บทที่ 531 หลี่เต้าคงอับอาย สำนักซ่อนเร้นกลายเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 531 หลี่เต้าคงอับอาย สำนักซ่อนเร้นกลายเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์

ศึกใหญ่ระหว่างหลี่เต้าคงและสือตู่เต้าสะท้านฟ้าสะเทือนดิน ทั้งสองต่างเป็นครึ่งอริยะ พลังวิเศษเพียงอย่างเดียวก็เพียงพอจะทำลายล้างฟ้าดินได้ ศิษย์ทั้งหมดในเขตเซียนร้อยคีรีล้วนพากันออกจากที่พักมาชมศึก

แม้จะมีค่ายกลอาณาเขตเต๋ากั้นอยู่ ทว่าพลังกดดันอันน่าหวาดหวั่นนั้นพวกเขาก็ยังคงรับรู้ได้อยู่ดี

“ผู้พิทักษ์หลักแข็งแกร่งนัก!”

“ใครเป็นฝ่ายได้เปรียบ”

“เร็วเกินไป เห็นไม่ชัด!”

“พวกเขาเป็นระดับใดกัน ต้าหลัวหรือ”

“น่ากลัวว่าจะมิใช่แค่นั้น ก่อนหน้านี้ท่านเจ้าสำนักเคยบอกไว้มิใช่หรือว่ายังมีระดับที่อยู่กึ่งกลางระหว่างต้าหลัวและอริยะน่ะ!”

“สือตู๋เต้าแข็งแกร่งนัก ผู้พิทักษ์หลักไม่สามารถเผด็จศึกอย่างรวดเร็วได้ ยังคงเป็นเจ้าสำนักที่ร้ายกาจกว่า ศัตรูล้วนพ่ายแพ้ในการโจมตีเดียว!”

“อย่าพูดเหลวไหล ผู้พิทักษ์หลักก็แข็งแกร่งมาก สือตู๋เต้าคนนี้มิใช่ผู้ทรงพลังที่ก่อตั้งวิถีไร้พ่ายขึ้นในช่วงหลายปีมานี้หรอกหรือ กล้าขนานนามว่าไร้พ่าย ต้องแข็งแกร่งยิ่งแน่นอน”

เหล่าศิษย์พากันวิจารณ์ เนื่องจากที่ผ่านมาในอาณาเขตเต๋าล้วนเป็นหานเจวี๋ยที่ลงมือ ศัตรูยื้อได้ไม่ถึงหนึ่งลมหายใจเลย ตอนนี้เมื่อเห็นหลี่เต้าคงต่อสู้กับสือตู๋เต้าอย่างยืดเยื้อ ในใจเหล่าศิษย์จึงรู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง

ถึงอย่างไรพวกเขาก็ไม่รู้แน่ชัดว่าสือตู๋เต้าแข็งแกร่งมากเท่าไร

เหล่าศิษย์สืบทอดที่อยู่ใต้ต้นฝูซังกลับชมอย่างมีวิสัยทัศน์ยิ่ง

“สือตู๋เต้าหน้าตาเหมือนสามผู้อาวุโสในอาณาเขตเต๋าของพวกเขาทุกประการ ผู้อาวุโสจางเจี่ยวเป็นร่างที่นายท่านคัดลอกขึ้นจากอริยะ เช่นนั้นผู้อาวุโสทั้งสามก็เป็นร่างคัดลอกของสือตู๋เต้าหรือ” ไก่คุกรัตติกาลส่งเสียงจิ๊จ๊ะด้วยความฉงน

เจ้าใหญ่กล่าวด้วยความหงุดหงิด “ต้องให้เจ้าชี้แจงอีกหรือ”

สุนัขสวรรค์ฮุ่นตุ้นเอ่ยด้วยความสะท้อนใจ “แกร่งมากจริงๆ หากไม่มีค่ายกลอาณาเขตเต๋า เกรงว่าพวกเราคงถูกลูกหลงจากการต่อสู้บดขยี้จนมอดไหม้แหลกลาญไปแล้ว”

คนอื่นๆ ต่างก็สะท้อนใจเช่นกัน ถึงแม้จะมีแบบจำลองการทดสอบ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าหลี่เต้าคง ล้วนไม่สามารถบีบให้หลี่เต้าคงเผยพลังที่แท้จริงออกมาได้ ดังนั้นเมื่อได้ชมการต่อสู้ระหว่างหลี่เต้าคงและสือตู๋เต้าต่างก็รู้สึกครั่นคร้ามกันถ้วนหน้า

อีกด้านหนึ่ง

ในอารามเต๋า

หานเจวี๋ยขมวดคิ้ว เผยสีหน้าไม่พอใจ

เขาคาดหวังในตัวหลี่เต้าคงอย่างเต็มที่ ผลคือหลี่เต้าคงต่อสู้กับสือตู๋เต้าอย่างค่อนข้างกินแรง

ถึงแม้หลี่เต้าคงจะเป็นครึ่งอริยะระยะต้น ส่วนสือตู๋เต้าเป็นครึ่งอริยะระยะสมบูรณ์ แต่เขาก็ยังคงคาดหวังในตัวหลี่เต้าคงอยู่

‘หากไม่สามารถเอาชนะระดับที่สูงกว่าเพียงเล็กน้อยได้ จะเป็นด่านหน้าให้สำนักซ่อนเร้นของข้าได้อย่างไร’

หานเจวี๋ยรู้สึกไม่พอใจ หลังจบศึกครั้งนี้ ต้องสร้างแรงกดดันให้หลี่เต้าคงกันสักหน่อย

อาจเป็นเพราะพลังในการปกป้องของเขาแข็งแกร่งเกินไป หลี่เต้าคงถึงได้หย่อนยานอยู่บ้าง

การต่อสู้ดำเนินต่อไป

ผ่านไปครึ่งชั่วยามเต็ม ทั้งสองยังไม่รู้ผลแพ้ชนะ แต่หานเจวี๋ยมองเห็นชัดเจน หลี่เต้าคงถูกสะกดไว้อย่างสมบูรณ์

หานเจวี๋ยถอนหายใจออกมาคราหนึ่ง ชูมือขวาขึ้น วาดนิ้วชี้ออกไป ปราณกระบี่สายหนึ่งพุ่งแหวกอากาศ

สือตู๋เต้ากำลังสำแดงพลังวิเศษอยู่ไม่ทันระวัง ถูกปราณกระบี่ที่พุ่งมาจากด้านข้างแทงทะลุร่าง โลหิตพุ่งกระฉูด

การสำแดงพลังขาดช่วงไป!

สือตู๋เต้าเบิกตากว้าง เผยสีหน้าตื่นตระหนก

หลี่เต้าคงชะงักทันที ไม่ได้ช่วยโอกาสเข้าซ้ำเติม

สีหน้าเขามืดครึ้ม ทราบดีว่าหานเจวี๋ยลงมือ ปราณกระบี่เมื่อครู่นั้นทำให้หัวใจเขาเต้นแรง

เร็วเหลือเกิน!

“ยุติเท่านี้เถิด”

เสียงของหานเจวี๋ยดังก้องทั่วฟ้าดิน สั่นสะเทือนแก้วหู

สือตู๋เต้ามองไปทางเขตเซียนร้อยคีรีด้วยความตื่นตระหนก กัดฟันเอ่ย “อริยะ!”

ปราณกระบี่ขจัดพลังเวทมหาศาลในร่างเขาได้ มิใช่อริยะแล้วจะเป็นสิ่งใด

ในอดีตกาล สือตู๋เต้าก็เคยไม่เจียมกำลังตนไปท้ารบกับอริยะมาก่อน ความรู้สึกน่าหวาดกลัวเช่นนี้ยากจะลืมลง

ทันใดนั้นหลี่เต้าคงก็หายตัวไปจากกลางอากาศ

สือตู๋เต้ากัดฟัน ดิ้นรนอยู่พักหนึ่ง สุดท้ายก็เลือกจากไป

ช่วยไม่ได้ พลังห่างชั้นกันอย่างยิ่ง ถ้าอยู่ต่อไป ก็ขายขี้หน้าตัวเองเปล่าๆ

วินาทีหันหลังกลับ สือตู๋เต้าพลันนึกถึงคำพูดของมหาจักรพรรดิเฉิน

เขาไม่มีคุณสมบัติจะขนานนามตนว่าไร้พ่ายจริงๆ

น่าชังนัก!

หากข้าสามารถสำเร็จเป็นอริยะได้…

สือตู๋เต้าเดือดดาลอยู่ในใจ เขาบรรลุถึงขีดกำจัดของครึ่งอริยะแล้ว ไม่สามารถแข็งแกร่งไปมากกว่านี้ได้ ระดับต่ำกว่าอริยะลงมา เขาได้ลิ้มรสความพ่ายแพ้อย่างแท้จริงแล้ว

….

ภายในอารามเต๋า

หลี่เต้าคงยืนอยู่เบื้องหน้าหานเจวี๋ย ก้มหน้าคอตก ราวกับเด็กน้อยที่กระทำความผิด

หานเจวี๋ยเอ่ยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “ข้าผิดหวังนัก”

หลี่เต้าคงก้มหน้าต่ำกว่าเดิม สองมือในแขนเสื้อกำแน่นจนกลายเป็นหมัด

หานเจวี๋ยพลันมีความสุขขึ้นมา

กังวลอยู่พอดีว่าจะไม่มีโอกาสได้กดดันหลี่เต้าคง

นับตั้งแต่เข้าร่วมสำนักซ่อนเร้น แม้หลี่เต้าคงจะให้ความเคารพเขา แต่กลับไม่เคยละวางท่าทีลงเลย หากคนทั่วไปมาพบเห็น คงนึกว่าพวกเขามีศักดิ์เสมอกัน

ตรงกันข้าม หลี่เสวียนเอ้ากลับเสาะหาตำแหน่งที่เหมาะสมกับตนพบอย่างรวดเร็ว ทำให้หานเจวี๋ยมองเขาแล้วไม่ขัดตา

หานเจวี๋ยเอ่ยอย่างเฉยเมย “ตอนข้าเพิ่งบรรลุครึ่งอริยะระยะต้นก็สามารถสยบครึ่งอริยะได้แล้ว รวมถึงสือตู๋เต้าด้วย เจ้าเชื่อหรือไม่”

หลี่เต้าคงสูดหายใจลึกๆ เฮือกหนึ่ง ก่อนตอบ “เชื่อ!”

“เจ้าเป็นเช่นนี้แล้วจะแบกรับตำแหน่งอริยะแห่งสำนักซ่อนเร้นไว้ได้อย่างไร”

“ข้า…ไม่คู่ควรจริงๆ…”

หลี่เต้าคงไม่ขุ่นเคือง มีเพียงสีหน้าที่สลดลง ละอายใจอย่างที่สุด

หานเจวี๋ยเริ่มพูดจาถากถางเยาะหยันอย่างเต็มที่ หลี่เต้าคงได้แต่ทนรับไว้

ผ่านไปพักใหญ่

หานเจวี๋ยแค่นเสียง “ฝึกบำเพ็ญให้ดี รอจนเจ้าทะลวงขั้นได้ ข้าจะถ่ายทอดพลังวิเศษให้เจ้า เจ้าค่อยไปท้าสู้สือตู๋เต้าอีกครั้ง ต้องเอาชนะให้ได้ คนตั้งความหวังกับเจ้าไว้มากที่สุด อย่าทำให้ข้าผิดหวัง!”

“ทราบแล้วขอรับ!”

หลี่เต้าคงตอบรับเสียงขรึม

หานเจวี๋ยโบกมือไล่ หลี่เต้าคงคารวะและจากไป

ยามที่ออกจากอารามเต๋า หลี่เต้าคงเหลือบมองจางเจี่ยวแวบหนึ่ง ความขุ่นข้องในใจพลันสลายหายไปดั่งหมอกควัน

ถึงอย่างไรเขาก็เป็นคนหยิ่งทระนงผู้หนึ่ง ถูกหานเจวี๋ยเหยียดหยามเช่นนี้ จะไม่มีความรู้สึกเลยได้หรือ

แต่ทันทีที่เห็นจางเจี่ยว ในใจเขาก็เหลือเพียงความขมขื่นเท่านั้น

หานเจวี๋ยมีคุณสมบัติที่จะถากถางเขาจริงๆ!

ระหว่างทางกลับ หลี่เสวียนเอ้ามารอรับหลี่เต้าคง สอบถามว่าเมื่อครู่เกิดอะไรขึ้น

หลี่เต้าคงก็ไม่ปิดบัง พอเล่าจบก็ถอนหายใจเดินจากไป เตรียมทุ่มเทฝึกบำเพ็ญ

หลี่เสวียนเอ้าตะลึงอยู่ที่เดิม ตาค้างอ้าปากหวอ

“สือตู๋เต้า นั่นคือตัวตนที่เกือบจะแข็งแกร่งที่สุดในหมู่ผู้อยู่ต่ำกว่าระดับอริยะเชียวนะ ทำไมถูกพวกท่านพูดถึงเยี่ยงมนุษย์ปุถุชนเล่า คนหนึ่งกล้าพูด อีกคนหนึ่งก็ยังกล้าเชื่ออีกหรือ”

หลี่เสวียนเอ้าพึมพำกับตัวเอง ไม่เข้าใจเลยสักนิด

….

ข่าวที่สือตู๋เต้ากลับมาจากเขตเซียนร้อยคีรีอย่างไม่เป็นท่าแพร่ไปทั่วแดนเซียนอย่างรวดเร็ว

หลายปีมานี้ สือตู๋เต้าท้ารบไปทั่วทิศ สำนักดวงชะตามากมายล้วนเคยถูกเขาหาเรื่อง แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาพลาดท่า

ละแวกเขตเซียนร้อยคีรีมีสิ่งชีวิตอยู่ไม่น้อยเลย ซ้ำยังมีผู้บำเพ็ญแวะเวียนผ่านมาเป็นครั้งคราวด้วย บังเอิญพบเห็นศึกนี้เข้า ต่างก็ถอนหายใจด้วยความตื่นตะลึง

ภายในชั่วขณะนั้น ชื่อเสียงของเขตเซียนร้อยคีรีถูกกล่าวขวัญไปทั่วอีกครั้ง

ยิ่งลึกลับเท่าไร ก็ยิ่งง่ายต่อการถูกสิ่งชีวิตเพิ่มเสริมเติมแต่ง

สามร้อยปีต่อมา เขตเซียนร้อยคีรีกลายเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกสรรพสิ่งเล่าขานกันอย่างปากต่อปาก

ณ ชั้นฟ้าที่สิบสาม

ภายในตำหนักหลังหนึ่งของเผ่าสวรรค์ จี้เซียนเสินรวมตัวกับฟางเหลียง

“จุ๊ๆ ช่วงนี้สำนักซ่อนเร้นของอาจารย์ปู่เจ้าเลื่องชื่อขึ้นมาอีกแล้วนะ” จี้เซียนเสินเอ่ยยิ้มๆ

ฟางเหลียงยิ้มบางๆ กล่าวว่า “พอสมควรเท่านั้น อาจารย์ปู่ไม่คาดหวังให้เป็นเช่นนี้แน่”

ไปเสแสร้งกับบิดาเจ้าเถอะ!

ตอนนี้ข้าเป็นอาจารย์อาของเจ้าด้วยซ้ำ!

จี้เซียนเสินผยองอยู่ในใจ เขาไม่ได้แพร่งพรายเรื่องที่ฝากตัวเข้าสำนักซ่อนเร้นแล้วออกไป แม้แต่ฟางเหลียงก็ไม่ทราบ

สำนักซ่อนเร้นคือที่พึ่งสุดท้ายของเขา ถ้าไม่ถึงคราวคับขันจะไม่เปิดเผยออกมา

แม้ฟางเหลียงจะมาจากสำนักซ่อนเร้น แต่ไม่ได้กลับไปเยือนสำนักซ่อนเร้นนานมากแล้ว เขาอาจจะไม่คิดว่าตนเป็นคนของสำนักซ่อนเร้นแล้วก็เป็นได้

จี้เซียนเสินถามขึ้น “วังสวรรค์ใคร่ครวญว่าอย่างไรเล่า”

ฟางเหลียงตอบ “เราไม่มีความเห็นอื่น ยามนี้วังสวรรค์ตกอับ อริยะไม่เหลียวแลมานานแล้ว เพียงแต่คิดจะสยบเผ่ามังกร อาศัยเพียงเรากับเจ้า เกรงว่าจะไม่พอ เผ่ามังกรปรากฏบรรพชนทรงพลังท่านหนึ่ง อาศัยโชคชะตามหาเคราะห์สำเร็จเป็นครึ่งอริยะ พลังแก่กล้าอย่างยิ่ง”

………………………………………………………………