บทที่ 424 แพะ (1)

หนิงอ๋องโยนช้อนลงถ้วยเสียงดังเคร้ง ก่อนมองนางนิ่ง แววตาไม่อ่อนโยนเหมือนดังก่อน ทั้งหนักอึ้งและลุ่มลึก “เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่”

หนิงอ๋องเฟยเงยหน้าขึ้น ดวงตากลมโตเหมือนเมล็ดซิ่งมองเขาไม่กะพริบ แย้มยิ้มเย้ยเล็กน้อย “ข้าไม่ได้คิดจะทำอะไร ข้าแค่อยากบอกฝ่าบาทว่าเรื่องพวกนั้นของฝ่าบาทข้าไปยุ่งไม่ได้ แต่หากใครจะฆ่ารุ่ยอ๋องเฟย ก็ข้ามศพข้าไปก่อน”

ดวงตาหนิงอ๋องหดเกร็ง ราวกับตกใจเป็นอย่างมาก แม้ว่าเขาจะฝึกนิสัยหนักแน่นดุจเขาไท่ซานสีหน้าไม่เปลี่ยนผันแล้ว แต่ยามนี้ก็อดแสดงสีหน้าเย็นชาออกมาไม่ได้

เขาจับข้อมือนางแน่น “เรื่องพวกนั้นของข้า เจ้าพูดมาให้ชัดๆ ว่ามันเรื่องไหนของข้ากันแน่!”

“ยาเย็นแล้วเพคะ” หนิงอ๋องเฟยแย้มยิ้ม แล้วชักมือกลับจากมือหนิงอ๋องอย่างเป็นธรรมชาติ แย่งถ้วยยาไปจากมือเขา นึกไม่ถึงว่านางที่ไม่ชอบขมมาตลอดกลับดื่มจนหมดภายในรวดเดียว ไม่เหลือไว้สักหยด

นางส่งถ้วยเปล่าให้หนิงอ๋อง “รบกวนฝ่าบาทช่วยวางให้ข้าหน่อย”

หนิงอ๋องมองนางอย่างลุ่มลึกแวบหนึ่ง แววตาเป็นประกายเย็นเยียบ ซับซ้อนและเดือดดาล…ทว่าสุดท้ายก็ข่มมันลงไปจนหมด เขารับถ้วยยามากระแทกลงบนโต๊ะ สงบสติอารมณ์ก่อนเอ่ยเสียงเบา “เจ้าพักผ่อนให้ดี ข้าจะให้คนไปส่งภรรยาน้องสามกลับ”

หนิงอ๋องเฟยเอ่ยเสียงนิ่ง “ได้ยินว่าอูโถวมีพิษไม่เท่ายาเบื่อหนู ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน ไม่เคยลองมาก่อน”

หนิงอ๋องลุกขึ้นเดินไปด้านนอกแล้ว ได้ยินประโยคนี้เข้าจึงหันขวับกลับมามองหนิงอ๋องเฟยก่อนจะเอ่ยขึ้น “พอได้แล้ว ฉู่เย่ว์! ข้าไม่ทำอะไรนางหรอก!”

ฉู่เย่ว์เป็นชื่อของหนิงอ๋องเฟย ซู่ซินเป็นชื่อเล่นของนาง

หลังจากแต่งงานเขาก็ไม่เรียกชื่อของนางอีกเลย

หนิงอ๋องเฟยชะงัก ก่อนจะแย้มยิ้มออกมา “ทางที่ดีฝ่าบาทจำคำของตัวเองเอาไว้ด้วยนะเพคะ”

หนิงอ๋องออกมาจากเรือนของหนิงอ๋องเฟย สีหน้าเขาเย็นยะเยือกดุจน้ำแข็ง

คนสนิทเร้นกายตามมา เอ่ยกับหนิงอ๋องว่า “นายท่าน อีกเดี๋ยวจะส่งหนิงอ๋องเฟยกลับไปจริงๆ หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ จะทรง…”

เขาเอ่ยพลางทำท่าปาดคอ

หนิงอ๋องมองเขาอย่างเย็นชา “เจ้าไปเอาความกล้าจากที่ใดมาถึงได้ถามเช่นนี้”

คนสนิทชะงัก “ฝ่าบาทเป็นคนตรัสมิใช่หรือว่าจัดการทางเชลยแคว้นเฉินไม่ได้ ไม่สู้รีบ…”

หนิงอ๋องเอ่ยด้วยแววตาเย็นเยียบ “รีบอะไร เรื่องของข้า เจ้ามีสิทธิมาตัดสินใจได้ตอนไหน”

คนสนิทประสานมือคำนับให้ “ข้าน้อยมิกล้า!”

หนิงอ๋องเอามือไพล่หลัง ทอดมองกลิ่นอายสารทฤดูเต็มสวน ก่อนเอ่ยเสียงนิ่ง “ส่งรุ่ยอ๋องเฟยกลับไป อย่าทำร้ายนาง”

คนสนิทอ้าปากค้าง “แต่ว่า…”

หนิงอ๋องข่มโทสะเอ่ย “นางถึงขั้นดื่มยาพิษมาบีบคั้นข้าแล้ว เจ้ายังคิดจะให้ข้าทำเช่นไรอีก!”

คนสนิทสีหน้าเปลี่ยนทันที รีบขานรับ “พ่ะย่ะค่ะ!”

“ช้าก่อน” คนสนิทกำลังจะไปส่งรุ่ยอ๋องเฟยกลับจวน หนิงอ๋องเรียกเขาไว้ “เมื่อวานมีใครมาที่จวนหรือไม่”

“เมื่อวานรึ” คนสนิทครุ่นคิดก่อนตอบ “หมอกู้จากเมี่ยวโส่วถังมาพ่ะย่ะค่ะ เหมือนว่าจะมาตรวจร่างกายซ้ำให้อ๋องเฟย”

“ตรวจซ้ำมันอีกสามวัน” หนิงอ๋องพึมพำ แววตาลุ่มลึกขึ้น เอ่ยต่อ “หมอกู้มาเมื่อใด มาก่อนที่อ๋องเฟยจะส่งคนไปรับรุ่ยอ๋องเฟยหรือว่าหลังจากนั้น”

“ก่อนพ่ะย่ะค่ะ” คนสนิทตอบ

หนิงอ๋องหรี่ตาลง

สามวันต่อมา หนิงอ๋องจับใครบางคนไปที่จวนรุ่ยอ๋อง คนที่ปรากฏตัวด้วยกันกับเขายังมีไท่จื่อด้วยอีกคน

ไท่จื่อเอ่ยอย่างฉงน “พี่ใหญ่ เหตุใดต้องเรียกข้าไปจวนรุ่ยอ๋องด้วยเล่า”

หนิงอ๋องเอ่ย “มีบางเรื่องที่ต้องพูดให้ชัดเจนต่อหน้าเจ้า น้องสามและภรรยาน้องสาม”

ไท่จื่อ “เรื่องใดรึ”

หนิงอ๋อง “อีกเดี๋ยวเจ้าก็รู้เอง”

รุ่ยอ๋องและชายาตกใจกันหมด เหตุใดไท่จื่อจึงลดตัวมาที่จวนรุ่ยอ๋องได้

จนกระทั่งหนิงอ๋องให้คนรับใช้พาตัวชายที่จับมัดแบบอู่ฮวา เข้ามาที่ลานของจวนรุ่ยอ๋อง พวกเขาต่างพากันตาโตทันที

“เวินหยาง” ไท่จื่อจำอีกฝ่ายได้เป็นคนแรก

ชายหนุ่มนามว่าเวินหยางผู้นี้ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นพี่ชายแท้ๆ ของเวินหลินหลังเอง ปีนี้อายุยี่สิบหก เป็นพวกลูกชายตระกูลร่ำรวยที่ไม่เล่าไม่เรียนไม่มีวิชาความรู้ใดๆ

เวินหยางเห็นไท่จื่อก็ร้องโอดโอยขึ้นมาทันที “ไท่จื่อ! ไท่จื่อช่วยข้าด้วย!”

ไท่จื่อถามอย่างไม่เข้าใจ “พี่ใหญ่ เหตุใดจึงจับเวินหยางมาเล่า”

พูดตามตรงว่าชื่อเสียงเวินหยางนั้นไม่ค่อยจะดีนัก ปกติไท่จื่อเฟยไม่อนุญาตให้ไท่จื่อไปมาหาสู่กันกับคนบ้านเดิมของนาง ไท่จื่อจึงทำได้แค่หลับตาข้างหนึ่ง

รุ่ยอ๋องและชายาก็มีสีหน้าฉงนเช่นกัน

หนิงอ๋องกดตามองต่ำไปยังเวินหยาง สีหน้าไร้ความอ่อนโยนอีกต่อไป ทว่ากลับอาบย้อมไปด้วยความเฉียบขาดและตรงไปตรงมา “ก่อนเทศกาลไหว้พระจันทร์สองวัน เจ้าลอบเข้าวังมาใช่หรือไม่”

เวินหยางถูกคนรับใช้ของหนิงอ๋องกดให้คุกเข่ากับพื้น อยากจะลุกขึ้นแต่กลับไร้เรี่ยวแรง “ขะ…ข้าไม่ได้ลอบเสียหน่อย…ข้าไปพบน้องสาวข้าต่างหาก!”

หนิงอ๋องเอ่ยเสียงเย็น “ไม่ได้โดนเรียกตัวก็คือลอบเข้ามานั่นแหละ เอาป้ายของตำหนักบูรพามาก็ไร้ประโยชน์!”

เวินหยางหดคอหนี

เวินหยางถือป้ายของตำหนักบูรพาเข้าวังมาไม่ใช่ครั้งแรกแล้ว เคยถูกจับได้อยู่สองครั้ง ไท่จื่อเฟยจึงริบป้ายคำสั่งคืน ทว่าในมือของมารดาไท่จื่อเฟยยังมีป้ายคำสั่งฉุกเฉินของตำหนักบูรพาอยู่ ไท่จื่อคิดว่าไอ้อกตัญญูนี่คงขโมยป้ายคำสั่งมาจากเวินฮูหยิน

หนิงอ๋องถามเวินหยางต่อ “วันนั้นเจ้าทำร้ายชุนอิ๋งใช่หรือไม่ ซ้ำยังข่มขู่ไท่จื่อเฟยด้วย”

ไท่จื่อชะงัก

กลับเป็นรุ่ยอ๋องเฟยที่สีหน้าพลันเปลี่ยน “ว่าอย่างไรนะ เขาเองรึ”

ไท่จื่อ “หมายความว่าอย่างไรที่ว่าเขาเองรึ”

หนิงอ๋องพยักหน้า “ถูกต้องแล้ว บุรุษหลังภูเขาจำลองวันนั้นก็คือเขา เขาเป็นคนสนทนากันกับไท่จื่อเฟย”

รุ่ยอ๋องเฟยปากอ้าตาค้าง “แล้วเชลย…”

หนิงอ๋องส่ายหน้า “แค่เข้าใจผิด ข้าตรวจสอบทางเชลยแคว้นเฉินแล้ว วันที่เกิดเรื่องเขาไม่ได้อยู่ในวัง มีคนเห็นเขาไปซื้อปลาแห้งที่ร้านตรงถนนตะวันออก”

ไท่จื่อเอ่ยอย่างสงสัย “พวกเจ้ากำลังคุยเรื่องอะไรกันอยู่ ข้าไม่เข้าใจ”

หนิงอ๋องมองเขาพลางเอ่ย “คืออย่างนี้ วันนั้นภรรยาน้องสามได้ยินไท่จื่อเฟยถูกคนข่มขู่อยู่ในวัง ไท่จื่อเฟยตบหน้าคนๆ นั้นไปฉาดหนึ่ง บังเอิญบนหน้าของเชลยแคว้นเฉินก็มีรอยฝ่ามืออยู่พอดี…”

หนิงอ๋องหยุดพูดแค่ตรงนี้

ไท่จื่อเข้าใจแล้ว สีหน้าเขาพลันเย็นชาทันที “พวกเจ้าเข้าใจหลินหลังผิดอย่างนั้นรึ”

รุ่ยอ๋องเฟยแววตาเป็นประกายวาบ

หนิงอ๋องรีบไกล่เกลี่ย “พวกเราจะเข้าใจภรรยาน้องสามผิดได้อย่างไร เรื่องที่มือสังการแคว้นเฉินลอบฆ่าเสด็จพ่อน้องรองลืมไปแล้วรึ แคว้นเฉินทะเยอทะยาน พวกเราแค่ห่วงว่าเชลยแคว้นเฉินจะทำร้ายไท่จื่อเฟยเข้า”

“อ่า…ใช่ แบบนั้นแหละ!” รุ่ยอ๋องรีบช่วยแก้ต่าง จะบอกว่าพวกเขาสงสัยไท่จื่อเฟยคบชู้สู่ชายนอกวังไม่ได้เด็ดขาด ยิ่งไปกว่านั้นจากหลักฐานในยามนี้ ดูเหมือนไท่จื่อเฟยจะโดนใส่ร้ายเสียแล้ว

สีหน้าไท่จื่อจึงได้คลายลง

หนิงอ๋องถามเวินหยางต่อ “วันนั้นเจ้าขู่อะไรไท่จื่อเฟย ทางที่ดีตอบมาตามตรงจะดีกว่า มิฉะนั้นต่อให้เจ้าเป็นพี่ชายแท้ๆ ของไท่จื่อเฟย ข้าก็จะไม่ปล่อยเจ้าไว้!”

แม้เวินหยางจะเป็นพี่ชายภรรยาของไท่จื่อ แต่ในใจไท่จื่อนั้นเวินหลินหลังสำคัญที่สุด ใครทำร้ายนางคนนั้นได้เป็นอริกับเขา

ไท่จื่อมองเวินหยางอย่างเย็นชา “เจ้าคุยอะไรกับหลินหลัง เจ้าขู่นางได้อย่างไร!”

เวินหยางก้มหน้าลง เอ่ยเสียงสั่น “ขะ…ขะ…ข้าเงินขาดมือน่ะ จึงไปขอเงินกับนางนิดหน่อย นางไม่ยอมให้ข้า ข้าจึงขู่นางว่า…หากไม่ให้ข้าจะไปก่อเรื่องในเมืองหลวง ให้ทั่วทั้งเมืองหลวงได้รู้ว่านางใจดำกับพี่ชายแท้ๆ ของตัวเอง ไม่กตัญญูรู้คุณ ไร้หัวจิตหัวใจ!”

หนิงอ๋องขมวดคิ้วเอ่ย “แค่นี้รึ เช่นนั้นเหตุใดนางต้องตบเจ้าด้วย”

เวินหยางพึมพำ “ข้าว่านางไปคำหนึ่ง”

สีหน้าไท่จื่อเขียวคล้ำทันที “เจ้าว่าอะไรหลินหลัง!”

เวินหยางกระแอมในลำคอ ท่าทางกล้ำกลืนฝืนทำ “ขะ…ข้าบอกว่านางใจเหี้ยมถึงเพียงนี้ สมน้ำหน้าที่ไม่มีลูก…”

ประโยคนี้ช่างทิ่มแทงใจนัก!

อย่าว่าแต่เวินหลินหลังจะตบหน้าเขาเลย ต่อให้เป็นไท่จื่อก็แทบจะตบปากเขาไปหลายๆ ฉาด!