวว่า “หากว่าเจ้าแดนต้องห้ามอันธการมิใช่สำนักซ่อนเร้น พวกเราทำเช่นนี้มิเป็นการผลักหานเจวี๋ยไปหาเจ้าแดนต้องห้ามอันธการหรือ”

เจ้านิกายเทียนเจวี๋ยหรี่ตาพลางกล่าวว่า “จะว่าไป ก่อนมหาเคราะห์สิ้นสุดลง ฉิวซีไหลก็เคยคิดจะดึงตัวหานเจวี๋ยเข้าพวก ปกป้องทุกคนที่มีกรรมเชื่อมโยงกับหานเจวี๋ย หรือว่า…”

แววตาหลี่มู่อีวาวโรจน์

ความจริงเขาก็สงสัยแบบนี้อยู่เช่นกัน แต่เขากลัวจะเป็นเช่นนี้จริงๆ

หากฉิวซีไหลคือเจ้าแดนต้องห้ามอันธการ เช่นนั้นก็น่ากลัวเกินไปแล้ว

อริยะมิ่งจีกลายเป็นบ้า ฉิวซีไหลคืออริยะเพียงหนึ่งเดียวที่ครอบครองพลังวิเศษทำลายมรรคา!

เจ้าแดนต้องห้ามอันธการกำจัดอริยะมิ่งจีก่อน ผู้ได้ประโยชน์คือฉิวซีไหล!

“เอาให้พ้นอุปสรรคในขณะนี้ไปก่อน” หลี่มู่อีเอ่ยเสียงขรึม

พวกเขาล้วนรับรู้ได้ว่าพลังคำสาปแช่งทวีความรุนแรงขึ้นอีก ความทรงพลังระดับนี้คล้ายตอนสาปแช่งอริยะจินอันในครานั้น

….

หลังจากผลาญอายุขัยไปหนึ่งล้านล้านปี หานเจวี๋ยถึงหยุดสาปแช่ง

เขาช้อนตามองขึ้นไปยังชั้นฟ้าที่สามสิบสาม เหล่าผู้สดับธรรมยังไม่ออกมาจากอาณาเขตเต๋า เห็นทีว่าการแสดงธรรมยังคงดำเนินอยู่

ผ่านไปสักระยะค่อยสาปแช่งอีกแล้วกัน

หานเจวี๋ยนึกถึงความทุกข์ทรมานของเทพสูงสุดหนานจี๋ อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเบิกบาน

หลายเดือนผ่านไป

ขณะที่หานเจวี๋ยกำลังจะสาปแช่งเทพสูงสุดหนานจี๋ เสียงตะคอกที่ฟังดูเผด็จการสายหนึ่งพลันแว่วเข้ามา

“ข้าคือสือตู๋เต้า วันนี้มาท้ารบเจ้าสำนักซ่อนเร้น เพียงรู้ผลแพ้ชนะ ไม่ผูกแค้นอาฆาต!”

เสียงนี้ดังรบกวนศิษย์ทุกคนในสำนักซ่อนเร้น

หานเจวี๋ยมีท่าทางประหลาดอยู่บ้าง

เนื่องจากเขาคัดลอกสือตู๋เต้าไว้ ดังนั้นพอสือตู๋เต้ามาด้วยตัวเอง เขาจึงรู้สึกเหมือนกำแพงมิติคู่ขนานพังทลายลงแล้ว

หานเจวี๋ยคิดดูเล็กน้อย ถ่ายทอดเสียงหาหลี่เต้าคง กล่าวว่า “คนผู้นี้แข็งแกร่งที่สุดในหมู่ผู้อยู่ต่ำกว่าอริยะ เจ้าอยากสู้กับเขาดูหรือไม่”

“แน่นอนอยู่แล้ว!”

หลี่เต้าคงตอบทันควัน

จากนั้น หานเจวี๋ยก็เคลื่อนย้ายหลี่เต้าคงออกไป

ห้วงอากาศเหนือขุนเขา สือตู๋เต้าสวมชุดทะมัดทะแมง รัศมีดังสายรุ้ง ยามที่เขาเห็นหลี่เต้าคงปรากฏตัวขึ้น อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว

“เหตุใดถึงเป็นเจ้า” สือตู๋เต้าถามด้วยความไม่พอใจ

หลี่เต้าคงตอบอย่างสงบ “ผู้อาวุโส ยามนี้ข้าคือผู้พิทักษ์สำนักซ่อนเร้น หากต้องการท้าประลองกับเจ้าสำนักของพวกเรา ต้องเอาชนะข้าให้ได้ก่อน!”

ชิ้ง…

เขาชักกระบี่ออกมาจากช่วงเอว กระบี่ของเขามิใช่กระบี่ธรรมดา เป็นสมบัติวิญญาณมรรคาสวรรค์ เคยเป็นกระบี่คู่ใจของอริยะท่านหนึ่งแห่งนิกายเหริน

สือตู๋เต้าส่ายหน้าพล่างเอ่ยว่า “เจ้ามิใช่คู่ต้อสู้ของข้า”

หลี่เต้าคงปล่อยกระบวนท่าพิฆาตใส่สือตู๋เต้า ว่องไวสุดขีด พริบตาเดียวก็มาถึงเบื้องหน้าสือตู๋เต้า กระบี่วาดลงมา

ตูม!

คลื่นปราณน่าหวาดหวั่นสั่นคลอนฟ้าดิน ก่อร่างเป็นมังกรตัวยาวที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าขึ้นมาทีละตัวๆ บิดส่ายไปมาด้วยความโอหัง

มองเห็นสือตู๋เต้าใช้นิ้วชี้ปัดกระบี่ของหลี่เต้าคงออกอย่างสบายๆ

สือตู๋เต้าสีหน้าเยียบเย็น เอ่ยอย่างดูหมิ่น “ในเมื่อเจ้าอยากสู้ เช่นนั้นก็มาสู้กัน!”

“ครึ่งอริยะก็กล้ามาท้าทายข้าแล้วหรือ ยามที่ข้าบรรลุครึ่งอริยะ ตัวเจ้าหลี่เต้าคงยังไม่ถือกำเนิดด้วยซ้ำ!”

พอกล่าวจบ สองเนตรของสือตู๋เต้าสาดแสงมืดดำ หลี่เต้าคงตกใจกระโจนหลบทันที

แสงมืดดำส่องวูบไหว ท้องนภาถูกทะลวงพรุนไปทั่ว กระแสมิติเวลาร้อยเรียงผสานอยู่ในโพรงมืดดำทั่วนภา

………………………………………………………………