ข้าหลวงสองท่านที่ได้รับพระบัญชาจากฮ่องเต้ถวายบังคมเคารพไท่จื่อกับเยี่ยนอ๋อง จากนั้นเอ่ยถามจ้าวซื่อหลางอย่างตรงไปตรงมา “ใต้เท้าจ้าว ในรายงานเจ้าบอกว่าเมืองจิ๋นหลี่มีผู้เสียชีวิตเพียงหลักสิบ ฝ่าบาทจึงส่งพวกข้ามาทำความเข้าใจกับสถานการณ์นี้อย่างละเอียด เหตุใดเหตุการณ์แผ่นดินไหวในเมืองจิ๋นหลี่ที่บ้านเรือนพังยับเยิน ตัวเลขผู้เสียชีวิตกลับน้อยยิ่งนัก”
จ้าวซื่อหลางเหลือบมองอวี้จิ่น เอ่ยขึ้น “ข้าหลวงทั้งสองท่านอาจจะยังไม่รู้ ที่ผู้เสียชีวิตในเมืองจิ๋นหลี่มีจำนวนน้อยขนาดนี้ เป็นเพราะโชคดีที่มีท่านอ๋อง!”
เยี่ยนอ๋องงั้นหรือ
ทั้งสองหันขวับมองอวี้จิ่น
อวี้จิ่นท่าทางนิ่งเฉย ดูคาดเดาไม่ได้
จ้าวซื่อหลางพูดอธิบายออกไป “เดิมไท่จื่อกับท่านอ๋องพักที่เมืองจิ๋นหลี่ ผลลัพธ์คืนวันนั้นมีเทพเข้าฝัน เตือนท่านอ๋องว่าที่เมืองจิ๋นหลี่จะเกิดแผ่นดินไหวขึ้น วันรุ่งขึ้นท่านอ๋องจึงเกลี้ยกล่อมชาวบ้านในเมืองให้อพยพย้ายออกไป เช่นนั้นจึงทำให้พวกชาวบ้านหลบหนีจากภัยพิบัติอันร้ายแรงนี้ได้…”
ผู้ตรวจการกับเสี่ยวเล่อจื่อหันมาสบตากัน รับรู้ได้ถึงความรู้สึกทึ่งจากนัยน์ตาของอีกฝ่าย
ไม่นึกเลยว่าจะมีเรื่องน่าแปลกเช่นนี้
ผู้ตรวจการนั้นโดดเด่นมาจากการสอบคัดเลือกขุนนาง จึงไม่ค่อยเชื่อเท่าไร หลังจากได้สติกลับมาก็เอ่ยขึ้นเสียงเรียบ “ใต้เท้าจ้าวพาข้าไปตรวจดูในเมืองที”
เสี่ยวเล่อจื่อชำเลืองมองเยี่ยนอ๋องสักพัก
ท่านเทพเตือนเยี่ยนอ๋องงั้นหรือ
ท่านเทพไม่พิถีพิถัน หรือเยี่ยนอ๋องไม่พิถีพิถันกันแน่ ทำไมถึงมองข้ามไท่จื่อไปได้
ภายใต้ความรู้สึกสงสัยก็แอบมองไปที่ไท่จื่อ ทว่าก็เห็นเพียงแค่สีหน้าสบายอกสบายใจ
เสี่ยวเล่อจื่อแอบถอนหายใจ รู้สึกสงสัยมากยิ่งขึ้น
ไม่รู้จริงๆ เลยว่าทำไมคนเหล่านี้ถึงพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเทพเข้าฝันเตือนเยี่ยนอ๋อง แล้วไท่จื่อจะเอาหน้าไปวางไว้ที่ไหน
อันที่จริงนี่เป็นครั้งที่ร้อยแล้วที่ไท่จื่อรู้สึกนึกเสียใจทีหลัง
เรื่องน่าชื่นชมเช่นนี้กลับไม่รั้งไว้ ช่างน่าเสียดายที่ไม่ได้ทำจริงๆ เลย!
เสียดายที่เรื่องเทพเข้าฝันเตือนเจ้าเจ็ดได้ถูกเล่าลือออกไปแล้ว เขาจึงไม่อาจยึดมาเป็นของตัวเองได้
แต่ว่า…หึ จ้าวซื่อหลางกล้าพูดเท็จต่อหน้าข้าหลวงที่มาตรวจตรา นี่เป็นการหลองลวงขุนนาง กลับไปเขาจะไปฟ้องเสด็จพ่อ!
แม้จะควบม้ามาผู้ตรวจการและคณะก็ใช้เวลาเกือบสองวันจากเมืองหลวงมาถึงที่นี่ ทว่าตอนนี้ทางจิ่งหมิงฮ่องเต้กลับได้รับจดหมายรายงานฉบับที่สองของจ้าวซื่อหลางแล้ว
ซึ่งการส่งจดหมายออกไปด้วยความเร่งด่วนในระยะทางแปดร้อยลี้นั้นมันเร็วกว่าปกติอยู่แล้ว
เมื่อมีเวลาในการเขียนมากพอ จดหมายรายงานจึงหนาขึ้นเยอะ แถมยังเขียนโดยละเอียดว่าอวี้จิ่นอาศัยข้ออ้างว่ามีเทพมาเข้าฝันเตือนเป็นการเกลี้ยกล่อมให้ชาวบ้านยอมอพยพไป ถึงได้หลีกเลี่ยงการสูญเสียคนไปได้เป็นจำนวนมาก และความจริงที่เยี่ยนอ๋องสามารถล่วงรู้เหตุการณ์ในอนาคตว่าจะเกิดแผ่นดินไหวขึ้นนั้นก็เป็นเพราะแม่ทัพเซี่ยวเทียนสุนัขยศเทียบเท่าขุนนางขั้นห้าตัวนั้น
จิ่งหมิงฮ่องเต้กำจดหมายในมือไว้แน่น ทั้งประหลาดใจและดีใจ
ประหลาดใจเพราะไม่นึกเลยว่าแค่สุนัขตัวเดียวจะรู้ล่วงหน้าได้ว่าจะเกิดแผ่นดินไหว ส่วนที่ดีใจก็เพราะชาวบ้านเมืองจิ๋นหลี่หลบเลี่ยงภัยพิบัติได้สำเร็จ ไท่จื่อและคนอื่นๆ ก็ยังอยู่สบายดี
ถ้าหากไท่จื่อและคนอื่นๆ อยู่ในเมืองต่อไป ไม่อยากจะคิดถึงผลที่ตามมาเลย…
จิ่งหมิงฮ่องเต้ตัวสั่นเทิ้ม แอบคิดอยู่ในใจ รอไท่จื่อและคณะกลับมาที่เมืองหลวง จะต้องถามดูว่าเจ้าหน้าโง่คนไหนเป็นคนเสนอความเห็นให้ไปอยู่เมืองจิ๋นหลี่ พาทุกคนไปซวยจริงๆ เลย!
จิ่งหมิงฮ่องเต้แอบบันทึกไว้ในใจ แล้วตรัสพูดกับพานไห่ “เจ้ายังจำแม่ทัพเซี่ยวเทียนที่ข้าพระราชทานไปเมื่อหลายปีก่อนได้หรือไม่”
พานไห่ตะลึงเล็กน้อย “ฝ่าบาทหมายถึงสุนัขตัวใหญ่ที่เยี่ยนอ๋องเลี้ยงตัวนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้เหลือบมองเขา แล้วตรัสแก้ให้ถูกต้อง “นั่นเป็นขุนนางที่ได้รับการแต่งตั้งจากฮ่องเต้เชียวนะ”
พานไห่เบะปาก แล้วยิ้มพูดออกไป “กระหม่อมผิดไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมลืมคุณงามความดีของแม่ทัพเซี่ยวเทียนไปชั่วขณะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้วางจดหมายรายงานลง ถอนหายใจยาวแล้วตรัสออกไป “โชคดีที่ครั้งนี้มีเซี่ยวอ้ายชิง รอพวกเขากลับมายังเมืองหลวง เห็นทีข้าต้องเรียกแม่ทัพเซี่ยวเทียนเขาวังมาซะแล้ว”
“…” เซี่ยวอ้ายชิงงั้นหรือ
พานไห่หนังตากระตุก ไม่กล้ายิ้ม ได้แต่พูดเยินยอประจบออกไปตามน้ำ “ทั้งหมดล้วนเป็นพระมหากรุณาธิคุณของฝ่าบาท ถึงได้มีแม่ทัพเซี่ยวเทียนผู้กล้าหาญปรากฏตัวขึ้นมาบนโลกนี้ แม่ทัพเซี่ยวเทียนก็เหมือนจอหงวนหลางที่สอบผ่านสามขั้นติดกันในปีที่แล้ว ล้วนเป็นนิมิตมงคลของรัชสมัยของพวกเรา”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ได้ยินก็พยักหน้าเห็นด้วยรัวๆ
เรื่องที่สร้างความว้าวุ่นให้จิตใจนั้นมีมากเกินไปแล้ว เช่นนั้นยิ่งมีเรื่องมงคลเพิ่มพูนมากขึ้นก็ยิ่งดี
เพียงแต่ว่า…นิมิตมงคลทำไมถึงเกิดขึ้นที่เจ้าเจ็ดกัน
ความคิดนี้ผุดขึ้นมา ทว่าก็ถูกจิ่งหมิงฮ่องเต้กดเอาไว้
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม สามารถช่วยคนเอาไว้ได้เยอะขนาดนี้เป็นเรื่องที่ดีมากแล้ว ประเดี๋ยวจะต้องตบรางวัลให้อย่างงาม
“พานไห่ เจ้าว่าควรจะเลื่อนตำแหน่งแม่ทัพเซี่ยวเทียนดีหรือไม่”
พานไห้เอามือประสานที่หน้าท้องโค้งคำนับ “ฝ่าบาททรงพระมีพระปรีชาญาณยิ่งนัก”
อย่างไรก็เป็นเพียงแค่สุนัขตัวหนึ่ง ฝ่าบาทว่าอย่างไรก็เอาตามนั้น
ภายใต้การนำของจ้าวซื่อหลาง หลังจากที่ผู้ตรวจการกับเสี่ยวเล่อจื่อเห็นเมืองจิ๋นหลี่ที่เกิดแผ่นดินไหวขึ้น
เสี่ยวเล่อจื่อถึงกับตกใจอ้าปากค้าง “ไม่นึกเลยว่าจะรุนแรงถึงเพียงนี้”
ผู้ตรวจการเหงื่อแตกพลั่กออกมาเต็มหน้าผาก พลันซักถามออกไป “มีผู้เสียชีวิตเพียงหลักสิบจริงรึ”
จ้าวซื่อหลางเอ่ยตอบ “มีผู้เสียชีวิตหกสิบเอ็ดคน โชคดีมีผู้รอดชีวิตหนึ่งคน ตอนนี้มีศพที่ชำระสะสางได้ยี่สิบสามศพ ส่วนศพที่เหลือนั้นค่อนข้างยากในการชำระสะสาง…”
“ผู้รอดชีวิตอยู่ที่ใด” เวลานี้ ผู้ตรวจการสงสัยมากว่าเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งนี้มันรุนแรงขนาดไหน
แผ่นดินไหวเกิดขึ้นเมื่อยามดึก เป็นเวลาที่ทุกคนหลับไหล ถ้าหากว่าตอนนั้นชาวบ้านทุกคนอยู่ในเมือง ไม่อยากจะคิดถึงผลที่ตามมาเลย
จ้าวซื่อหลางเอ่ยพูดออกไป “ผู้ที่รอดชีวิตเป็นเด็กผู้หญิงอายุสามขวบ ท่านอ๋องเป็นคนช่วยออกมาด้วยตนเอง และได้ส่งตัวไปให้หมอในเมืองอูจีดูแลแล้ว ถ้าหากว่าท่านข้าหลวงอยากจะพบ รอกลับไปที่เมืองอูจีก็จะได้พบขอรับ”
ผู้ตรวจการพยักหน้า ละสายตาจากภาพความสดสยองของซากบ้านเรือนที่พังพินาศ แล้วเอ่ยพูดกับจ้าวซื่อหลางออกไป “เช่นนั้นไม่ต้องรีบกลับ ข้ายังอยากไปดูสถานที่พักอาศัยของชาวบ้านผู้ประสบภัยของเมืองจิ๋นหลี่” ถึงแม้ว่าตำแหน่งผู้ตรวจการจะดูไม่สูงนัก ทว่าอำนาจกลับยิ่งใหญ่ โดยเฉพาะเมื่อได้รับพระบัญชาให้ออกมาตรวจตราเช่นนี้ ไม่อาจมีใครกล้าหือได้
แน่นอน เสี่ยวเล่อจื่อที่เป็นข้าหลวงก็ยิ่งไม่กล้าหือ
จ้าวซื่อหลางนำทางด้วยตัวเอง นำข้าหลวงสองท่านเดินไปจนถึงที่พักที่จัดหาให้กับชาวบ้านเมืองจิ๋นหลี่
“ใต้เท้าจ้าวไปจัดการธุระของท่านเถอะ ข้าจะเดินไปดูรอบๆ ด้วยตัวเอง”
อันที่จริงจ้าวซื่อหลางยังมีอีกหลายเรื่องที่ต้องจัดการ เขารู้อยู่แก่ใจว่าผู้ตรวจการอยากสลัดเขาออกเพื่อไปตรวจตราสถานการณ์ เช่นนั้นจึงรู้ตัวดีว่าควรหลีกทางให้
หลายวันมานี้เขายอมรับเลยว่าไม่มีความรู้สึกละอายแก่ใจเลย เขาได้พยายามจนถึงที่สุดแล้ว จึงไม่กลัวว่าผู้ใดจะมาตรวจ
ซึ่งสิ่งที่ผู้ตรวจการอยากจะตรวจตราแน่นอนว่าไม่ใช่จ้าวซื่อหลาง ทว่าเป็นเรื่องที่มีเทพเข้าฝันเตือนเยี่ยนอ๋องต่างหาก
เรื่องน่าประหลาดเช่นนี้ เขายังคงรู้สึกสงสัยอยู่
เขาขวางชาวบ้านคนหนึ่งไว้ ผู้ตรวจการเอ่ยถามออกไป “ลุงเป็นชาวบ้านเมืองจิ๋นหลี่ใช่หรือไม่”
หลายวันมานี้ได้พบเจอกับขุนนางมากมาย แม้แต่ท่านอ๋องก็ยังเจอได้ทุกวัน เขาไม่กลัวอะไรมากมายมาตั้งนานแล้ว จึงตอบไปทันควัน “ใช่ขอรับที่นี่นอกจากพวกใต้เท้า ล้วนเป็นชาวบ้านเมืองจิ๋นหลี่”
“ขอถามลุงสักหน่อย เหตุใดพวกเจ้าถึงได้ย้ายออกมาจากเมืองก่อนเกิดแผ่นดินไหว”
เมื่อลุงได้ยินก็คุกเข่าลงอย่างรวดเร็ว แล้วโน้มศีรษะลงแนบกับพื้นไปทางใดทางหนึ่ง
ปฏิกิริยาเช่นนี้ทำเอาผู้ตรวจการตะลึง หันไปมองเสี่ยวเล่อจื่อโดยไม่รู้ตัว
นี่มันสถานการณ์อะไรกัน
หากบอกว่าเป็นเพราะหวาดกลัวต่อเหล่าขุนนาง ก็ควรจะโน้มศีรษะแนบพื้นไปแต่แรก ปฏิกิริยาเช่นนี้มันไม่ดูโง่เขลาไปหน่อยหรือ
อีกอย่าง ทิศทางมันไม่ถูกนะ
ลุงแก่ลุกขึ้นมา เช็ดที่หางตาพร้อมกับพูดขึ้น “ใต้เท้าอย่าได้หาว่าข้าประหลาดเลย ข้าน้อยได้ยินท่านถามเช่นนี้ ในใจก็รู้สึกฮึกเหิมออกมาอย่างอดไม่ได้ พวกเราเหล่าชาวบ้านในเมืองสามารถย้ายออกมาได้ก่อนเพราะโชคดีที่มีท่านอ๋อง…”
เมื่อได้ยินลุงแก่ชื่นชมสรรเสริญอยู่ครู่หนึ่ง ผู้ตรวจการก็อดทนต่อไปไม่ไหวจึงโบกมือปัดออกไป “ลุงไปจัดการเรื่องตัวเองได้แล้ว”
ทันทีที่ลุงแก่เดินจากไป ผู้ตรวจการกับเสี่ยวเล่อจื่อก็หันมาสบตากัน แล้วก็คิดเหมือนกันโดยมิได้นัดหมาย หลังจากเหตุการณ์นี้ เกรงว่าชื่อเสียงของเยี่ยนอ๋องคงเลื่องลือไปทั่วทั้งพิภพ