ตอนที่ 150-2 เกิดเรื่อง
“แยกบ้านหรือ” ระหว่างทางกลับหมู่บ้าน เฉียวเวยก็ถามซิ่วไฉเฒ่าอย่างประหลาดใจ
ซิ่วไฉเฒ่าจึงพยักหน้าเหมือนกำลังขบคิดบางสิ่ง “ใช่แล้ว หากเรือนรองเอาเงินจำนวนนั้นออกมาไม่ได้ ย่อมทำได้เพียงใช้วิธีแยกบ้านเพื่อปกป้องตนเอง ก่อนเหล่าไท่เหยียล่วงลับได้เก็บมรดกไว้ให้แต่ละเรือน มรดกก้อนนี้หากไม่ได้แยกบ้านก็ห้ามแตะ”
“จำนวนมากหรือ” เฉียวเวยถาม
ซิ่วไฉเฒ่าจึงตอบว่า “น่าจะเพียงพอเติมส่วนที่ขาดระหว่างหลายปีนี้ แต่แยกบ้านจำเป็นต้องได้รับความยินยอมจากผู้อาวุโส หากผู้อาวุโสไม่อยู่แล้วก็ต้องให้เจ้าตระกูลกับผู้อาวุโสในตระกูลทั้งหลายเห็นด้วย ไม่ใช่ว่าพวกเขาคิดอยากจะแยกก็แยกได้”
เมื่อคิดอะไรได้ มุมปากของเฉียวเวยก็ยกโค้งขึ้นมานิดๆ “ก็แยกสิ!”
วันต่อมาเฉียวเวยกับอี้เชียนอินถูกเชิญมายังจวนเอินปั๋ว สวีซื่อเสนอว่าจะแยกบ้านจริงๆ
อี้เชียนอินเคาะกระดิ่ง ติ๊ง! ติ๊ง!
เฉียวเวยจึงบอกว่า “บิดาของข้าไม่เห็นด้วย”
สวีซื่อยกคำพูดที่เตรียมไว้ดีแล้วมาอ้าง “ตอนนี้อารองของเจ้าเป็นท่านโหวแล้ว หากจะอยู่ในตระกูลเฉียวอีกคงไม่เหมาะสม”
เฉียวเวยกล่าวอย่างไร้เดียงสา “อ้อ อารองดูแคลนพวกเราแล้วใช่หรือไม่”
สวีซื่อคงน้ำเสียงนิ่งสงบอย่างยากลำบาก “ไม่ได้หมายความเช่นนั้น เพียงแต่อารองของเจ้างานการยุ่งมาก ตระกูลเฉียวก็อยู่ไกลนัก ข้ากับอารองของเจ้าจึงคิดว่าจะซื้อจวนสักหลังที่ใกล้หน่อยเพื่อให้สะดวกในการทำงาน”
ช่างเป็นเหตุผลที่เถียงข้างๆ คูๆ เสียจริง เฉียวเวยยิ้มโดยไม่เปลี่ยนสีหน้าสักนิด “อาสะใภ้รองไม่พูดออกมาเลยเล่าว่าพวกเราสองเรือนเป็นอริกัน ท่านกลัวว่าข้ากับบิดาของข้าจะเอาตำแหน่งมาแก้แค้นพวกท่านเป็นการส่วนตัว”
สวีซื่อเหลือบมอง ‘เฉียวเจิง’ วูบหนึ่ง แล้วเอ่ยอย่างไม่มีความมั่นใจ “พี่ใหญ่โอบอ้อมอารี ย่อมไม่ทำเช่นนั้น”
เฉียวเวยยิ้ม “ถ้าเช่นนั้นท่านจะบอกว่าข้าอาจจะทำหรือ”
“เจ้าเลิกบิดเบือนความหมายของข้าเสียที!” สวีซื่อตระหนักได้แล้วว่าตนเองกำลังถูกอีกฝ่ายจูงจมูก นางตั้งสติแล้วเอ่ยขึ้นว่า “บอกมาคำเดียว เจ้าจะแยกหรือไม่แยก”
เฉียเวยเสแสร้งทำเป็นถามอี้เชียนอิน “ท่านพ่อ อาสะใภ้รองต้องการแยกบ้าน ท่านว่าจะแยกหรือไม่แยกดีเล่า ไม่แยกก็อยู่ขัดหูขัดตา หากแยกก็กลัวผู้อื่นตำหนิว่าท่านใจคอคับแคบ พอกลับมาก็ไล่น้องสะใภ้”
สวีซื่อกำนิ้วมือ “เจ้าวางใจ ข้าออกไปอยู่ข้างนอกแล้วจะไม่มีทางว่าร้ายพี่ใหญ่แม้แต่คำเดียว”
เฉียวเวยเอ่ยอย่างเอื่อยเฉื่อย “คิดว่าท่านจะพูดว่าจะดีต่อข้าไปทั้งชีวิตเสียอีก”
สวีซื่อสำลักจนหน้าแดง
เฉียวเวยถอนหายใจ “เอาเถิดๆ อารองมีหน้ามีตาแล้ว คงดูแคลนญาติยากจนเหล่านี้อย่างพวกเราแล้ว อาสะใภ้รองอยากแยกก็แยกเถิด แต่ข้าขอบอกเอาไว้ก่อน ต้องเขียนหนังสือไว้เป็นหลักฐาน อาสะใภ้รองเป็นคนเสนอว่าจะแยกบ้านเอง แต่เดิมพ่อของข้าไม่เห็นด้วย แต่ทัดทานการยืนกรานของท่านไม่ไหว”
ตอนนี้สวีซื่อสนใจสิ่งต่างๆ มากมายเพียงนั้นไม่ไหว นางเพียงต้องการรีบเอามรดกก้อนนั้นของเรือนรองแล้วจากไป มิฉะนั้นหากชักช้าเกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้นมา ผู้ใดก็ไม่รู้ว่าแม่สาวน้อยคนนี้จะทำอันใดกับเรือนรองของพวกเขาอีก
“พวกท่านเล่า พวกท่านอยากแยกบ้านด้วยหรือไม่” เฉียวเวยถามฮูหยินสามกับฮูหยินสี่ที่อยู่ด้านข้าง
ทั้งสองคนส่ายหน้าอย่างพร้อมเพรียง
ล้อเล่นอะไรกัน พวกนางไม่ได้มีสามีเป็นท่านโหวเสียหน่อย ออกไปข้างนอก นั่งกินนอนกินสมบัติ ไม่กี่ปี มรดกของเหล่าไท่เหยียก็คงใช้หมดสิ้นแล้ว มิสู้อยู่ในตระกูลเฉียวดีกว่า
ยามเที่ยงเฉียวเวยเชิญผู้อาวุโสทั้งหลายมา ไม่ทราบว่าเฉียวเวยคิดไปเองหรือไม่ นอกจากผู้อาวุโสรองแล้ว ผู้อาวุโสอีกหกคนเหมือนจะผอมลงไปรอบหนึ่ง กระอักเลือดมากเกินไปหรือเฉือนไขมันออกมามากเกินไปกันนะจึงผอมลงจนเห็นชัดเช่นนี้
แววตาที่ผู้อาวุโสทั้งหลายมองเฉียวเวยล้วนแฝงไปด้วยเจตนาร้าย น่าเสียดายพวกเขาไม่มีหนทางจะทำสิ่งใดกับเฉียวเวยได้แม้แต่น้อย จึงต้องกล้ำกลืนความแค้นไว้จนหน้าเขียว
เมื่อมี ‘เฉียวเจิง’ กับผู้อาวุโสทั้งหลายเป็นพยาน เรืองรองก็แยกบ้านกับจวนเอินปั๋ว
การแยกบ้านไม่ได้หมายความว่าถูกตระกูลเฉียวขับไล่ออกไป พวกเขายังอาศัยอยู่ที่จวนเอินปั๋วได้ เพียงแต่ว่าค่าใช้จ่ายทุกอย่างแยกออกจากตระกูลทั้งหมด ทว่าด้วยนิสัยหยิ่งทะนงของสวีซื่อ จะยอมกลายเป็นคนนอก ‘อิงแอบรั้วของผู้อื่น’ ได้อย่างไร
สวีซื่อเก็บบันทึกการแยกบ้านเสร็จก็รับตั๋วเงินที่เหล่าไท่เหยียเก็บไว้ให้เรือนรองจากคลัง จากนั้นยิ้มกว้างเอ่ยว่า “แม้จะแยกบ้านแล้ว แต่พวกเราก็ยังเป็นญาติกัน เรือนก็ปล่อยไว้ก่อนเถิด วันเทศกาลหรือปีใหม่ข้ายังจะกลับมาเยี่ยนเยียนพวกเจ้า”
เฉียวเวยยิ้มละไม “อาสะใภ้รองจะย้ายไปที่ใด”
สวีซื่อยิ้มตอบ “ข้าถูกใจจวนน้อยหลังหนึ่งที่ถนนชิงหยาง ไปอาศัยที่นั่นก่อน รอราชสำนักจัดหาจวนให้อารองของเจ้าแล้วค่อยย้ายเข้าไปในจวนโหว ถึงเวลาก็แวะมาเยี่ยมกันบ้างเล่า”
ฮูหยินสามอิจฉาริษยา จวนที่ถนนชิงหยาง พี่สะใภ้รองช่างมีเงินจริงนะ!
สวีซื่อไม่ได้มีเงินจริงๆ หรอก มรดกของเหล่าไท่เหยียหลังจากนำไปชดเชยส่วนที่ขาดของเรือนใหญ่แล้ว ส่วนที่เหลือก็พอซื้อจวนได้หลังหนึ่งเท่านั้น
แต่นางไม่กลัว เพราะว่าสิ้นเดือนนางก็จะมีรายได้มหาศาลก้อนหนึ่งเข้ามาแล้ว เงินค่าสินค้าของไข่เยี่ยวม้านั่นเอง
หากนางทำกิจการไข่เยี่ยวม้าให้ดี ย่อมไม่ด้อยกว่าการเปิดหอหลิงจือ
ยิ่งไปกว่านั้นเงินจากหอหลิงจือต้องแบ่งให้ตระกูลเฉียวทั้งหมด แต่เงินจากไข่เยี่ยวม้าเข้ากระเป๋าของนางคนเดียว ไม่ว่าจะคิดอย่างไร การแยกบ้านก็คุ้ม
สวีซื่อยิ้มอย่างลำพอง “เอาล่ะ ข้าไม่คุยกับพวกเจ้าแล้ว ข้านัดเจ้าของบ้านไว้ วันนี้ต้องไปซื้อจวนให้เสร็จ”
หัวใจของฮูหยินสามริษยาจนดวงตาประหนึ่งคมดาบตวัดฉับ แทบจะฟาดฟันนางกลายเป็นตะแกรงร่อน!
เฉียวเวยยิ้มน้อยๆ “อาสะใภ้รองเดินทางปลอดภัย”
สวีซื่อจากไปอย่างหยิ่งยโส
นางคนต่ำช้าผู้นี้รู้จักแต่แย่งของของเรือนใหญ่กลับไป แต่ไม่รู้เสียแล้วว่านางกำลังจะชิงรุกฆาตกิจการของนาง รอนางทำกิจการจนใหญ่โตขึ้นมาแล้ว วันนั้นนางคนต่ำช้าต้องมาประจบนาง!
สวีซื่อนั่งรถม้าไปยังถนนชิงหยาง จวนหลังนี้ฮวงจุ้ยดี ตำแหน่งที่ตั้งก็ดี จึงเป็นที่นิยมยิ่งนัก ตอนสวีซื่อก้าวข้ามธรณีประตูมา ก็มีลูกค้าคนอื่นอีกสองคนมาเลือกจวนด้วย
เจ้าของบ้านยิ้มแย้มทักทายสวีซื่อ “โหวฮูหยิน”
สวีซื่อขานตอบอย่างหยิ่งยโส “ข้าไม่ได้บอกแล้วหรือว่าจะซื้อจวนของเจ้า เหตุใดเจ้ายังให้ผู้อื่นมาดูอีก”
เจ้าของบ้านมองนายบ่าวอีกสองคู่ แล้วบอกอย่างลำบากใจ “โหวฮูหยินบอกปากเปล่าแล้ว แต่ท่านไม่ได้วางมัดจำ ดังนั้น”
สวีซื่อกวาดสายตามองคนอีกสี่คนแล้วบอกว่า “จวนหลังนี้ข้าซื้อแล้ว พวกท่านไปดูที่อื่นเถิด”
ฮูหยินรูปร่างท้วมเอ่ยขึ้นว่า “พวกเรามาถึงก่อนเจ้านะ เหตุไฉนเจ้าบอกว่าซื้อแล้วก็คือซื้อแล้วเล่า”
สวีซื่อแค่นเสียงดังเหอะ “ข้ามาดูตั้งแต่เมื่อวานแล้ว”
ฮูหยินร่างท้วมหัวเราะ “ข้าก็มาดูตั้งแต่เมื่อวันก่อนแล้วเหมือนกัน!”
“ใช่แล้ว ข้าก็มาเมื่อวันก่อนเหมือนกัน” ฮูหยินร่างผอมอีกคนเอ่ยตาม
สวีซื่อกล่าวอย่างโอหัง “ผู้ใดให้ราคาสูงก็ได้ไป พวกเจ้าให้เท่าไร ข้าให้เพิ่มอีกหนึ่งพันตำลึง!”
หนึ่งพันตำลึงไม่ใช่จำนวนน้อยๆ คนผู้นี้เสียสติไปแล้วใช่หรือไม่ จวนหลังเล็กเท่านี้มีราคามากเพียงนั้นเชียวหรือ
ฮูหยินทั้งสองตีกลองถอยทัพ
สวีซื่อยิ้มอย่างพึงพอใจ “ขายให้ข้าได้แล้วหรือไม่”
เจ้าของบ้านอ้าปาก “เอ่อ…เดิม…เดิมที…ราคาคือ…หกพันตำลึง…”
สวีซื่อตอบอย่างไม่ตระหนักสักนิด “ข้าพูดคำไหนคำนั้น ให้เจ้าเจ็ดพัน แต่ตอนนี้ในมือข้าถือเงินมาเท่ากับที่เจ้าบอกไว้ตอนแรกเท่านั้น หลายวันนี้ข้าต้องออกไปข้างนอก สิ้นเดือนจึงจะกลับมา ถึงยามนั้นข้าค่อยจ่ายหนึ่งพันตำลึงที่เหลือให้เจ้า”
สิ้นเดือนก็จะได้เงินค่าสินค้าส่วนหนึ่งแล้ว
เจ้าของบ้านยื่นมือออกไปรับตั๋วเงิน แต่ยังไม่ทันรับถึงมือ ก็เห็นหลินมามาวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามา นางชนเจ้าของบ้านจนกระเด็นแล้วคว้ามือของสวีซื่อไว้ “ฮูหยิน! เกิดเรื่องแล้วเจ้าค่ะ! เกิดเรื่องใหญ่แล้ว!”
สวีซื่อตอบอย่างไม่สบอารมณ์ “ผู้ใดเป็นอะไร นายท่านหรือว่าจ้งชิง”
“ไม่ใช่ทั้งคู่เจ้าค่ะ!” หลินมามาอยากจะร่ำไห้แต่ไร้น้ำตา “ที่โรงงาน! โรงงานของพวกเรา…เกิดเรื่องแล้วเจ้าค่ะ!”
โรงงานของสวีซื่อเพิ่งเปิดเมื่อต้นเดือน ที่ตั้งอยู่ที่ชานเมืองตะวันตกของเมืองหลวง เริ่มแรกเพื่อจะเร่งผลิตสินค้า นางจึงจ้างคนจำนวนมากถึงหลายสิบคน ภายในเวลาครึ่งเดือนเร่งงานจนเสร็จทั้งหมด หลังจากนั้นจึงเริ่มทำของเดือนถัดไป
ตามที่สูตรบอก เวลาการหมักไข่เยี่ยวม้าคือราวยี่สิบถึงสามสิบวัน หากไม่เกิดเรื่องผิดคาด สิ้นเดือนก็จะส่งสินค้าได้หนึ่งหมื่นฟอง ก่อนหน้าวันที่สิบของเดือนถัดไปก็จะส่งได้ครบสองหมื่นฟอง
ตอนนี้กำหนดเวลาใกล้เข้ามาแล้ว ผู้ดูแลจึงเปิดโถใบหนึ่ง อยากจะดูว่าหมักได้เป็นอย่างไร ไหนเลยจะรู้ว่าเมื่อเปิดออกมา กลิ่นเหม็นเน่าสายหนึ่งก็โถมเข้ามาใส่จมูกจนผู้ดูแลอาเจียนออกมาทันที!
ผู้ดูแลสังหรณ์ว่าท่าจะไม่ดีแล้วจึงฉีกผนึกอีกสองสามโถ แล้วก็พบว่ากลิ่นเหม็นฉึ่งเหมือนกับโถก่อนหน้า!
ผู้ดูแลก็ไม่ทราบว่าเกิดปัญหาขึ้นที่ใด แต่ผู้ดูแลทราบว่านี่เป็นการค้าที่ทำกับในวังหลวง หากทำไม่ดีอาจต้องหัวหลุดจากบ่า ดังนั้นเขาจึงเก็บสัมภาระเผ่นแน่บไปทันที
เมื่อสวีซื่อรีบเร่งมาถึงโรงงาน คนงานก็หนีกันไปพอสมควรแล้ว
สวีซื่อจับตัวเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่หอบสัมภาระหนีออกมาข้างนอกไว้ “เจ้าจะหนีอะไร เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่”
เด็กหนุ่มปิดจมูก “ท่านไม่ได้กลิ่นหรือ ไข่เน่าหมดแล้ว! ส่งสินค้าไม่ได้แล้ว!”
สวีซื่อราวกับถูกไม้ฟาดเข้าที่ศีรษะ ร่างกายโงนเงน
เหรียญทองแดงของเด็กหนุ่มร่วงออกมา เขาก้มตัวลงเก็บ จากนั้นก็หนีไปโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง
สวีซื่อให้หลินมามากับสารถีเปิดโถทั้งหมด ไม่มีสักโถที่ดีเลย…
“เฉียวฮูหยิน สินค้ารอบนี้ข้าหาลูกค้ามาซื้อล่วงหน้าจนหมดแล้ว หากท่านส่งสินค้าตามเวลาได้ ข้าจะแบ่งกำไรหนึ่งส่วนให้ท่าน แต่หากท่านทำไม่ได้ ถ้าเช่นนั้นต้องจ่ายค่าชดเชยสามเท่าของราคาขาย”
ราคาขาย สองร้อยอีแปะต่อหนึ่งฟอง ไข่เยี่ยวม้าสองหมื่นฟอง ทั้งหมดก็สี่พันตำลึง ค่าชดเชยสามเท่า…หนึ่งหมื่นสองพันตำลึง…
หนึ่งหมื่นสองพัน หนึ่งหมื่นสองพัน หนึ่งหมื่นสองพัน…
สวีซื่อตาเหลือก เป็นลมไปแล้ว!
…
ในสวนด้านหลังของคฤหาสน์ ป้าหลัวทำอาหารมื้อดึกเต็มโต๊ะฉลองที่เฉียวเวยกับ ‘เฉียวเจิง’ ชูธงนำชัยชนะกลับมา ป้าหลัว ซิ่วไฉเฒ่า เฉียวเวย อากุ้ยกับภรรยา ปี้เอ๋อร์ เสี่ยวเว่ยนั่งอยู่ในงาน อี้เชียนอินกลับเมืองหลวงไปรายงานหมิงซิวแล้วจึงไม่ได้อยู่ที่นี่
ซิ่วไฉเฒ่าเล่าน้ำลายแตกฟองให้ทุกคนฟังว่าเฉียวเวยกับจอมยุทธ์อี้กล้าหาญอย่างไร ประหนึ่งว่าตัวเขาเองเห็นมาด้วยตนเองอย่างไรอย่างนั้น
พวกเขาล้วนดีใจแทนเฉียวเวย
เฉียวเวยลำบากมามากเท่าใด พวกเขาล้วนเห็นอยู่ในสายตา โดยเฉพาะอย่างยิ่งป้าหลัว ซิ่วไฉเฒ่ากับเสี่ยวเว่ย พวกเขารู้ว่าเฉียวเวยกับลูกทั้งสองคนใช้ชีวิตมาอย่างยากลำบากปานใด ยามยากจนข้นแค้นถึงที่สุดแม้แต่ข้าวสาร แป้งก็ไม่มีให้กิน เด็กทั้งสองคนผอมโซจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก ผู้คนที่เรียกตนเองว่าครอบครัวพวกนั้นไม่เคยช่วยเหลือจุนเจือพวกนาง
หากพวกเขากินของที่เป็นของตนเองก็แล้วไปเถิด แต่พวกเขาดันกิน ดื่มและใช้ของที่เป็นของเฉียวเจิงกับบุตรสาว
ตอนนี้เฉียวเวยบุกไปถึงบ้านทวงทรัพย์สมบัติคืนมาแล้ว สิ่งใดที่สมควรเรียกกลับมา ก็เรียกกลับอย่างไม่ไว้หน้า! ให้พวกคนใจดำเหล่านั้นคายของที่กลืนลงท้องไปออกมาให้หมด!
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรือนรองครอบครัวนั้น ไม่เพียงเคยไม่ยอมรักษาจิ่งอวิ๋นกับวั่งซู แล้วยังตีเฉียวเจิงจนบาดเจ็บ พวกชั่วช้าพรรค์นั้น ดีที่สุดให้ยากจนจนต้องกินแต่ลมไปเสีย!
เฉียวเวยทานอาหารค่ำเสร็จก็กลับมาในห้อง เฉียวเวยยังไม่รู้ว่าสวีซื่อค้นพบเรื่องไข่เยี่ยวม้าแล้ว แต่นางคาดว่าวันดังกล่าวคงมาถึงในอีกไม่ช้า สวีซื่ออดรนทนรอไม่ไหวอยากย้ายออกจากตระกูลเฉียวปานนั้น นางคงคิดว่าหลังจากแยกไปตั้งบ้านของตนเองแล้วจะไม่ต้องแบ่งเงินทองเข้ามาให้ตระกูลอีก แต่เมื่อสวีซื่อค้นพบว่าตนเองขาดทุนก้อนโต แม้แต่ข้าวยังไม่มีให้กิน ไม่รู้ว่าจะนึกเสียใจที่แยกบ้านเร็วเกินไปหรือไม่
“หัวหน้าพรรคเฉียวเหมือนจะอารมณ์ดีมากนะ”
จู่ๆ เสียงทุ่มต่ำทรงเสน่ห์ก็ดังขึ้นด้านหลัง ผสมกับน้ำเสียงหยอกล้อจางๆ ทั้งยังแฝงความเกียจคร้านกับความยั่วยวนอย่างบอกไม่ถูก
เฉียวเวยยิ้มแล้วหันกลับไป “ท่านมาแล้ว”
จีหมิงซิวเดินมาตรงหน้านาง ฝ่ามือข้างหนึ่งค้ำบนโต๊ะ เอนร่างลงมาเล็กน้อย ดวงตาจับจ้องมอง “มีอะไรให้อารมณ์ดีปานนี้หรือ”
“มี” เฉียวเวยตอบอย่างไม่ปิดบัง
“อารมณ์ดีมากหรือไม่” จีหมิงซิวถามพร้อมรอยยิ้ม
“อารมณ์ดีมากยิ่งนัก” เฉียวเวยแตะแก้มของเขา
…
วันนี้เป็นวันที่เฉียวเวยจะทำตามสัญญา
จูเอ๋อร์หิ้วตะกร้าจิ๋วใบหนึ่ง มือจับของตะกร้าพันแถบผ้าไหมสีชมพูผูกเป็นปมรูปผีเสื้อสีชมพู แลดูงดงามยิ่งนัก
จูเอ๋อร์เด็ดกลีบดอกไม้ในสวนดอกไม้มาจนเต็มตะกร้า จากนั้นเทลงในอ่างอาบน้ำใบจิ๋วของตนเอง มันหยิบที่หนีบผมที่ไม่มีอยู่จริงขึ้นมาม้วนเส้นผมยาวที่ไม่มีอยู่จริงอย่างสง่างาม จากนั้นจึงถอดเสื้อผ้ารวมถึงชั้นในตัวน้อยที่ไม่มีอยู่อีกเหมือนกัน ก่อนจะพับจนเรียบร้อยวางไว้บนเก้าอี้ที่ไม่มีตัวตนอยู่ แล้วลงไปนั่งในอ่างอาบน้ำอย่างสง่างาม
มันเป็นลิงน้อยผู้สะสวยและสะอาด บนตัวไม่มีเห็บหมัด
หลังจากอาบน้ำแช่กลีบดอกไม้อย่างอิ่มเอมจนเสร็จ มันก็ปีนขึ้นไปตากลมธรรมชาติบนหลังคาจนแห้ง หลังจากนั้นจึงทัดดอกกุหลาบสีชมพูดอกหนึ่งบนหัว เข้ามาในห้องพร้อมกับร่างกายอันหอมฟุ้ง
เสี่ยวไป๋หมอบอยู่ที่ประตูอย่างขุ่นเคือง มันปิดหูเล็กๆ เอาไว้
จูเอ๋อร์มองเสี่ยวไป๋อย่างชดช้อยประหนึ่งหญิงสูงศักดิ์ผู้สง่างามนางหนึ่ง
เสี่ยวไป๋ส่งเสียงดังเหอะ ปิดหูแน่นขึ้นกว่าเดิม
จูเอ๋อร์รู้สึกว่าตนเองสูงสง่ายิ่งนัก จึงไม่คิดเล็กคิดน้อยกับอีกฝ่าย มันยกมือเรียวงามขึ้นเปิดประตู
เอ๋
เปิดไม่ออก
ผลักอีกหน
ก็ยังผลักไม่ขยับ!
กล้าลงกลอน ประตู เชียวหรือ!
จูเอ๋อร์อ้อมไปทางหน้าต่างแล้วปีนหน้าต่างเข้าไป
จิ่งอวิ๋นกับวั่งซูเหตุไฉนจึงนอนอยู่บนพื้นของเตียงป๋าปู๋ ดูท่าคืนนี้บนเตียงคงมีแต่จูเอ๋อร์กับเสี่ยวเวยแล้ว!
จูเอ๋อร์ลิงโลด
มันเปิดมุ้งแล้วกระโดดขึ้นไปบนเตียง
เหมือนจุดที่กระโดดลงมาจะไม่ค่อยปกตินัก!
“เจี๊ยกกก”
และแล้วจูเอ๋อร์ก็ถูกโยนออกไปอย่างน่าเวทนา!