เจียงซื่อทราบข่าวเรื่องอวี้จิ่นกลับเมืองหลวงตั้งนานแล้ว จึงออกไปรอที่ประตูสองอย่างอดไม่ได้
“เหนียงเหนียง ท่านกลับไปพักก่อนเถอะนะเจ้าคะ รอท่านอ๋องมา บ่าวจะรีบวิ่งไปบอกท่านอย่างรวดเร็ว” อาหมานเหลือบมองหน้าท้องโตของเจียงซื่อพร้อมกับพูดเกลี้ยกล่อม
“ยังไงก็ต้องเดินเล่นอยู่ดี ถือโอกาสออกมารอท่านอ๋องก็เท่านั้นเอง”
อาหมานยังอยากจะพูดเกลี้ยกล่อมต่อ ทว่าถูกอาเฉี่ยวดึงไว้
“ดึงข้าทำไม ไม่เห็นหรือว่าเหนียงเหนียงท้องโตขนาดนั้นจะเหนื่อยขนาดไหน” อาหมานพูดบ่นอุบอิบขึ้นมาเบาๆ
อาเฉี่ยวอมยิ้มขึ้นมา “เหนียงเหนียงถือโอกาสออกมารอท่านอ๋องแล้ว เจ้ายังจะพูดเกลี้ยกล่อมอีก จะทำให้เหนียงเหนียงลำบากใจเอานะ”
อาหมานเข้าใจทันที “ออ เหนียงเหนียงคิดถึงท่านอ๋องแล้วสิท่า ฮ่าๆ ไม่เจอหนึ่งวันเหมือนไม่ได้เจอสามปี…”
แม้ว่าเสียงคุยกันของสาวรับใช้ทั้งสองจะเบา ทว่าเจียงซื่อกลับได้ยินอย่างชัดเจน จึงเบิกตาโพลงจ้องไปที่สองคนนั้น แล้วมองออกไปไกล
“ท่านอ๋องกลับมาแล้ว…” มีเสียงตะโกนดังขึ้นมาจากที่ไกลๆ
อวี้จิ่นรีบเดินตรงไปยังประตูสอง พร้อมกับสีหน้าเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง
เมื่อเห็นเจียงซื่อรอพบอยู่ที่ประตูสอง เขาก็เร่งฝีเท้ายิ่งขึ้น
ทว่าผู้ที่เร็วกว่าเขาคือเอ้อร์หนิว
เอ้อร์หนิวเบียดอวี้จิ่นออก วิ่งแจ้นไปตรงหน้าเจียงซื่อ ส่ายหางให้นายหญิงอย่างรุนแรง
อยากกินขาหมูท่อนบนหมักเครื่องปรุงรส เนื้อวัวต้มพะโล้ เนื้อนึ่ง..
เอ้อร์หนิวใช้อุ้งเท้าหน้าตะกุยพื้นสามครั้งพร้อมกับน้ำลายไหล
เจียงซื่อเข้าใจความหมายที่เอ้อร์หนิวจะสื่อได้ทันที ยิ้มพูดขึ้น “วางใจได้ ข้าเตรียมขาหมูท่อนบนหมักเครื่องปรุงรส เนื้อวัวต้มพะโล้และเนื้อนึ่งไว้ให้หมดแล้ว”
เอ้อร์หนิวเห่าออกมาด้วยความดีใจ
ทันใดนั้นอวี้จิ่นก็มาถึงตรงหน้าเจียงซื่อ ถีบเอ้อร์หนิวออกไปข้างๆ ด้วยสีหน้าดำทะมึน
เดิมเขาสามารถมาไวกว่านี้ได้ ทว่าคาดไม่ถึงเลยว่าจู่ๆ เอ้อร์หนิวเจ้าสุนัขตัวนี้จะเพิ่มความเร็ว
เขาคงไม่ไปวิ่งแข่งกับสุนัขหรอกนะ
เมื่อนึกภาพในหัว องค์ชายอวี้ที่สุขุมเป็นผู้ใหญ่ก็อดทนบังคับตนเองไม่ให้บุ่มบ่ามทำอะไรออกไป
พอยืนอยู่ตรงหน้าเจียงซื่อ อวี้จิ่นก็เม้มริมฝีปาก ยื่นมือออกไปคว้านางเข้ามากอด “อาซื่อ ข้ากลับมาแล้ว”
ท้องที่มีขนาดใหญ่ของเจียงซื่อกั้นระหว่างทั้งสองไว้ ทำให้ท่าทางที่ทั้งสองกอดกันดูแปลกประหลาดเล็กน้อย
สำหรับการแสดงออกถึงความรักใคร่ระหว่างเจ้านายทั้งสองที่ไม่มีความขวยเขินใด อาเฉี่ยวเริ่มไม่เห็นเป็นเรื่องแปลกแล้ว ส่วนอาหมานก็ไม่รู้สึกอะไร ยกมือขึ้นมาปิดปากพลางยิ้มขึ้น
เจียงซื่อผลักเขาเบาๆ “เข้าไปคุยกันในห้องเถอะ”
อวี้จิ่นจ้องเจียงซื่อตาไม่กะพริบผ่านไปสักพักถึงได้พยักหน้าลง “อื้ม เจ้าเข้าไปพักผ่อนในห้องก่อน เดี๋ยวข้าไปอาบน้ำล้างตัว เดินทางมาหลายวัน เนื้อตัวสกปรก”
เจียงซื่อเข้าไปในห้องได้ไม่นาน อวี้จิ่นก็เปิดม่านลูกปัดแล้วเดินเข้ามา
เขาเปลี่ยนเป็นชุดเสื้อคลุมยาวสีเขียวไม้ไผ่ที่ดูไม่ใหม่และก็ไม่เก่า ผมเผ้าที่ยังมีน้ำหยดอยู่ก็ใช้ปิ่นปักผมกลัดไว้ลวกๆ รูปงามดั่งหยกเสียจริง
อาเฉี่ยวยกถ้วยน้ำชาถ้วยใหม่เข้ามาให้อวี้จิ่น แล้วลากอาหมานออกไป
ภายในห้องเหลือเพียงสองสามีภรรยา
ทั้งสองสบตากัน เอ่ยถามออกมาอย่างพร้อมเพรียง “เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
เมื่อถามจบ ทั้งสองก็หัวเราะออกมา
เจียงซื่อเอนตัวพิงอวี้จิ่น ยิ้มพูดขึ้น “ข้าสบายดี ทั้งวันก็มีแค่กินแล้วก็นอน นอนแล้วก็ตื่นขึ้นมากินต่อ เดินเล่นอยู่ในสวนเช้าเย็น แต่ละวันก็ผ่านไปเช่นนี้…”
ดูเหมือนวันเวลามันจะผ่านไปอย่างราบลื่น ทว่าเมื่อขาดคนที่รักไป ทุกอย่างมันก็ดูน่าเบื่อขึ้นมาทันที
เวลาหนึ่งวันเหมือนกับหนึ่งปี แม้ว่ามันจะเกินความจริงไปหน่อย มันลำบากจริงๆ โดยเฉพาะเมื่อถึงตอนกลางคืน การนอนนั้นไม่ง่ายเลย ยิ่งไปกว่านั้นยังตื่นกลางดึกบ่อยๆ ด้วย
จนถึงตอนนี้เจียงซื่อยังถือว่าโชคดี หลังจากตั้งท้องอากาศก็เริ่มร้อนขึ้น ถ้าหากเปลี่ยนเป็นฤดูหนาวแล้วตื่นขึ้นมากลางดึกบ่อยๆ นั่นถึงจะเรียกว่าทรมานจริงๆ
ต้องมีลูกเองเท่านั้นถึงจะรู้บุญคุณของพ่อแม่ หลายวันมานี้นอกจากเจียงซื่อจะคิดถึงอวี้จิ่นแล้ว ก็มักจะคิดถึงซูซื่อแม่ที่ไร้ร่องรอยในความทรงจำและจากไปแล้ว
เมื่อชาติภพที่แล้วในเวลานี้ เจียงซื่อคิดในใจว่าซูซื่อดูเป็นแม่มากเสียยิ่งกว่านี้อีก แม้จะคิดถึง แต่มันก็ยังเป็นความรู้สึกคิดถึงที่ว่างเปล่า
ยังไงซูซื่อก็จากไปเมื่อตอนที่นางอายุได้เพียงหนึ่งปีกว่านั้น
ทว่าตอนนี้ รับรู้ได้ถึงสิ่งมีชีวิตตัวน้อยที่ดิ้นอยู่ในท้อง ทั้งทุกข์ทั้งสุขเพื่อเขา ทนเจ็บปวดมาไม่น้อยก็เพื่อเขา ภาพลักษณ์การเป็นแม่ในใจของนางก็เริ่มสมบูรณ์ขึ้นมา
“คิดอะไรอยู่หรือ” อวี้จิ่นลูบจมูกเจียงซื่อ
เจียงซื่อดึงความคิดกลับมา เอ่ยขึ้น “ข้ากำลังคิดว่าการเป็นแม่นั้นไม่ง่ายเลย”
อวี้จิ่นยิ้ม “ใช่ รอเจ้าตัวน้อยออกมา หากไม่รักและทะนุถนอมเจ้า ข้าจะสั่งสอนเขาเอง”
เจียงซื่อชำเลืองมองอวี้จิ่น สีหน้าแปลกประหลาด
“เป็นอะไรไป”
“อาจิ่น นี่เจ้าฝึกฝีมือในการเป็นพ่อมาก่อนใช่ไหมเนี่ย”
“ไม่สักหน่อย…”
“ตัวยังมาไม่ถึงเลย แต่ส่งเด็กน้อยกลับมาก่อนสองคน คนหนึ่งเป็นเด็กผู้ชาย อีกคนเป็นเด็กผู้หญิง อุดมสมบูรณ์กันถ้วนหน้า”
เมื่ออวี้จิ่นได้เจอเจียงซื่อ ก็ลืมเรื่องเด็กทั้งสองที่เอากลับมาด้วยไปเสียสนิทเลย ได้ยินนางพูดออกมาเช่นนี้ จึงเอ่ยขึ้น “พวกเขาล้วนไม่มีทั้งพ่อทั้งแม่ ข้าบังเอิญเจอเข้าพอดีจึงพากกลับมาด้วย อย่างไรก็ตามที่จวนอ๋องก็ไม่ได้ขาดข้าวขาดน้ำกิน อีกทั้งรอลูกของพวกเราคลอดออกมา ก็ยังสามารถเป็นเพื่อนคอยเล่นด้วยได้”
“อาจิ่น เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในอำเภอเฉียนเหอให้ฟังหน่อยสิ”
“ได้ เช่นนั้นก็เริ่มจากเด็กทั้งสองคนนี้แล้วกัน” อวี้จิ่นใช้มือข้างหนึ่งโอบเจียงซื่อไว้ ส่วนอีกข้างหนึ่งก็ถือโอกาสนวดคลึงบริเวณน่องที่บวมเป่ง
“เด็กผู้ชายมาจากเฉียนเหอ เพื่อที่จะได้ส่งเขาออกไปนอกเมือง พ่อแม่ของเขาถูกเหล่าทหารรักษาประตูใช้หอกแทงตายไปแล้ว แม่ของเขาจึงนำลูกของนางมอบให้ข้า แล้วกลับไปดูแลลูกสาวที่เป็นไข้ในเขตโรคระบาด จากนั้นข้าก็ไม่เห็นนางอีกเลย…ส่วนเด็กผู้หญิงมาจากเมืองจิ๋นหลี่ ล้มป่วยอยู่ในค่ายอพยพชั่วคร่าว พ่อกับแม่ของนางยืนยัดจะนำตัวเด็กกลับไปนอนในเมือง ต่อมาพอเกิดแผ่นดินไหวขึ้น พ่อกับแม่ของนางต่างตายในเหตุการณ์แผ่นดินไหว ขณะที่พวกเราเจอตัวเด็กผู้หญิงคนนี้ พ่อกับแม่ของนางได้ก่อตัวรวมกันไว้แน่นเพื่อปกป้องนางไว้ในอ้อมกอด…”
อวี้จิ่นท่าทางนิ่งเงียบ ไม่ได้มีความรู้สึกอะไรมากมาย เพียงแค่เล่าเรื่องในการพบเจอเด็กทั้งสองคนเท่านั้น
เจียงซื่อนั่งฟังอยู่เงียบๆ น้ำตาไหลนองหน้า
อวี้จิ่นหยุด ก้มลงไปจูบเบาๆ บนหน้าผากที่เรียบเนียนของนาง เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอันอ่อนโยน “อาซื่อ เมืองจิ๋นหลี่มีประชากรหนึ่งพันกว่าคน มีผู้เสียชีวิตเพียงหกสิบกว่าคนในเหตุการณ์แผ่นดินไหวเท่านั้น อาซื่อเจ้าเป็นคนช่วยประชากรหนึ่งพันกว่าคนนั้นไว้…”
เขายกมือขึ้นมาเช็ดน้ำตาแทนภรรยาที่อยู่ในอ้อมกอด เอ่ยพูดอย่างจริงจัง “อาซื่อ ไม่ว่าคนพวกนั้นจะรู้หรือไม่รู้ เจ้าล้วนเป็นคนที่ช่วยพวกเขาเอาไว้”
เจียงซื่อยิ้มออกมา “ข้าไม่ได้มีงานอดิเรกเป็นผู้มีพระคุณในการช่วยชีวิตผู้ใดสักหน่อย เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว อีกอย่างข้าก็แค่ชี้แนะให้เจ้า เจ้านั่นแหละที่เป็นคนพยายามช่วยชีวิตพวกเขา”
“พอมีคำชี้แนะของเจ้าข้าถึงได้ออกไปช่วย” อวี้จิ่นยื่นมือออกไปวางลงเบาๆ บนหน้าท้องที่สูงนูนของเจียงซื่อ
ลูกใกล้จะคลอดแล้ว ทว่าเขาก็ยิ่งกังวลมากขึ้น ใครก็พูดว่าการคลอดลูกสำหรับผู้หญิงแล้วเป็นอะไรที่ทุกข์ทรมาน…
“อาซื่อ”
“หืม”
“การช่วยชีวิตคนนั้นดีเสียยิ่งกว่าการสร้างเจดีย์เจ็ดชั้น เจ้าช่วยคนได้หนึ่งพันกว่าคน บุญกุศลอันไม่มีที่สิ้นสุดจะต้องทำให้เจ้าผ่านทุกอย่างไปได้อย่างราบรื่นสมปรารถนาแน่นอน”
เมื่อรับรู้ได้ถึงความกังวลในตาของสามี เจียงซื่อยิ้มพลางจับมือเขาไว้ “ไม่ต้องกังวลไป หมอเหลียงบอกแล้ว ตำแหน่งทารกในครรภ์อยู่ในท่าทางที่ดีมาก คลอดออกมาได้อย่างราบรื่นเป็นแน่”
อวี้จิ่นพยักหน้า แล้วถึงได้สนใจอยากจะพูดต่อ “ใช่แล้ว ข้านำเรื่องที่รู้ว่าจะเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวล่วงหน้าโยนไปที่เอ้อร์หนิว คาดว่าเอ้อร์หนิวจะได้เลื่อนขั้นแล้ว…”
เช้าวันรุ่งขึ้น จิ่งหมิงฮ่องเต้ยกเรื่องเลื่อนขั้นแม่ทัพเซี่ยวเทียนขุนนางชั้นห้าเอ้อร์หนิวออกมาจริงๆ
ทันใดนั้นก็มีคนต่อต้านชึ้นทันที “ฝ่าบาท ไม่เคยมีสุนัขถูกพระราชทานเป็นแม่ทัพขุนนางชั้นห้ามาก่อน แล้วจะเลื่อนขั้นได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ”