บทที่ 424 แพะ (2)

เวินหยางเห็นสีหน้าไท่จื่อค่อยๆ เย็นชาขึ้นเรื่อยๆ จึงตัวสั่นเทา จู่ๆ ก็ไม่รู้ว่าเอาเรี่ยวแรงมาจากไหน นึกไม่ถึงว่าจะดิ้นหลุดจากการจับกุมของคนรับใช้ โผไปกอดขาไท่จื่อไว้ “ขะ ขะ ข้าเลอะเลือนไป ดื่มสุราไปนิดหน่อย…ปากจึงไม่มีหูรูด ไท่จื่อโปรดอภัยให้ข้าสักครั้ง ข้าไม่กล้าทำอีกแล้ว! ข้าเป็นพี่ชายแท้ๆ ของหลินหลังนะ! อภัยให้ข้าสิ! ให้โอกาสให้ข้าได้แก้ตัวสักครั้งเถอะ!”

จู่ๆ รุ่ยอ๋องเฟยก็โพล่งขึ้น “แล้วเหตุใดเจ้าจึงต้องฟาดชุนอิ๋งให้สลบด้วย”

ลางสังหรณ์ของสตรีย่อมดีกว่าบุรุษอยู่แล้ว จุดบกพร่องของเรื่องนี้ก็คือฟาดชุนอิ๋งให้สลบ ชุนอิ๋งเป็นคนรับใช้ที่ตระกูลเวินพามา นางไม่มีทางทำอะไรเวินหยาง เวินหยางคิดจะฟาดนางให้สลบแล้วค่อยไปคุยกับไท่จื่อเฟยรึ

สีหน้าเวินหยางชะงักไป

หนิงอ๋องหมุนแหวนหยกบนนิ้วไปมา

เวินหยางปล่อยขาไท่จื่อ ก่อนเอ่ยอย่างละอาย “ขะข้าดื่มเยอะไปหน่อย จึงทำรุ่มร่ามชุนอิ๋ง… เด็กนั่นไม่ยอมข้า…ข้าจึงฟาดนาง…ใครจะไปคิดว่านางจะสลบไป”

ไท่จื่อเดือดดาลยากจะระงับ “แม้แต่นางกำนัลในตำหนักบูรพาก็ยังกล้าแตะต้อง ข้าว่าเจ้าคงอยากตายกระมัง!”

เวินหยางคุกเข่ากับพื้น ตบหน้าตัวเองฉาดใหญ่อย่างแรง “ข้าเลอะเลือนไป! ข้าสมควรตาย! ไท่จื่อด่าข้าได้เลย! หรือไม่ก็ชกข้าสักหมัดก็ได้! ต่อไปนี้ข้าไม่กล้าอีกแล้ว!”

เวินหยางมีสันดานอย่างไรทุกคนต่างรู้ดี เดิมทีคิดว่าหลังจากเหตุการณ์สะพานเชือกถล่มคนตระกูลเวินจะสงบเสงี่ยมเจียมตัวบ้าง ดูท่าแล้วพวกเขาคงคิดกันมากไป

“น่าเบื่อ” รุ่ยอ๋องเฟยเบ้ปาก นางก็นึกว่าจับได้ที่เวินหลินหลังมีชู้เสียอีก ไหนเลยจะคิดว่าเป็นแค่การทะเลาะกันของพี่น้องเท่านั้น

หากจะบอกว่าเวินหลินหลังมีผลกระทบก็มีอยู่จริงๆ แต่เล็กน้อยจนน่าสงสาร อย่างไรเสียทั่วทั้งเมืองหลวงก็รู้ว่าคนบ้านเดิมของนางไม่เอาไหนอยู่แล้ว

หนิงอ๋องเห็นสีหน้าของรุ่ยอ๋องเฟย เขาหยิบถ้วยชาจากบนโต๊ะมาดื่มนิ่งๆ

อย่างไรเสียก็เป็นเรื่องใหญ่ๆ ที่ทำให้หนิงอ๋องกับรุ่ยอ๋องตกใจ เพื่อให้แน่ใจว่าสิ่งที่เวินหยางพูดนั้นไม่ใช่แค่ปากเปล่า ไท่จื่อจึงส่งคนไปตามชุนอิ๋งมาจากตำหนักบูรพา

คำให้การของชุนอิ๋งเหมือนกับเวินหยางทุกประการ

อันที่จริงคำให้การของเวินหยางก็เพียงพอจะเชื่อถือแล้ว อย่างไรเสียหนิงอ๋องก็อยู่คนละฝ่ายกันกับตำหนักบูรพา หนิงอ๋องไม่มีทางซื้อตัวเวินหยาง คำให้การของชุนอิ๋งเป็นการยืนยันความผิดของเวินหยางอย่างสมบูรณ์

หนิงอ๋องซื้อเวินหยางไม่ได้ และซื้อชุนอิ๋งไม่ได้ อย่างน้อยๆ ไท่จื่อกับรุ่ยอ๋องก็คิดกันเช่นนี้

ทว่าหลังจากไท่จื่อกลับตำหนักบูรพาแล้ว ก็ยังคงคุยเรื่องเวินหยางกับไท่จื่อเฟยอีก “เขามาหาเจ้า แล้วเหตุใดเจ้าจึงไม่บอกข้า”

ไท่จื่อเฟยยังคงรักษาตัวอยู่บนเตียง นางได้ยินก็หลุบตาลง ผมสีดำขลับสยายอยู่บนไหล่เกลี้ยงเกลา ยิ่งขับให้หน้านางซีดขาวและอ่อนแอกว่าเดิม

“ฝ่าบาท” ไท่จื่อเฟยเอ่ยเสียงเบา “เรื่องแบบนี้จะให้หม่อมฉันเอ่ยอย่างไรเพคะ หม่อมฉันมีพี่ชายแบบนี้ก็หน้าขายหน้าจะแย่แล้ว จะให้พูดออกไปให้ฝ่าบาทสุดจะทนอีกหรือ”

ไท่จื่อยิ้มเจื่อน “ขะ…ข้าไม่ได้หมายความอย่างนั้น…”

ณ หอสุราแห่งหนึ่งในเมืองหลวง

เวินหยางเทสุราให้หนิงอ๋องก่อนจะยิ้มแย้มเอ่ย “ฝ่าบาท วันนี้ข้าแสดงเก่งหรือไม่”

ด้านหลังหนิงอ๋องมีองครักษ์คนสนิทยืนอยู่สองคน ทว่าด้านข้างองครักษ์เป็นชุนอิ๋งที่สีหน้าตึงเครียด

หนิงอ๋องอมยิ้มมองเวินหยาง ก่อนกระดิกนิ้วเรียกองครักษ์สองนายมา ทั้งสองยกหีบเล็กๆ จากอีกห้องมาวางบนโต๊ะ พอเปิดออกแล้วเต็มไปด้วยทองคำทั้งสิ้น

ดวงตาเวินหยางจดจ้องเขม็ง “นะ…นะนี่ให้ข้าจริงๆ รึ”

หนิงอ๋องแย้มยิ้ม “คุณชายเวินขัดสนอยู่มิใช่หรือ ถือว่าพวกนี้เป็นคำขอบคุณของข้าที่มอบให้เจ้าแล้วกัน”

“มะ…ไม่ต้องเกรงใจเพียงนี้ก็ได้…” เวินหยางยิ้มพลางรับกล่องไว้ในอ้อมแขน เขาหยิบแผ่นทองขึ้นมากัด

ของจริง!

ทองคำแท้ๆ!

เวินหยางยิ้มแย้มสดใส “ฝ่าบาท ท่านช่างดีจริงๆ! ดีเสียยิ่งกว่าน้องเขยขี้เหนียวอย่างไท่จื่อเป็นไหนๆ! หากตอนนั้นน้องสาวข้าแต่งกับท่าน…”

พูดไปได้ครึ่งเดียวก็นึกขึ้นได้ว่าตอนนั้นเวินหลินหลังแต่งไม่ได้ น้องสาวเขาหมั้นหมายกับท่านโหวน้อยไว้ตั้งแต่เด็กๆ ก่อนที่ท่านโหวน้อยจะตายหนิงอ๋องก็แต่งกับคุณหนูตระกูลฉู่แล้ว

ด้วยความงามของน้องสาวเขา ให้เป็นสนมมันไม่มีทางเป็นไปได้

ยิ่งไปกว่านั้นไท่จื่อเฟยก็ไม่เลว

เวินหยางเอ่ย “ภายหน้าพอน้องสาวข้าเป็นฮองเฮาแล้ว ข้าก็จะกลายเป็นกั๋วจิ้ว ข้าจะตอบแทนฝ่าบาทอย่างงาม!”

หนิงอ๋องคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มมองเขา “เจ้าไม่ถามหน่อยรึว่าเหตุใดข้าจึงให้เจ้ามาเล่นละคร”

เวินหยางเอ่ยอย่างไม่ค่อยใส่ใจ “ไหนบอกว่าเพื่อขัดตาทัพให้น้องสาวข้ามิใช่รึ”

หนิงอ๋องยิ้มพลางพยักหน้า “ใช่ ขัดตาทัพให้หลินหลัง”

ขัดตาทัพเรื่องอะไรเวินหยางไม่ได้ถาม เขาไม่ใส่ใจและไม่สนใจด้วย เวินหยางแบมือ ครู่ต่อมาเขาก็จัดเสื้อผ้านั่งตัวตรงก่อนมองหนิงอ๋อง

เขาเอ่ยติดๆ ขัดๆ “หละ…หลินหลังอย่างนั้นรึ”

หนิงอ๋องแย้มยิ้ม “ใช่ หลินหลัง”

รอยยิ้มเวินหยางค่อยๆ แข็งทื่อ “ฝ่าบาทกับน้องสาวข้า…”

หนิงอ๋องมองหีบในอ้อมแขนเขาด้วยรอยยิ้มอบอุ่น “ทองคำพอหรือไม่ ไม่พอข้ายังมีนะ”

เวินหยางปิดปากฉับทันที

เวินหยางออกมาจากหอสุรา ตบบ่าหนิงอ๋องด้วยอาการเมามาย “ฝะ…ฝ่าบาท…วางใจได้…ข้าไม่มีทางพูดออกไป…คนอย่างข้า…มีคุณธรรมที่สุด…ตั้งแต่นี้ไป…ท่านคือสหายข้า!”

หนิงอ๋องยิ้มเอ่ยเสียงนุ่ม “ดี”

เวินหยางเดินโซๆ เซๆ ไปในตรอก รถม้าเขาจอดอยู่ที่นั่น

ชุนอิ๋งเห็นสภาพเมามายหัวราน้ำของคุณชายตัวเองแล้วเกิดกังวลใจขึ้นมา

หนิงอ๋องหยิบผ้ามาเช็ดมือตัวเอง แล้วหุบยิ้มลง “จัดการให้เรียบร้อยหน่อย”

คนสนิทขานรับ “พ่ะย่ะค่ะ!”

ชุนอิ๋งหน้าซีดเผือดทันที…

วันรุ่งขึ้นได้เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นในเมืองหลวง เวินหยางตายแล้ว

ระหว่างทางกลับบ้านรถม้าเสีย พลิกคว่ำลงสระเล็กๆ เมื่องมช่วยเวินหยางขึ้นมาได้ เวินหยางก็จมน้ำตายแล้ว

นายอำเภอเมืองหลวงดำเนินการใหญ่โตกับเรื่องนี้ ผลการตรวจสอบเป็นอุบัติเหตุ คนขับรถของเวินหยางไม่เห็นก้อนหินบนถนนจึงชนเข้า ล้อรถพัง เขากับเวินหยางตกน้ำทั้งคู่

คนขับรถแข็งใจฮึดว่ายขึ้นมา ทว่าเวินหยางเมาหนัก จึงไม่ได้โชคดีเพียงนั้น

ทว่าก็มีคนสงสัยว่าไม่ใช่อุบัติเหตุ

คนไม่น้อยในโรงน้ำชาต่างกำลังวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้

“ว่ากันว่าไท่จื่อเป็นคนฆ่า” ชายหนุ่มคนหนึ่งเอ่ย