เมื่อกลับมายังเมืองอูจี ผู้ตรวจการได้พบกับนิวนิวผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว
เด็กน้อยยังคงดูไร้ชีวิตชีวาเล็กน้อย ใบหน้าซีดเผือด ดวงตาแดงก่ำ แค่ดูก็รู้ว่าผ่านการร้องไห้มาเป็นเวลานาน
ผู้หญิงที่ดูแลเด็กสาวเช็ดน้ำตาพร้อมกับพูดขึ้น “เด็กเอาแต่โวยวายจะไปหาพ่อกับแม่ บาปกรรมจริงๆ เลย”
“เจ้าชื่อนิวนิวหรือ” เมื่อเห็นเด็กสาวที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับลูกสาวตัวเองแล้วคิดว่าทั้งพ่อทั้งแม่ของเด็กสาวตายไปแล้ว ผู้ตรวจการก็ใจอ่อน
เด็กน้อยมองผู้ตรวจการอย่างขี้ขลาดและหวาดกลัว พยักหน้าออกไป ดวงตาสีดำราวกับลูกองุ่นชำเลืองมองไปที่ประตูตลอด
“เจ้ากำลังรออะไรอยู่หรือ”
เด็กสาวเม้มริมฝีปากลง ในที่สุดก็อ้าปากพูด “ข้ากำลังรอพี่ชายรูปงาม”
ผู้ตรวจการได้ตะลึงไปครู่หนึ่ง
เด็กสาวพูดเสริม “พี่ชายรูปงามที่อุ้มข้า…”
ผู้ตรวจการลูบคางที่ไร้เครา ทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก ไร้ซึ่งความสงสัยต่อเรื่องที่จ้าวซื่อหลางบอกว่าเยี่ยนอ๋องเป็นคนช่วยเด็กออกมา
มองไปที่เด็กน้อยผู้น่าสงสาร ผู้ตรวจการเงียบไปครู่หนึ่ง
เด็กคนนี้เป็นผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวที่อยู่ในเมือง และเยี่ยนอ๋องก็เป็นผู้ที่ลงไปช่วยโดยไม่สนใจความปลอดภัยของตนเอง…
ความประทับใจที่ผู้ตรวจการอายุน้อยมีต่ออวี้จิ่นดีขึ้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
ยามรัตติกาล ไฟในห้องของผู้ตรวจการยังคงสว่างจ้า เมื่อเขียนจดหมายรายงานหนาเป็นปึกเสร็จ ก็ปิดหน้าซองลง จากนั้นก็เรียกม้าเร็วให้นำไปส่งในเมืองหลวง
หลังจากจิ่งหมิงฮ่องเต้อ่านจดหมายของจ้าวซื่อหลางต่อ ในที่สุดก็ได้รับจดหมายรายงานจากผู้ตรวจการกับเสี่ยวเล่อจื่อที่แยกกันส่งมา เมื่อเทียบกันดูแล้วก็ต่างจากรายงานของจ้าวซื่อหลางไม่มาก
บรรยากาศเงียบไปพักหนึ่ง จิ่งหมิงฮ่องเต้เอ่ยกำชับพานไห่ออกไป “ประกาศพระราชประสงค์ออกไปว่าเรียกตัวไท่จื่อ เยี่ยนอ๋อง จ้าวหรูชิ่งซื่อหลางฝ่ายขวาประจำกรมพระคลังและคณะกลับมาที่เมืองหลวงให้หมด”
“พ่ะย่ะค่ะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้คิดอะไรบางอย่างออก จึงตรัสเสริมออกไป “ใช่แล้ว เตือนเยี่ยนอ๋องให้พาแม่ทัพเซี่ยวเทียนเข้าวังมาด้วย”
พานไห่รีบแจ้งพระประสงค์ออกไปอย่างรวดเร็ว
หลังจากผ่านไปสองวันไท่จื่อและคณะก็ได้รับทราบพระราชประสงค์ กว่าจะกลับถึงเมืองหลวง ก็ผ่านไปครึ่งเดือนห้าแล้ว
อวี้จิ่นเหลือบมองไปยังทิศทางที่ตั้งจวนเยี่ยนอ๋อง ถึงแม้จะอยากกลับไปที่จวนเร็วๆ แต่ก็จำเป็นต้องตามทุกคนเข้าวังไปก่อน
“นำตัวเด็กทั้งสองคนนี้ไปที่จวนเยี่ยนอ๋องก่อน แล้วบอกพระชายาเยี่ยนอ๋องว่าข้ากลับมาแล้ว ไปเข้าพบเสด็จพ่อแล้วจะรีบกลับจวน” อวี้จิ่นมอบหมายงานให้หลงต้านออกไป
กลับจวน…แค่คิดถึงคำนี้ออกมาก็รู้สึกหวานปานน้ำผึ้ง ทำเอาเขามีความสุขเอามากๆ
ออกจากเรือนไปนานขนาดนี้กว่าจะได้กลับมา ไม่รู้ว่าตาแก่มีเรื่องอะไรจะพูด เหตุใดต้องเป็นเวลานี้ด้วย
เสียเวลาไปเจอเมียรัก ในใจอวี้จิ่นจิ่งหมิงฮ่องเต้เปลี่ยนเป็นตาแก่ไปอย่างรวดเร็ว
เอ้อร์หนิวก็รู้สึกไม่พอใจเช่นกัน
จากบ้านไปนาน มันคิดถึงรัง คิดถึงนายหญิง แล้วก็เนื้อวัวต้มพะโล้ ขาหมูบนคลุกเครื่องปรุงรส เนื้อนึ่ง…
คิดอยู่พักหนึ่ง สุนัขตัวโตก็ยิ่งไม่พอใจ เดินตามอวี้จิ่นเข้าวังไปอย่างหมดอาลัยตายอยาก
เมื่อเหล่าข้าหลวงที่อยู่นอกห้องทรงพระอักษรเห็นทุกคนมาก็รีบไปรายงาน
จิ่งหมิงฮ่องเต้ที่รออยู่ในห้องทรงพระอักษนแทบจะอดใจรอต่อไปไม่ไหวแล้ว จึงให้เรียกทุกคนเข้ามาอย่างรวดเร็ว
ภายในห้องทรงพระอักษรมีคนแห่กันเข้ามาจำนวนไม่น้อย แวบแรกที่จิ่งหมิงฮ่องเต้เห็นก็คือชายหนุ่มอันเลอค่าสง่างาม
ไม่ใช่เพราะว่าเขาเดินมาตรงหน้า แต่เพราะไม่ว่าด้านหน้าจะมีคนเยอะเพียงใดก็ไม่อาจบดบังรัศมีอันเปล่งประกายของเขาได้
บนโลกนี้มักจะมีคนเช่นนี้อยู่เสมอ ไม่ว่าจะยืนอยู่ในฝูงคนอย่างเงียบๆ ก็ยังคงเป็นดั่งหงส์ในฝูงกา สามารถมองเห็นได้เพียงแวบเดียว
เมื่อจิ่งหมิงฮ่องเต้เลื่อนสายตามองลงไปข้างล่าง ก็เห็นสุนัขตัวโตที่ขนนุ่มสลวย
อืม เซี่ยวอ้ายชิงอ้วนขึ้นเล็กน้อย…
เพิ่งมีความคิดนี้แวบผ่านหัวจิ่งหมิงฮ่องเต้ไป ก็ได้ยินเสียงถวายบังคมขึ้นมา “ถวาย…”
“ไม่ต้องมีพิธีรีตองมาก”
จิ่งหมิงฮ่องเต้มองไปยังไท่จื่อ เห็นไท่จื่ออ้วนขึ้นกว่าก่อนที่จะออกจากเมืองหลวงไปเสียอีก สีหน้าขรึมลงทันที
ไปสงเคราะห์ผู้ประสบภัยไม่ใช่รึ แค่ดูก็รู้แล้วว่าไอ้ลูกสารเลวคนนี้ไม่ได้ออกแรงทำอะไรเลย!
สำหรับการแสดงออกของไท่จื่อตอนที่อยู่ข้างนอกนั้นเป็นอย่างไร จิ่งหมิงฮ่องเต้อ่านจากจดหมายรายงานของจ้าวซื่อหลาง ผู้ตรวจการและเสี่ยวเล่อจื่อหมดแล้ว และรู้สึกตะหงิดๆ อยู่ในใจ
แน่นอนว่าทั้งสามคนนี้ไม่มีใครกล้าเอ่ยปากพูดหรอกว่าไท่จื่อไม่ดี มีแม้กระทั้งเอ่ยชมไท่จื่อสองสามประโยคด้วยซ้ำ
ทว่าคำชื่นชมเหล่านี้ คิดว่าจิ่งหมิงฮ่องเต้จะไม่เข้าใจหรือ
ไท่จื่อเป็นตัวแทนเขาไปปลอบขวัญผู้ประสบภัย ทว่า เหตุใดในรายงานจึงไม่ยกย่องสรรเสริญเขากัน
เจ้าคนไร้ความสามารถ!
จู่ๆ จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็ทำหน้าเมินเฉยทำให้จ้าวซื่อหลางรู้สึกไม่เข้าใจเล็กน้อย
ว่ากันตามจริงครั้งนี้ไม่ได้ทำคุณงามความดีก็ต้องทำงานหนัก ฝ่าบาทหมายความว่าอย่างไรกัน
เข้าใจแล้ว จะต้องเป็นเพราะไม่พอใจที่ใช้เงินสงเคราะห์ผู้ประสบภัยเกินแน่เลย!
เมื่อคิดเช่นนี้ จ้าวซื่อหลางก็ได้แต่ก่นด่าไท่จื่ออยู่ในใจ
จิ่งหมิงฮ่องเต้มองไปทางจ้าวซื่อหลาง สีหน้าผ่อนคลายลง “ลำบากจ้าวอ้ายชิงแล้ว”
จ้าวซื่อหลางรีบเอ่ยตอบทันควัน “แบ่งเบาควางกังวลของฝ่าบาท เป็นหน้าที่ของพวกกระหม่อมอยู่แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“ข้าได้ยินมาว่าจ้าวอ้ายชิงลงมือทำทุกอย่างด้วยตัวเอง ข้าก็โล่งอกไปที ถ้าหากว่าราชสำนักมีขุนนางเยี่ยงจ้าวอ้ายชิง เช่นนั้นข้าก็คงนอนหลับได้อย่างสบายใจ”
แม้จ้าวซื่อหลางจะพูดถ่อมตัว ทว่าในใจกลับรู้สึกเบิกบานใจมาก เพียงรอให้พรุ่งนี้เช้าฝ่าบาททรงเอ่ยชมต่อหน้าขุนนางและนายพลของราชสำนักอีกสักรอบ ก็ไม่มีอะไรให้เสียดายแล้ว
เมื่อเอ่ยชมจ้าวซื่อหลางออกไปแล้ว จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็มองไปทางอวี้จิ่น “องค์ชายเจ็ด ครั้งนี้เจ้าทำได้ดีมาก ช่วยประชาชนได้หนึ่งพันกว่าคน นี่เป็นบุญบารมีอันใหญ่หลวง ไม่ทำให้ข้าผิดหวังเลย…”
ไท่จื่อได้ยินก็นึกน้อยใจ
เป็นคุณงามความดีของเอ้อร์หนิวชัดๆ ทำไมถึงกลายเป็นของอวี้จิ่นผู้เดียวล่ะ
สุดท้ายก็ยังมีสติอยู่ ไท่จื่อจึงยับยั้งตัวเองไม่ให้พูดเรื่องจ้าวซื่อหลางหลอกลวงประชาชนออกมา
หึ รออีกเดี๋ยวเขาจะแอบบอกเสด็จพ่อ!
อวี้จิ่นเอ่ยตอบสีหน้าเรียบเฉย “เสด็จพ่อตรัสผิดแล้ว กระหม่อมเพียงแค่ทำไปดั่งใจคิด ไม่ได้คิดว่ามันจะเป็นบุญบารมีหรือไม่”
“ทำไปดั่งใจคิดงั้นหรือ” จิ่งหมิงฮ่องเต้ตะลึงไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มออกมา “ทำดั่งใจคิดถึงจะดี ทำดั่งใจคิดสิถึงจะดี”
พานไห่ชำเลืองมองอวี้จิ่น คิดในใจ ดูเหมือนในใจของฝ่าบาทเยี่ยนอ๋องจะสำคัญมากขึ้นแล้ว ไม่รู้ว่าในอนาคตเยี่ยนอ๋องจะโชคดีอะไรอีก…
พานไห่ไม่กล้าคิดไปไกล หลังจากตัดสินใจเงียบๆ ก็ทำได้เพียงพยายามแสดงออกต่อเยี่ยนอ๋องให้ดี อย่างน้อยก็ไม่มีผลร้าย
ถึงแม้จิ่งหมิ่งฮ่องเต้จะพอใจกับการแสดงออกของอวี้จิ่นครั้งนี้มาก แต่อย่างไรก็เป็นลูกของตัวเอง หากชมมากเกินไปจะดูไม่งาม เขาเลื่อนสายตาลงไปมองเอ้อร์หนิว
“นี่คือแม่ทัพเซี่ยวเทียนที่ข้าเคยบำเหน็จรางวัลให้ใช่หรือไม่”
เอ้อร์หนิวได้ยินก็รีบลุกขึ้นมา
พานไห่เข้ามากั้นด้านหน้าจิ่งหมิงฮ่องเต้อย่างรวดเร็ว
“พานไห่ ถอยไป” จิ่งหมิงฮ่องเต้เอ่ยเสียงเรียบ
สุนัขชาญฉลาดที่สามารถล่วงรู้อันตรายได้ แถมยังสามารถค้นเจอผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวได้อีก จะมากัดคนพร่ำเพรื่อตามอำเภอใจเยี่ยงหมาบ้าได้อย่างไร
ถ้าหากสุนัขอันชาญฉลาดกัดคน เช่นนั้นก็ต้องมีเหตุผล
อวี้จิ่นไม่นึกเลยว่าจิ่งหมิงฮ่องเต้จะคิดเช่นนี้ แต่กลัวว่าเขาจะเข้าใจผิดจึงรีบพูดอธิบายออกไป “เสด็จพ่อ เอ้อร์หนิวให้ท่านดูป้ายที่คอของมันพ่ะย่ะค่ะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้จ้องมอง ที่แท้ตรงคอของสุนัขตัวโตก็มีป้ายทองแดงห้อยอยู่ บนนั้นมีตัวอักษรขึ้นอยู่ลางๆ
เอ็อร์หนิวเห็นว่าจิ่งหมิงฮ่องเต้ดูแล้ว จึงวางสองเท้าหน้าลงที่เดิม
จิ่งหมิงฮ่องเต้ทำหน้าดีใจออกมาทันควัน “ที่แท้แม่ทัพเซี่ยวเทียนที่ข้าบำเหน็จเป็นรางวัลให้ช่างเป็นสุนัขที่ฉลาดเสียจริง เพียงแต่ว่าปลอกคอเล็กไปนิดหน่อย เดี๋ยวต้องเปลี่ยนใหม่ให้เซี่ยวอ้ายชิงเสียแล้ว”
อืม เซี่ยวอ้ายชิงตัวอ้วนขึ้นเล็กน้อยจริงๆ แทบจะมองไม่เห็นป้ายทองแดงที่ห้อยคออยู่แล้ว…