เล่ม 1 ตอนที่ 150-1 เกิดเรื่อง

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก

ตอนที่ 150-1 เกิดเรื่อง

พลบค่ำความมืดโอบล้อมมาจากรอบทิศ อาทิต์อัสดงย้อมนภาให้แดงฉาน ผืนน้ำสีครามบนภูเขาถูกฉาบด้วยประกายสีทองระยิบระยับ

ชายหลังคาของของศาลบรรพชนโค้งเป็นปลายงอน นกกระจอกหลายตัวเกาะอยู่บนกระเบื้องสีแดงสด ก้มหน้าจิกหนอนตัวน้อยจากนั้นกระพือปีกบินจากไป

ผู้อาวุโสทั้งหลายเริ่มแรกรออยู่ในห้องด้านข้างศาลบรรพชน แต่ไม่นานก็เริ่มนั่งไม่ติด แต่ละคนเดินมายังลานว่างหน้าศาลบรรพชน ยืนอยู่พักหนึ่ง ความอยากรู้ก็เกาข่วนหัวใจจนยากจะทนจนต้องเดินมายังทางเข้าของภูเขาด้านหลัง

ตรงทางเข้ามีเพิงบังแดดเรียบง่ายอยู่หลังหนึ่ง เอาไว้ให้บ่าวรับใช้ที่รับผิดชอบปัดกวาดศาลบรรพชนมานั่งพักผ่อนชั่วคราว ยามปกติที่ตรงนี้อ้างว้างยิ่งนัก แต่วันนี้กลับถูกคนเบียดเสียดจนเต็มแน่น

ผู้อาวุโสเจ็ดอายุน้อยที่สุด สะกดกลั้นอารมณ์ไว้ไม่อยู่มากที่สุด เขายกมือไพล่หลังเดินไปเดินมาอยู่ตรงทางเข้า เดินก้าวหนึ่ง คิ้วก็ขมวดถอนหายใจท่าทางเป็นกังวลทีหนึ่ง “ไม่น่าตกลงให้พวกเขาเข้าไปเลย ตอนนั้นพวกเราร้อนรนจนโง่เขลากันไปหมดแล้วใช่หรือไม่ เหตุใดจึงไปฟังคำพูดของหญิงชราคนนั้น”

หญิงชราที่เขาพูดถึงก็คือเมิ่งซื่ออย่างไม่ต้องสงสัย เมิ่งซื่อแต่เดิมเป็นอนุภรรยา หลายปีที่ผ่านมาอาศัยบุตรชายจึงขึ้นมาครองตำแหน่งเหล่าไท่ไท่ของตระกูลเฉียวได้ ฉากหน้าทุกคนล้วนเคารพนาง แต่ลับหลังกลับไม่ใช่เช่นนั้น

ผู้อาวุโสทั้งหลายได้ยินคำพูดของผู้อาวุโสเจ็ด แต่ละคนล้วนไม่กล้าส่งเสียงตอบ ยามนั้นเหตุใดจึงเห็นด้วยกับการประลองบ้าบอเช่นนี้ พูดให้ถึงที่สุดแล้วก็เพราะว่ามีชนักติดหลัง รู้สึกผิดเสียจนไม่มีหน้าอยู่ในห้องนั้นต่อไป ไหนเลยจะยังสนใจว่าวิธีการของเมิ่งซื่อแท้จริงแล้วเข้าท่าหรือไม่เข้าท่าอีก

ยามนี้เมื่อได้สงบจิตใจมาทั้งบ่าย ในที่สุดก็ตระหนักได้ว่าวิธีการของเมิ่งซื่อบ้าบอเกินไปแล้ว

น่าเสียดายสายไปเสียแล้ว คนเข้าไปหมดแล้ว

ได้แต่ภาวนาให้อย่างน้อยมีฝ่ายหนึ่งกลับออกมาอย่างปลอดภัย มิเช่นนั้นเจ้าตระกูลสองรุ่นล้วนตายใต้หนังตาของพวกเขา ยามพวกเขาผู้อาวุโสของตระกูลเหล่านี้ลงไปปรโลกคงไม่มีหน้าไปพบบรรพชนทั้งหลายของตระกูลเฉียว

“ดู! มีคนออกมาแล้ว!” ตาเฒ่าคนปัดกวาดตะโกนเสียงดัง

ผู้อาวุโสทุกคนทยอยกันลุกขึ้น ยืดคอยาวมองไปตรงทางเข้า ห่างออกไปไกล มองไม่ค่อยชัด กิ่งไม้ที่งอกทับซ้อนกันระหว่างทางก็บดบังหน้าตาของทั้งสองคนไว้ มองออกเพียงว่าคนหนึ่งในนั้นนั่งอยู่บนรถเข็น

“ผู้ใดจำได้บ้างว่าวันนี้จ้งชิงสวมเสื้อสีอะไร” ผู้อาวุโสเจ็ดถาม

ผู้อาวุโสหก “สีน้ำตาลใช่หรือไม่”

ผู้อาวุโสสี่ “สีน้ำเงินเข้มกระมัง”

ผู้อาวุโสรองถอนหายใจ “สีดำต่างหากเล่า”

ผู้อาวุโสสี่ดวงตาเป็นประกาย “คนที่อยู่บนรถเข็นสวมเสื้อสีดำ! เป็นจ้งชิง! จ้งชิงกับนายท่านรองออกมาแล้ว!”

ผู้อาวุโสรองเอ่ยขึ้นมาอีกหน “นายท่านใหญ่ก็สวมเสื้อสีดำเหมือนกัน”

รอยยิ้มของผู้อาวุโสสี่ชักค้าง แทบจะในเวลาเดียวกัน มือเรียวงามข้างหนึ่งก็ปัดกิ่งไม้ด้านหน้าออก เผยให้เห็นดวงหน้างามน่าตะลึงดุจเทพธิดาสวรรค์

ติ๊ง!

นิ้วมือของอี้เชียนอินเคาะกระดิ่งที่อยู่บนรถเข็น

เสียงกระดิ่งสั้นฉับไว ใสกังวานดังบทเพลง วิหคกระพือปีกบินวนบนท้องนภา

ผู้อาวุโสรองเดินเข้ามารับอย่างตื่นเต้นดีใจ “นายท่านใหญ่!”

อี้เชียนอินเคาะกระดิ่งดัง ติ๊ง! อีกหนอย่างไว้หน้ายิ่งนัก

ผู้อาวุโสที่เหลือยิ้มไม่ออกแล้ว นอกจากผู้อาวุโสรอง พวกเขาทั้งหมดล้วนเคยรับสินบนจากเรืองรอง หากเรือนรองล่มจม พวกเขาย่อมอนาถ

“เหตุไฉนเป็นเช่นนี้ เหตุไฉนเป็นเช่นนี้” ผู้อาวุโสสี่ถามอย่างตระหนกลนลาน “ผู้อาวุโสใหญ่! เหตุไฉนเป็นเช่นนี้เล่า”

ผู้อาวุโสใหญ่ไม่ตอบ

ผู้อาวุโสห้าเอ่ยขึ้นว่า “บางที…พวกเขาอาจหวาดกลัวมากเกินไปจึงออกมาหรือเปล่า เจ้าดูในมือพวกเขาว่างเปล่า ไม่เหมือนเก็บสมุนไพรมาได้”

ผู้อาวุโสสี่พยักหน้าหงึกหงัก “ใช่! จะต้องเป็นเช่นนี้แน่! พวกเขาไม่มีทางเก็บหญ้าจันทร์ขาวได้หรอก! ข้าได้ยินว่ารอบๆ หญ้าจันทร์ขาวมีเสือร้ายคอยคุ้มครองอยู่”

เฉียเวยก้าวเดินพลางดึงตะกร้าที่ชอบลื่นลงไปด้านล่างไม่หยุด หนังเสือหนักจริงหนอ…

“แล้วยังมีแมลงพิษ พิษของมันรุนแรงยิ่งกว่าหงอนกระเรียนแดง ตัวเดียวก็ใช้พิษสังหารเสือตัวเต็มวัยได้ แล้วพวกมันยังอยู่กันเป็นฝูง”

เสี่ยวไป๋ที่นอนอยู่ในตะกร้าสมุนไพรลูบหน้าท้องกลมดิกแล้วเรอด้วยความอิ่ม

“ที่สำคัญที่สุดก็คือหญ้าจันทร์ขาวงอกอยู่บนซอกหน้าผาคับแคบ คนแทรกตัวเข้าไปไม่ได้แม้แต่น้อย”

จูเอ๋อร์ที่อยู่ในตะกร้าสมุนไพรนวดท่อนขาเรียวงามอันเย้ายวนของตนเองเบาๆ

ผู้อาวุโสห้าเห็นด้วย “ผู้อาวุโสสี่เอ่ยมีเหตุผล พวกเขาไม่มีทางเก็บหญ้าจันทร์ขาวมาได้”

“ผู้อาวุโส พวกเราเก็บหญ้าจันทร์ขาวมาแล้วนะ!” เฉียวเวยยิ้มร่าโบกมือ

ติ๊ง!

ผู้อาวุโสพลันตัวแข็งทื่อเป็นหินกันยกกลุ่ม!

หลังจากพวกเฉียวเวยออกมาจากเขตต้องห้าม ราวครึ่งชั่วยามต่อมาเฉียวเย่ว์ซานกับบุตรชายก็ออกมาด้วย รถเข็นของเฉียวจ้งชิงหายไปไหนแล้วไม่ทราบ เด็กรับใช้ก็ไม่เห็นร่องรอย เฉียวเย่ว์ซานแบกเฉียวจ้งชิงผู้ศีรษะบวมเป็นหัวหมู เดินออกมาจากเขาด้านหลังอย่างยากลำบาก

เมื่อเฉียวเย่ว์ซานฟื้น เขาก็ตามหาอยู่นานจนในที่สุดก็พบเฉียวจ้งชิงที่ถูกงูสามเหลี่ยมกัดบาดเจ็บ เฉียวเย่ว์ซานจัดการรักษาโดยเบื้องต้น ทว่าพิษแผ่ลามไปถึงศีรษะและครึ่งร่างแล้ว เรื่องนี้จะส่งผลตามมาอย่างไร เฉียวเย่ว์ซานเองก็ไม่ทราบคำตอบ

เพราะเฉียวเย่ว์ซานเคยถือผงกำมะถันแดงไว้ จึงไม่ถูกพวกอสรพิษเล่นงาน แต่เขาก็ไม่ได้สภาพดีไปถึงไหน หกล้มหน้าคว่ำจนจมูกเขียวหน้าบวม อายุปูนนี้ต้องแบกบุตรชายหนีภัย วิ่งจนข้อเท้าบวมไปหมด

ผู้อาวุโสทั้งหลายรีบพาทั้งสองคนกลับตระกูลเฉียว เฉียวเย่ว์ซานนำสมุนไพรจากในห้องเก็บสมุนไพรมาแก้พิษให้บุตรชาย สวีซื่อร่ำไห้จนกลายเป็นมนุษย์น้ำตา

“จะต้องเป็นนางคนต่ำช้าผู้นั้นแน่! ฝีมือนาง! นางทำร้ายลูกชายของข้า!”

คำพูดนี้ย่อมไม่ได้เอ่ยต่อหน้าเฉียวเวย ทว่าเพียงไม่นานมันก็ลือมาถึงห้องรับรอง

เฉียวเวยจิบน้ำชาด้วยสีหน้านิ่งสงบ “อาสะใภ้รองมองข้าเก่งเกินไปแล้ว”

จากที่เฉียวเย่ว์ซานเล่า งูสามเหลี่ยมอยู่ดีๆ ก็จับกลุ่มออกมาเป็นฝูง แม่นางน้อยคนหนึ่งจะมีความสามารถเช่นนั้นได้อย่างไร นางจะควบคุมอสรพิษที่เกิดในป่าทั้งฝูงได้หรือ

พวกเขาสามคนน่าจะเดินไปตรงตำแหน่งที่ไม่ดี พลาดพลั้งเหยียบย่างเข้าไปในรังงูเสียมากกว่า

เงินบนตัวของเฉียวเย่ว์ซากับเฉียวจ้งชิงหายไป แต่เมื่อเทียบกับเคราะห์ร้ายเรื่องงูพิษ ไม่มีผู้ใดสนใจมันสักนิด

เฉียวเย่ว์ซานรักษาเฉียวจ้งชิงเสร็จก็กลับมายังห้องรับรองพร้อมกับภรรยา ฝั่งนี้เฉียวเวย ผู้อาวุโสทั้งหลายรวมไปถึงเมิ่งซื่อรอกันจนดอกไม้โรยแล้ว

เฉียวเวยนั่งอยู่บนตำแหน่งเจ้าบ้าน ‘เฉียวเจิง’ เหนื่อยมาตลอดทั้งบ่ายจึงถูกเข็นกลับไปพักบนรถม้า

เมิ่งซื่อเห็นบุตรชายมาก็มีท่าทางมั่นใจขึ้นมาในพริบตา นางก้าวไปนั่งตำแหน่งเจ้าบ้านอีกตำแหน่งหนึ่งข้างเฉียวเวย

เฉียวเวยกวาดสายตามองนางอย่างเรียบเฉย “เมิ่งอี๋เหนียง ท่านคิดว่าตนเองมีคุณสมบัตินั่งเสมอกับข้าจริงหรือไร”

ร่างกายของเมิ่งซื่อแข็งทื่อ

ไม่ได้ถูกผู้อื่นเรียกนางว่าอี๋เหนียงมากี่ปีแล้ว สาวน้อยคนนี้ สาวน้อยคนนี้เหตุใดจึงกล้า!

ใบหน้าของเฉียวเย่ว์ซานอับอายวูบหนึ่ง

เฉียวเวยมองขวดที่วางอยู่ใจกลางโต๊ะกลม แล้วหันไปมองเฉียวเย่ว์ซาน “อารอง รบกวนท่านช่วยดูสักหน่อยว่าสิ่งที่ข้าเก็บกลับมาใช่หญ้าจันทร์ขาวจริงหรือไม่ หากไม่ใช่ ข้าจะขึ้นเขาไปเก็บอีกรอบหนึ่ง”

พริบตาที่เดินเข้ามาในห้อง เฉียวเย่ว์ซานก็มองออกแล้วว่านั่นคือหญ้าจันทร์ขาว เขาเอ่ยปากอย่างยากเย็น “ไม่ต้องแล้ว เจ้าเก็บมาไม่ผิด”

หัวใจของสวีซื่อเย็นยะเยือกไปครึ่งหนึ่งในพริบตา

สายตาแฝงรอยยิ้มของเฉียวเวยกวาดมองผ่านบนร่างผู้อาวุโสทั้งหลายทีละคน “ในเมื่อบิดาของข้ากับข้าเก็บหญ้าจัทร์ขาวกลับมาได้ก่อน ตามเนื้อหาข้อตกลง ของของเรือนใหญ่ก็สมควรหวนกลับคืนเจ้าของแล้วใช่หรือไม่”

นางเว้นวรรคครู่หนึ่งแล้วหยิบหนังสือข้อตกลงออกมาจากแขนเสื้อ คลี่ออกอ่านตามตัวอักษรทีละตัว “…หากเรือนใหญ่ชนะ เรือนรองจะส่งมอบตำแหน่งเจ้าตระกูล กิจการของตระกูลเฉียวที่เป็นของเรือนใหญ่รวมไปถึงสินเดิมของเสิ่นซื่อให้ ข้าไม่ได้อ่านผิดกระมัง ผู้อาวุโสทั้งหลาย หรือพวกท่านจะเปิดฉบับที่อยู่ในมืออารองของข้าแล้วตรวจทานอย่างละเอียดอีกสักรอบ”

ผู้อาวุโสรองประสานมือตอบว่า “เนื้อหาในข้อตกลงไม่ได้อ่านผิด เรื่องนี้จบลงเช่นนี้ เรือนใหญ่ชนะแล้ว ทุกสิ่งสมควรหวนคืนเจ้าของ”

เฉียวเย่ว์ซานกุมหน้าผาก

สวีซื่อมองผู้อาวุโสทั้งหลายอย่างเจ็บปวด แต่ผู้อาวุโสทั้งหลายพากันหลบสายตาของนาง

หากไม่ได้เขียนไว้เป็นลายลักษณ์อักษร พวกเขาก็ยังพอดิ้นได้อยู่ แต่มีตัวอักษรสีดำบนกระดาษสีขาว พวกเขาอยากกลับคำย่อมทำไม่ได้แล้ว

เฉียวเย่ว์ซานสูดลมหายใจลึกเฮือกหนึ่ง แล้วกดความรู้สึกที่กำลังปั่นป่วนลงไปไว้ก้นบึ้งจิตใจ “ข้าตงลง”

สวีซื่อตกตะลึง “นายท่าน!”

“ตอนนั้นแต่เดิมก็เป็นเพราะข้าสะเพร่า ยังไม่ทันพบศพของพี่ใหญ่กับพี่สะใภ้ใหญ่ก็ตัดสินเรื่องการตาย ตอนนี้พี่ใหญ่กลับมาแล้ว ตำแหน่งเจ้าตระกูลก็สมควรคืนให้พี่ใหญ่ ส่วนกิจการ…” เฉียวเย่ว์ซานเอ่ยออกมาอย่างจริงใจจบก็หันไปมองสวีซื่อที่อยู่ด้านข้าง “เจ้าก็จัดแจงสมบัติให้เรียบร้อย แล้วให้ยัยหนูรับไปเถิด”

สวีซื่อร้อนใจแย่แล้ว “นายท่าน! ท่าน…” ท่านรู้หรือไม่ว่านั่นเป็นเงินมหาศาลเท่าใด

เมิ่งซื่อส่งสายตาให้ลูกสะใภ้ สาวน้อยคนนั้นอ่านบัญชีไม่เป็นสักหน่อย เอาให้นิดๆ หน่อยก็ใช้ได้แล้ว

ซิ่วไฉเฒ่าเดินอย่างเร่งรีบเข้ามาในจวนเอินปั๋ว ในมือถือสมุดหลายเล่ม หายใจหอบแฮ่กๆ “คุณหนู พวกนี้คือสมุดบัญชีเมื่อสมัยนั้นของเรือนใหญ่ เล่มนี้คือรายการสินเดิมของฮูหยิน เล่มนี้คือจำนวนเงินที่เหลือในมือนายท่าน สี่เล่มตรงกลางคือร้านกับที่นาในชื่อของนายท่าน สามเล่มสุดท้ายเป็นของหอหลิงจือ ข้าจดบันทึกสำรองไว้ถึงปีที่ถูกให้ปลดเกษียณเท่านั้น ไม่ทราบสภาพกิจการและการใช้จ่ายหลายปีนี้”

เฉียวเวยพยักหน้า “ข้าจะหาคนมาตรวจทานการดำเนินกิจการหลายปีนี้เอง ลำบากท่านบัณฑิตเฒ่าแล้ว”

พริบตาที่ซิ่วไฉเฒ่าถือสมุดบัญชีเหล่านั้นออกมา สวีซื่อก็หน้าถอดสี ไอ้เฒ่าเจ้าเล่ห์ดันแอบบันทึกสำรองเอาไว้!

เฉียวเวยเอ่ยกับเฉียวเย่ว์ซานและภรรยา “ข้าไม่ใช่คนไร้เหตุผล เงินที่ร้านค้าของบิดาค้าได้กำไรมา ข้าจะไม่เรียกคืนจากพวกท่าน แต่หอหลิงจือเป็นกิจการที่มารดาของข้าทำ ไม่เกี่ยวข้องสักนิดกับตระกูลเฉียว ทว่าในเมื่อพวกท่านดูแลกิจการมา ต่อให้ไม่มีความชอบก็มีความเหนื่อยยาก ข้าจะถือว่าช่วงหลายปีนี้มันกลายเป็นกิจการส่วนรวมของตระกูลเฉียว แต่เงินที่ได้จากกิจการส่วนรวมย่อมต้องแบ่งเท่าเทียม ส่วนที่ต้องแบ่งให้เรือนใหญ่ส่วนนั้น สักอีแปะก็ห้ามขาด!”

ร้านค้าของบิดาเจ้าแต่เดิมก็ไม่ได้ทำกำไรสักเท่าใด เงินส่วนใหญ่อยู่ที่หอหลิงจือต่างหาก เจ้าเอาเงินที่ได้จากร้านของบิดาเจ้าไป แล้วอย่าเอาหอหลิงจือไปได้หรือไม่!

เฉียวเวยกล่าวต่อว่า “เงินเก็บของบิดาข้าต้องคืนมาเท่าจำนวน สินเดิมของมารดาข้าสักสิ่งก็ห้ามขาด หากขาดย่อมต้องเอาเงินมาชดเชย ข้าให้เวลาพวกท่านเจ็ดวัน จัดการบัญชีให้เรียบร้อย สิบวันให้หลังข้าจะมารับ” ค่ำคืนนั้น ตระกูลเฉียวเละเทะเหมือนโจ๊กหม้อหนึ่ง

เฉียวเย่ว์ซานไม่เคยสนใจงานในตระกูล จึงไม่รู้ว่าสวีซื่อผลาญเงินเก็บของเฉียวเจิงไปพอสมควรแล้ว ยิ่งไม่รู้ว่าร้านของเฉียวเจิงถูกสวีซื่อยกให้พี่น้องในตระกูลฝั่งแม่ไปบริหาร แล้วยิ่งไม่รู้ว่าเงินสินเดิมของเสิ่นซื่อถูกใช้ไปเกือบครึ่งแล้ว

“เจ้า…เจ้าเหตุใดจึงเลอะเลือนเช่นนี้!” เฉียวเย่ว์ซานโกรธจนกระอักเลือด

สวีซื่อร่ำไห้ “ไม่ใช่ข้าคนเดียวเสียหน่อยที่ยึดร้านของพี่ใหญ่มา หลานของท่านแม่ก็เอาไปร้านหนึ่งด้วย!”

ใช่แล้ว เมิ่งซื่อก็แบ่งร้านของเฉียวเจิงไปให้คนตระกูลฝั่งมารดาเช่นกัน ตอนนี้จะให้นางไปเอาร้านกลับมามอบให้ นางก็ไม่รู้ว่าจะเปิดปากกับคนตระกูลฝั่งมารดาอย่างไร

สวีซื่อยิ่งไม่รู้

แม่สามีกับลูกสะใภ้สองคนร้อนรนจนหัวหมุน

เรือนสามกับเรือนสี่ก็ไม่โชคดีหนีพ้น พวกเขาไม่ได้รับแบ่งร้านรวงมา แต่ก็ฮุบผลประโยชน์อย่างอื่นเอาไว้ไม่น้อย ทรัพย์สมบัติของเรือนใหญ่แทบจะถูกเรือนอื่นที่เหลือแบ่งกันไปจนหมดสิ้น เวลาเพียงชั่วครู่ชั่วยามจะให้หยิบออกมาให้ แต่ละเรือนไม่รู้ว่ากระอักเลือดกันไปเท่าใดแล้ว

ความจริงไม่ใช่เพียงคนทั้งหลายในตระกูลเฉียวเท่านั้น แม้แต่ผู้อาวุโสทั้งหลายที่เคยผลักดันให้เฉียวเย่ว์ซานเป็นเจ้าตระกูลก็หนีไม่รอดเช่นเดียวกัน

เพื่อที่จะได้นั่งในตำแหน่งเจ้าตระกูลอย่างมั่นคง เรือนรองได้มอบ ‘ของขวัญแสดงความกตัญญู’ แก่ผู้อาวุโสทั้งหลายไม่น้อย ในหมู่พวกเขาผู้อาวุโสใหญ่กับผู้อาวุโสสามรับของมามากที่สุด ผู้อาวุโสรองไม่เคยรับ ‘ของขวัญแสดงความกตัญญู’ จากเรือนรองจึงหนีพ้นการต้องควักเนื้อก้อนโตได้

ของขวัญแสดงความกตัญญูที่มอบให้ผู้อาวุโสใหญ่กับผู้อาวุโสสามก็คือกระดานหมากทำจากหยกอุ่นที่เสิ่นซื่อนำมาจากเตียนตูสองชิ้น เงินอะไรพวกนั้น เฉียวเวยไม่สืบสาวเรียกคืน อย่างไรเสียตอนบิดาของนางปกครองตระกูลก็กตัญญูกับผู้อาวุโสทั้งหลายเป็นอย่างดี ทว่ากระดานหมากหยกอุ่นนั่นเป็นของแทนใจระหว่างบิดามารดาของนาง ชิ้นหนึ่งสลักรูปนกเป็ดน้ำตัวตัวผู้ อีกชิ้นหนึ่งสลักรูปนกเป็ดน้ำตัวเมีย มีความหมายมากมายนักจึงจำเป็นต้องเอากลับมา

ผู้อาวุโสทั้งสองแค้นเรือนรองแทบตาย ตอนนั้นที่มอบกระดานหมากมาให้พวกเขา เรือนรองมิได้บอกว่าของชิ้นนี้มีเป็คู่ แล้วยังเป็นคู่นกเป็ดน้ำ เมื่อลองคิดว่าตนเองกับผู้อาวุโสใหญ่ (สาม) ถือของแทนใจคู่กันมาเนิ่นนานหลายปี ทั้งสองคนก็รู้สึกขนลุกเกรียวด้วยความสะอิดสะเอียน

“ฮูหยิน สิ่งนี้ก็ใส่เข้าไปด้วยหรือ” ในเรือนของเรือนสี่ จวี๋เซียงถือเชิงเทียนชุบทองชิ้นหนึ่งมาถามฮูหยินสี่

ฮูหยินสี่พยักหน้า “ใส่เข้าไปด้วย”

จวี๋เซียงใส่เชิงเทียนเข้าไปในหีบ แล้วก้มลงไปใต้เตียง เปิดแผ่นหินที่พื้น หยิบเงินหีบน้อยหลายหีบออกมาจากในช่องลับ “ฮูหยิน”

ฮูหยินสี่ชี้หีบใบใหญ่ “ใส่เข้าไปด้วยเถิด”

“เจ้าค่ะ” จวี๋เซียงจัดการเสร็จก็ปัดฝุ่นบนร่างแล้วว่า “เก็บเรียบร้อยหมดแล้วเจ้าค่ะ”

ฮูหยินสี่ถือใบรายการขึ้นมา “ข้าจะตรวจนับอีกสักรอบ”

ฮูหยินสามเดินเข้ามาในห้องอย่างหัวฟัดหัวเหวี่ยง “น้องสะใภ้สี่เจ้าได้ยินแล้วหรือยัง พี่รองพ่ายแพ้เสียตำแหน่งเจ้าตระกูลไปแล้ว แม่สาวน้อยเรือนใหญ่จึงมาทวงหนี้เอากับพวกเรา! เจ้าคิดดูหลายปีที่ผ่านมาทุกคนล้วนคิดว่าพวกเขาตายแล้ว เงินก็ใช้ไปจนหมดแล้ว จะเอาออกมาจากที่ไหน…”

ยังไม่ทันกล่าวจบประโยค นางก็มองเห็นหีบที่ฮูหยินสี่กำลังจะปิดแต่ปิดไม่ทัน เครื่องหยกเครื่องทอง ก้อนเงินสีขาวแวววาวข้างในเรียงรายละลานตา ส่องประกายระยิบระยับ นางอ้าปากกว้าง “เจ้าเก็บเอาไว้ไม่ได้ใช้เลยอย่างนั้นหรือ”

ฮูหยินสี่ยิ้มแห้ง

แววตาของฮูหยินสามเย็นยะเยือกในพริบตา “เจ้าคาดอยู่แล้วว่าจะมีวันนี้ใช่หรือไม่ เจ้าตั้งตาคอยให้เรือนใหญ่กลับมาเช่นนั้นสินะ!”

แต่เดิมฮูหยินสามมาหาฮูหยินสี่เพื่อจะชักชวนมาเป็นพวก ร่วมกันกับเรือนรองไม่ส่งมอบสิ่งใดให้ทั้งสิ้น แต่ฮูหยินสี่…เห็นชัดว่าไม่คิดจะเป็นพวกเดียวกับพวกนาง

“เจ้าเก่งมาก เจ้าเก่งมากจริงๆ!” ฮูหยินสามเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันเอ่ยจบก็เดินออกจากห้องไปอย่างเย็นชา

นอกจากเรือนสี่ เรือนที่เหลือต่างเอาเงินมากมายปานนั้นออกมาไม่ได้อย่างสิ้นเชิง เหตุผลไม่ใช่อื่นใด แต่เป็นเพราะว่าพวกเขาไม่รู้ว่าเฉียวเจิงจะมีชีวิตกลับมา ดังนั้นจึงใช้เงินของเฉียวเจิงอย่างสุรุ่ยสุร่ายไปนานแล้ว ส่วนที่ยังไม่ได้ใช้ก็กลายเป็นร้านค้าและที่นา อย่างไรก็คงจะให้พวกเขาเอาร้านค้ากับที่นาไปทดแทนกันไม่ได้หรอกกระมัง

ผู้ที่ย่ำแย่ที่สุดก็คือเรือนรอง เรือนรองใช้เงินไปมากที่สุด เพื่อปูเส้นทางให้เฉียวเย่ว์ซาน สวีซื่อมอบของขวัญล้ำค่าไม่รู้ตั้งเท่าใด้ให้แก่ขุนนางใหญ่ในราชสำนัก ของบางอย่างเป็นของเฉียวเจิง ของบางอย่างใช้เงินของเสิ่นซื่อซื้อหา ทั้งหมดล้วนมิอาจทวงกลับมาได้

ยังไม่ต้องพูดถึงสิ่งเหล่านี้ เพียงเงินที่นางใช้กับตนเอง ใช้กับลูกๆ ก็เป็นจำนวนมากมายมหาศาลแล้ว

เมื่อรวมกับยาที่เสิ่นซื่อนำมาจากหุบเขาสมุนไพร แต่ละอย่างล้วนมีค่าไม่ธรรมดา เมื่อคำนวนเปลี่ยนเป็นเงินแล้ว เรือนรองก็ล้มละลายได้เลย

“ฮูหยิน ฮูหยิน บ่าวมีหนทางแล้วเจ้าค่ะ” หลินมามาเอ่ยขึ้นมา

“วิธีอันใด” สวีซื่อถามอย่างร้อนรน