เมื่อเอ่ยชมเอ้อร์หนิวเสร็จ จิ่งหมิงฮ่องเต้ถึงได้หันมามองไท่จื่อ ตรัสด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ไท่จื่อก็ไม่เลว”
ไท่จื่อแทบจะร้องไห้โฮออกมา
คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะได้รับคำชมน้อยกว่าเอ้อร์หนิว!
รอจนทุกคนออกไปหมด ในห้องไม่มีคนนอกแล้ว จิ่งหมิงฮ่องเต้จ้องไปที่ไท่จื่อ
ไท่จื่อถูกมองจนอยู่ไม่สุข ยิ้มแห้งออกมาแล้วเอ่ยขึ้น “เสด็จพ่อ…”
“ไท่จื่อออกเดินทางไปครั้งนี้รู้สึกอย่างไรบ้าง” จิ่งหมิงฮ่องเต้ตรัสถามเสียงเรียบ
ไท่จื่อตะลึงไปครุ่หนึ่ง รีบเอ่ยพูด “ชาวบ้านผู้ประสบภัยน่างสงสารมาก ลูกทนเห็นไม่ได้จึง…”
รู้จักสงสารชาวบ้านก็ถือว่าไม่เลว
จิ่งหมิงฮ่องเต้พยักพระพักตร์ลงเงียบๆ ตรัสพูดด้วยสีพระพักตร์เรียบเฉย “ชาวบ้านผู้ประสบภัยเหล่านี้ล้วนเป็นประชาชนของต้าโจว หากพวกเขาประสบภัยพวกเราก็เหมือนประสบภัยไปด้วย เจ้าจงจำไว้”
ไท่จื่อพยักหน้ารัว “ลูกจะจำไว้พ่ะย่ะค่ะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้เปลี่ยนหัวข้อสนทนา “แต่ว่าเจ้าต้องจำไว้ด้วย หากไร้ซึ่งกฎเกณฑ์ก็ไม่อาจมีกรอบการควบคุมได้ ถึงชาวบ้านผู้ประสบภัยจะน่าสงสาร แต่การจัดการดูแล ช่วยเหลือเรื่องเงินทองว่าต้องให้เท่าไหร่หลังจากประสบภัย เรื่องเหล่านี้ล้วนต้องมีระเบียบกฎเกณฑ์ ไม่อาจอาศัยเพียงแค่ความรู้สึกส่วนตัวเพิ่มหรือลดตามอำเภอใจได้ ไม่เช่นนั้นก็จะสร้างความลำบากขึ้นมาโดยไม่จำเป็น…”
ไท่จื่อได้ยินก็โมโห พูดพึมพำขึ้น “ตาแก่จ้าวซื่อหลาง ไม่นึกเลยว่าจะกล้าฟ้อง!”
“เจ้าว่าอะไรนะ” ไท่จื่อบ่นอยู่ในลำคอ จิ่งหมิงฮ่องเต้จึงได้ยินไม่ชัด
“มีเรื่องหนึ่ง ลูกไม่รู้ว่าควรพูดหรือไม่…”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ที่เดิมไม่พอใจกับการออกไปปฏิบัติงานครั้งนี้ของไท่จื่ออยู่แล้ว ได้ยินเข้าก็ตรัสออกไปด้วยความโมโห “มีอะไรก็พูดมา อย่าได้เอานิสัยไม่ดีของเด็กน้อยมาใช้!”
ไท่จื่อชะงัก รู้สึกน้อยใจ
ที่แท้เสด็จพ่อไม่ชอบเขา เขาพูดอะไรก็ผิด
ถึงแม้จะรู้สึกทุกข์ใจ แต่ก็ไม่กล้าลังเลอีก ไท่จื่อเอ่ยพูดสีหน้าจริงจัง “เสด็จพ่อ จ้าวซื่อหลางหลอกลวงประชาชนพ่ะย่ะค่ะ!”
จิ่งหมิงฮ่องเต้พระเนตรกระตุก จ้องไท่จื่อเขม็ง
ไท่จื่อเอ่ยพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “เดิมนั้นไม่มีเทพเข้าฝันเตือนเจ้าเจ็ด สุนัขที่เจ้าเจ็ดเลี้ยงต่างหากที่ล่วงรู้ว่าเมืองจิ๋นหลี่จะเกิดแผ่นดินไหวขึ้น เพียงแต่ทุกคนกังวลว่าชาวบ้านแห่งเมืองจิ๋นหลี่จะไม่เชื่อ ถึงได้อ้างเรื่องมีเทพมาเตือนเจ้าเจ็ดในฝัน…”
เขามองดูไท่จื่อที่พูดไม่หยุดอยู่เงียบๆ ความโกรธในใจของจิ่งหมิงฮ่องเต้คุกรุ่นยิ่งขึ้นกว่าเดิม
“เสด็จพ่อ จ้าวซื่อหลางรู้ความจริงอยู่แท้ๆ ทว่ากลับใช้เหตุผลเรื่องมีเทพมาเข้าฝันเตือนเจ้าเจ็ดเพื่ออ้างกับผู้ตรวจการ นี่มันหลอกลวงชัดๆ…”
“พอได้แล้ว!” จิ่งหมิงฮ่องเต้ตบฉาดลงบนโต๊ะอย่างแรง
ไท่จื่อน้ำเสียงอึกอัก มองจิ่งหมิงฮ่องเต้ด้วยสีหน้าประหลาดใจ
พระพักตร์จิ่งหมิงฮ่องเต้เต็มไปด้วยความกริ้ว ชี้หน้าด่าไท่จื่อออกไป “เจ้าสารเลว เจ้าออกไปทำงานครั้งนี้ ไม่ได้เรียนรู้คุณงามความดีและความลำบากของเหล่าขุนนาง แต่กลับเรียนรู้ที่จะฟ้องลับหลังแทน เจ้าไม่มีความอดทนในการเป็นองค์รัชทายาทเลยแม้แต่นิดเดียว เจ้าทำเช่นนี้ เมื่อเรื่องมันถูกเผยแพร่ออกไป จะไม่ทำให้ เหล่าขุนนางทั้งหลายผิดหวังหรือ”
ถ้าหากว่าเหล่าขุนนางทั้งหลายผิดหวัง สุดท้ายคนที่ต้องเหนื่อยจะเป็นใคร!
ภาพการทำงานหนักของไท่จื่อใด้สลายหายไป เหลือเพียงความผิดหวัง
พอนึกถึงคำสรรเสริญเยินยอเจ้าเจ็ดในจดหมายรายงานที่หนาถึงสามเล่ม แล้วมองไท่จื่อที่มาแอบฟ้อง จู่ๆ จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็มีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมา นี่คิดผิดหรือไม่ที่คืนตำแหน่งไท่จื่อให้เขา
เขายับยั้งความคิดนี้ไว้อย่างรวดเร็ว
ไท่จื่อกลับสู่ตำแหน่งแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็ตามไม่อาจทำซ้ำๆ ได้อีก จนกระทั่ง…การแสดงออกของเจ้าเจ็ดโดดเด่นขนาดนี้ แถมยังดึงเรื่องเทพมาเตือนในฝันมาเกี่ยวโยงกับตัวเองอีก จะไม่มีจุดประสงค์ใดเลยหรือ
ในพระทัยของกษัตริย์มักจะเต็มไปด้วยความสงสัย ไม่เว้นแม้แต่จิ่งหมิงฮ่องเต้
อันที่จริงก็เพราะการแสดงออกครั้งนี้ของอวี้จิ่นมันโดดเด่นเกินไป ทั้งเกินความคาดหมายของเขา และเกินความคาดหมายของเหล่าขุนนางทั้งหลายจนถึงประชาชนทั่วหล้า เขาจึงอดคิดมากไม่ได้
หลังจากตำหนิไท่จื่อไปยกใหญ่ จิ่งหมิ่งฮ่องเต้ก็ผ่อนลมหายใจลง โบกมือตรัสขึ้น “กลับไปยังตงกงของเจ้า แล้วทบทวนพิจารณาตัวเองซะ!”
ไท่จื่อเดินหน้าม่อยคอตกออกไปจากห้องทรงพระอักษร ก่นด่าจ้าวซื่อหลางอยู่ในใจอย่างรุนแรง ตาแก่รอถึงวันที่ข้ามีอำนาจเอาคืนก่อนเถอะ!
ภายในห้องทรงพระอักษรเงียบไปพักหนึ่ง เป็นเวลานานกว่าจิ่งหมิงฮ่องเต้จะลืมพระเนตรขึ้น ตรัสกับพานไห่ออกไป “เรียกลูกศิษย์ของเจ้าเข้ามา”
พานไห่เดินออกไป แล้วเรียกเสี่ยวเล่อจื่อเดินเข้ามาพร้อมกับเอ่ยกระซิบออกไปเบาๆ “ฝ่าบาทจะถามเจ้าเรื่องที่มีเทพเข้าฝันเตือนเยี่ยนอ๋อง”
“กงกง…” เสี่ยวเล่อจื่อกำลังจะพูดแต่ก็หยุด ส่งสายตาขอความเห็นไปที่พานไห่
แน่นอนว่าเขาต้องพูดให้ถูกใจอาจารย์ เช่นนั้นท่านอาจารย์คิดกับเยี่ยนอ๋องอย่างไรนั้นจึงอาจส่งผลกระทบต่อสิ่งที่เขาจะพูดออกไปหลังจากนี้
คนอย่างพวกเขานั้นมีทักษะในการพูดที่ดีเยี่ยม เกรงว่าแม้คุณงามความดีที่เยี่ยนอ๋องทำจะไม่อาจลบล้างได้ แต่หากเปลี่ยนวิธีพูดในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ มันก็จะทำให้คนที่ได้ยินเรื่องนี้มีความประทับใจต่อเยี่ยนอ๋องเปลี่ยนไปมากเลยทีเดียว
พานไห่เอ่ยขึ้นเสียงเบา “เยี่ยนอ๋องเป็นคนที่ซื่อตรงและจริงใจ”
เสี่ยวเล่อจื่อเข้าใจที่พานไห่พูดได้ทันที จึงเอ่ยขึ้นมาเบาๆ “ศิษย์เข้าใจแล้ว”
“อืม เข้าไปข้างในเถอะ”
ไม่นาน เสี่ยวเล่อจื่อก็ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าจิ่งหมิงฮ่องเต้
“ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
“เล่าทุกอย่างที่เจ้าเห็นในอำเภอเฉียนเหอมา” จิ่งหมิงฮ่องเต้ตรัสพูดด้วยสีหน้าเย็นชา
เสี่ยวเล่อจื่อจึงเล่าออกไป
จิ่งหมิงฮ่องเต้ฟังอย่างตั้งใจ ฟังจนจบแล้วจึงตรัสถาม “เริ่มแรก เยี่ยนอ๋องยกเรื่องเทพเข้าฝันเตือนอย่างไร”
เสี่ยวเล่อจื่อลังเลอยู่ครู่หนึ่ง
“ไม่เป็นไร พูดมาเถอะ ข้าเพียงแค่อยากรู้ความจริง”
ช่วยไม่ได้จดหมายรายงานนั้นมีคนเขียนขึ้นมา เขาจึงทำได้เพียงนำสิ่งที่คนอื่นเห็นคนอื่นได้ยินมาเป็นของตัวเอง
เมื่อเปรียบเทียบกัน ขุนนางที่ใกล้ชิดนั้นน่าเชื่อถือมากกว่าอย่างไม่ต้องสงสัย
เสี่ยวเล่อจื่อจึงเอ่ยขึ้น “กระหม่อมไปสืบมาแล้ว ที่จริงเริ่มแรกเยี่ยนอ๋องเสนอให้ไท่จื่อเป็นผู้รับคำประกาศนี้…”
“แต่ว่าไท่จื่อ…”
“ไท่จื่อคิดว่าแม่ทัพเซี่ยวเทียนล่วงรู้ล่วงหน้าว่าจะเกิดแผ่นดินไหวนั้นเป็นเรื่องเหลวไหลไร้สาระ จึงปฏิเสธ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้มุมปากกระตุก
เขารู้เลยว่าทำไมไท่จื่อถึงปฏิเสธ คงกลัวว่าหากไม่เกิดแผ่นดินไหว จะได้ไม่ต้องรับผิดชอบ!
เสี่ยวเล่อจื่อก้มหน้าลง พูดต่อ “ตอนนั้นเหล่าใต้เท้าต่างก็รู้สึกว่ามันเสี่ยง ทว่าเยี่ยนอ๋องยืนหยัดตั้งมั่น เช่นนั้น…”
“พอแล้ว เจ้าออกไปเถอะ”
เสี่ยวเล่อจื่อชำเลืองมองพานไห่อย่างรวดเร็ว จากนั้นขานตอบแล้วเดินออกไปเงียบๆ
จิ่งหมิงฮ่องเต้ทำหน้าขรึม รู้สึกไม่สบายใจเอามากๆ
พานไห่พูดเกลี้ยกล่อมออกไป “ฝ่าบาท มิน่าล่ะไท่จื่อ…ผู้อื่นดวงตาหาได้มีแววเท่าท่านที่พบว่าแม่ทัพเซี่ยวเทียนมีความสามารถอันน่ามหัศจรรย์ เช่นนั้นจึงไม่เชื่อว่าแม่ทัพเซี่ยวเทียนจะสามารถล่วงรู้ก่อนว่าจะเกิดแผ่นดินไหว หากเวลานั้นไทจื่อดึงเรื่องนี้มาใส่ตัวแล้วไม่เกิดแผ่นดินไหวขึ้น คนอื่นจะหัวเราะเยาะเอา…”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ส่ายพระพักตร์ ตรัสด้วยน้ำเสียงสุขุม “ไท่จื่อขาดความรับผิดชอบ…”
หากเทียบกับชีวิตของชาวบ้านในเมืองแล้ว ผู้อื่นหัวเราะเยาะใส่จะนับว่าเป็นอะไร
บนโลกนี้มักมีเรื่องที่ควรต้องทำถึงแม้ว่าจะถูกมองเป็นเรื่องตลก เพราะว่ามันคุ้มค่า
แม้ความเป็นไปได้ที่จะเกิดแผ่นดินไหวนั้นมีน้อยมาก ก็ควรต้องทำ
เมื่อทำไปแล้ว เกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวขึ้นก็จะช่วยชาวบ้านในเมืองได้เช่นนี้ ถ้าหากไม่เกิดแผ่นดินไหวขึ้น ก็แค่ถูกคนหัวเราะเยาะเท่านั้นเอง
องค์รัชทายาทของบ้านเมือง ถ้าหากไม่รับผิดชอบเพราะกลัวเสี่ยงจะถูกหัวเราะเยาะใส่ ในอนาคตจะทุ่มเททำเพื่อประชาชนในใต้หล้าได้อย่างไร
จิ่งหมิงฮ่องเต้หยิบชาขึ้นมาเสวยอึกหนึ่ง รู้สึกได้ถึงความขมขื่นที่แผ่ซ่านอยู่ในโอษฐ์
อวี้จิ่นพาเอ้อร์หนิวออกไปจากวัง พูดคุยจับมือกับจ้าวซื่อหลางที่อยู่ต่อเพื่อคุยกับเขาเป็นพิเศษอย่างรวดเร็ว แล้วก็รีบปรี่กลับไปที่จวนเยี่ยนอ๋องทันที