บทที่ 505 กฎเกณฑ์การแข่งขันที่แปลกประหลาด

พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ

วารุณีได้ยินชายหนุ่มไม่พอใจ ก็ปิดปากหัวเราะขึ้นมา “เอาล่ะค่ะ ฉันพูดแบบนี้กับคุณนี่แหล่ะ รีบไปพักผ่อนนะคะ คุณอายุสามสิบกว่าแล้ว ถ้าไม่รักษาดูแลสุขภาพ ถ้าหากวันไหนล้มไป ฉันกับลูกๆสองคนจะทำยังไง ไม่แน่นะคะว่าฉันจะพาลูกทั้งสองคนไปแต่งงานใหม่จริงๆก็ได้”

“คุณกล้า!” เสียงกังวานของนัทธีสูงขึ้น

วารุณีหัวเราะอย่างมีความสุขมากกว่าเดิม “คุณก็ดูสิคะว่าฉันจะกล้าหรือเปล่า?”

นัทธีเม้มปากเป็นเส้นตรงเส้นเดียว “คุณไม่มีโอกาสนั้นหรอก คุณเป็นของผมเท่านั้น”

“โอเคค่ะๆ ถ้าอย่างนั้นรีบไปพักผ่อนเถอะ ฉันเองก็คงต้องออกไปแข่งแล้ว แล้วเดี๋ยวก็ต้องไปรับศรัณย์อีก” วารุณีดูเวลาแล้วเอ่ยขึ้น

นัทธีตอบรับ “ครับ”

การคุยโทรศัพท์สิ้นสุดลง เขาวางโทรศัพท์มือถือ มองดูเอกสารตรงหน้าที่ยังจัดการไม่เสร็จ หลังจากที่เงียบไปไม่กี่วินาทีนั้น ในที่สุดก็ผลักไปทางด้านข้างแล้วลุกขึ้นยืน

ประโยคนั้นที่ว่าอายุสามสิบกว่าแล้วของวารุณี ทำให้เขารู้สึกเจ็บ

นอกจากนี้แล้ว ยังมีประโยคนั้นที่ว่าตายขึ้นมากะทันหัน แล้วจะพาลูกทั้งสองคนไปแต่งงานใหม่อีก ให้เด็กๆทั้งสองคนเรียกผู้ชายคนอื่นว่าพ่อ ยิ่งทำให้เขาโมโห

ฮึ่ย พักผ่อนก็พักผ่อน เขาจะไม่ให้โอกาสเธอได้ไปแต่งงานใหม่หรอก

นัทธีนวดคิ้ว แล้วเดินไปยังห้องของตัวเอง

ที่ต่างประเทศ วารุณีวางโทรศัพท์มือถือลงแล้วหัวเราะ “คนโง่”

เธอพอจะนึกออกถึงท่าทางของนัทธีที่อยู่ทางปลายสายในเวลานี้ จะต้องไปพักผ่อนอย่างว่าง่ายอย่างแน่นอน

อย่ามองว่าท่าทางภายนอกของเขาดูสูงส่งและเย่อหยิ่ง แต่หลังจากที่ได้มาเข้าใจเข้าจริงๆแล้ว จะพบว่าเขาก็มีความคิดเหมือนเด็ก แล้วก็เอาจริงเอาจังมากด้วย หรือแม้กระทั่งดูขี้งอนอยู่บ้างเสียด้วยซ้ำ

เธอคิดว่า ความจริงแล้วนั่นคงจะเป็นนิสัยที่แท้จริงของเขา เพียงแต่ได้รับการศึกษาที่ยอดเยี่ยมมาตั้งแต่เด็ก จึงเคยชินที่จะซ่อนนิสัยที่แท้จริงเอาไว้ภายใต้ความเย็นชาที่แสดงออกมาภายนอก มีเพียงแค่คนที่ใกล้ชิดที่สุดเท่านั้นถึงจะเปิดเผยออกมาให้เห็น

ส่วนเธอ ก็คือคนที่ใกล้ชิดมากที่สุดคนนั้น

หลังจากที่ทานอาหารเช้าเสร็จแล้ว วารุณีก็ส่งลูกทั้งสองคนให้กับคนรับใช้ แล้วออกไปเข้าร่วมการแข่งขันกับเชอรีน

ตามจำนวนรอบของการแข่งขันที่นับวันยิ่งมากขึ้น ผู้ได้รับการคัดเลือกที่ตกรอบไปก็ยิ่งมากขึ้น กฎเกณฑ์การแข่งขันก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไปด้วยเช่นกัน

อย่างเช่นการแข่งขันในครั้งนี้ ไม่ใช่การคัดออกสองคนสุดท้ายของกลุ่มไปทีละคน แต่เป็นการคัดออกทั้งกลุ่ม

ดังนั้นการแข่งขันครั้งนี้ เป็นการแข่งขันแบบทีม และกฎเกณฑ์การแข่งขันก็แปลกประหลาดมากเช่นกัน ทางผู้จัดได้จัดนางแบบที่มีรูปร่างที่ไม่สมบูรณ์ แล้วแบ่งไปให้กับแต่ละทีม ให้สองสามทีมนั้นออกแบบเสื้อผ้าให้กับนางแบบของกลุ่มตัวเอง เพื่อบดบังข้อบกพร่องของรูปร่างของนางแบบเหล่านี้ แล้วแสดงถึงจุดเด่นของพวกเธอออกมาทั้งหมด

นั่นก็คือ การแข่งขันครั้งนี้ นางแบบอย่างพวกเชอรีนนั้นถอนตัวออกไปก่อนเป็นการชั่วคาว ไม่ต้องเดินแบบแล้ว

เชอรีนมาข้างๆวารุณี “วารุณี การแข่งขันครั้งนี้ยากเกินไปแล้วหรือเปล่า”

วารุณีพยักหน้าลง “จริงๆนั่นแหล่ะ การแข่งขันครั้งนี้ไม่มีการกำหนดหัวข้อ ให้นักออกแบบได้แสดงความสามารถตามนางแบบที่ได้แบ่งไปให้ เพราะฉะนั้นเสื้อผ้าที่ออกแบบมา สไตล์ก็จะแปลกพิลึก ไม่สามารถทำให้ตรงกันได้ ถึงตอนนั้นถ้าหากผลงานของนักออกแบบเหล่านั้นไม่เหมาะสมกับนางแบบคนนั้นก็จะถูกหักคะแนน หลังจากนั้นก็จะดึงคะแนนของกลุ่มลงด้วย”

ถึงอย่างไรนักออกแบบก็มีรสนิยมที่สูงมากอยู่แล้ว พวกเขามีความภูมิใจเป็นของตัวเอง ออกแบบเสื้อผ้า ก็ไม่เคยพิจารณาถึงคนที่รูปร่างพิการจะไม่สามารถสวมใส่ได้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว แม้กระทั่งพวกเขาเองก็ไม่หวังที่จะเห็นผลงานของตัวเองถูกคนเหล่านั้นสวมใส่อยู่บนร่างกายด้วยเช่นกัน

เนื่องจากจะเป็นการทำลายเสื้อผ้า และที่สำคัญที่สุดคือ สังคมภายนอกก็จะหัวเราะเยาะเสื้อผ้าของพวกเขาด้วยที่ได้สวมใส่อยู่บนร่างของคนแบบนั้น ซึ่งเป็นการดึงระดับของพวกเขาให้ต่ำลงมากจริงๆ

ดังนั้นนักออกแบบในโลกนี้ ส่วนมาก จะไม่เคยออกแบบเสื้อผ้าให้กับคนที่มีรูปร่างที่พิการ ส่วนตอนนี้ปรากฏเกณฑ์ในการแข่งขันแบบนี้ขึ้น นักออกแบบหลายๆคนที่พากันขมวดคิ้ว เกิดความลำบากใจขึ้นมา

แม้แต่วารุณีเองก็ไม่เคยออกแบบให้กับคนที่มีรูปร่างพิการเหล่านี้ด้วยเช่นกัน รวมทั้งอาจารย์ของเธอด้วย อาจารย์เมอร์เซเดอเองก็เหมือนกัน

ไม่ใช่ว่าเป็นการดูถูกคนประเภทนี้ แต่ในวงการแฟชั่นไม่มีคนที่มีรูปร่างพิการแบบนี้ขึ้นมาเดินแบบบนเวทีมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว แม้แต่การออกแบบที่เป็นการวาดลงบนกระดาษ การวาดเค้าโครงรูปร่างคนนั้นก็สูงและเรียวยาวเช่นกัน ประกอบกับนักออกแบบอย่างพวกเขา ล้วนแต่ฝึกฝนมาด้วยครูที่มีชื่อเสียง หลังจากที่ออกไปแล้วก็ออกแบบเสื้อผ้าให้กับบุคคลที่มีชื่อเสียง คนที่มีชื่อเสียงก็จะสนใจภาพลักษณ์ของตัวเอง และไม่มีคนที่รูปร่างไม่ดีอยู่แล้ว

“พระเจ้า วารุณีเธอรับรู้แล้วใช่ไหม? บรรยากาศรอบๆดูหนักหน่วงมากเลยนะ” เชอรีนถูแขนตัวเองไปมาแล้วเอ่ยพูดขึ้นเบาๆ

วารุณีหัวเราะ “ก็ต้องดูหนักหน่วงอยู่แล้วสิ พวกเขาไม่เคยออกแบบเสื้อผ้าให้กับคนที่อยู่ด้านบนพวกนั้น เพราะฉะนั้นตอนนี้ก็รู้สึกลนลานกันอยู่บ้างแล้ว เนื่องจากว่าพวกเขาไม่รู้ว่าจะออกแบบอย่างไร นางแบบกับนักออกแบบจะต้องต่างฝ่ายต่างก็จะต้องส่งเสริมซึ่งกันและกัน นางแบบที่ดี จะทำให้นักออกแบบเกิดแรงบันดาลใจขึ้นมาได้ทันทีในระหว่างนั้น ถ้าหากนางแบบที่ไม่ดี อาจจะทำให้นักออกแบบไม่เกิดแรงบันดาลใจเลยแม้แต่นิดเดียวก็ได้นะ”

“ที่พูดมาก็ใช่นะ ฉันดูแล้วตอนนี้พวกเขากำลังอยู่ในสภาพที่ไม่มีแรงบันดาลใจเลย” เชอรีนพยักหน้า

วารุณีถอนหายใจออกมา “ก็ไม่มีวิธีนี่ ใครให้นักออกแบบมีรสนิยมสูงขนาดนั้นกัน ในสายตาไม่สามารถทนกับความกลัวกับสิ่งที่ไม่สวยงามได้ ถ้าหากพวกเขาไม่ใช้ใจไปเผชิญหน้ากับนางแบบเหล่านี้ ก็ยากที่จะมีแรงบันดาลใจขึ้นมาได้”

“ถ้าอย่างนั้นเธอมีไหม?” เชอรีนเอ่ยถาม

วารุณียักไหล่ขึ้น “ฉันไม่มี เพราะยังไม่รู้ว่าที่จัดไปให้ทีมA เป็นนางแบบคนไหน”

แววตาของเธอมองไปยังนางแบบสองสามคนที่อยู่ด้านบนเวที

มีคนเตี้ยที่มีส่วนสูงเพียงแค่หนึ่งเมตร มีคนที่ร่างกายติดกันและมีสองศีรษะ แล้วก็มีคนที่ร่างกายครึ่งหนึ่งลีบและอีกครึ่งหนึ่งเป็นปกติ……

ต้องบอกว่าการแข่งขันครั้งนี้เพี้ยนเกินไปแล้วจริงๆ

แล้วก็ไม่รู้ว่ากฎเกณฑ์การแข่งขันแบบนี้ใครเป็นคนคิดขึ้นมา

และไม่นาน หัวหน้าทีมของแต่ละทีมก็ไปจับฉลาก ตัดสินใจเลือกนางแบบ

เอเลน่าหัวหน้าทีมAขึ้นไปจับฉลากภายใต้ความกดดันจากสายตาของเพื่อนร่วมทีม

เชอรีนหัวเราะออกมาเสียงดัง “วารุณี เธอดูท่าทางนางสิ เหมือนกับขึ้นไปบนแท่นประหารเลย”

“ช่วยไม่ได้นี่ นางมีความกดดันเยอะนะ กลัวว่าจะจับได้นางแบบที่ไม่ดี แล้วจะโดนพวกเราตำหนิเอา” วารุณีกอดอกพลางเอ่ยขึ้น

เชอรีนเบะปาก “ความจริงแล้วฉันรู้สึกว่านางไม่ต้องเป็นกังวลเรื่องนี้เลยนะ เพราะว่านางแบบบนเวทีถึงแม้ว่าร่างกายจะมีจุดที่แปลกประหลาดไม่เหมือนกัน แต่ระดับความยากที่ต้องออกแบบเสื้อผ้าให้พวกเขานั้นเหมือนกันเลย เพราะฉะนั้นจับได้นางแบบคนไหนก็ไม่ได้ต่างกันหรอก”

“ไม่ นางแบบคนอื่นๆเหมือนกัน แต่มีนางแบบอยู่คนหนึ่งที่ไม่เหมือน”แววตาของวารุณีจ้องมองไปที่ผู้หญิงคนที่มีร่างเชื่อมติดกันคนนั้น

เชอรีนเห็นแล้วจึงกระพริบตาลง “เธอหมายถึงหมายเลขสอง?”

“ถูกต้อง” วารุณีพยักหน้าลงอย่างจริงจัง “ถึงแม้ว่าพวกเขาจะมีร่างกายเดียวกัน แต่เธออย่าลืมสิ โดยพื้นฐานแล้วจริงๆพวกเขาก็คือสองคน ในเมื่อคือสองคน ถ้าอย่างนั้นสิ่งที่พวกเขาชอบ สีที่ชอบ สไตล์ที่ชอบก็จะต้องไม่เหมือนกันอย่างแน่นอน ถ้าหากสไตล์เหมือนกันก็ยังดี แต่ถ้าหากตรงกันข้ามพอดีล่ะ?”

ถึงแม้ว่าเชอรีนจะไม่ใช่นักออกแบบ แต่ก็เข้าใจถึงผลลัพธ์ของสไตล์ที่ตรงกันข้าม

อย่างเช่นชุดดั้งเดิมของจีนที่ดูสุภาพและสวยงาม และเสื้อแจ็คเก็ตของวัยรุ่นหล่อเหลา ทั้งสองชุดนี้เป็นสไตล์ที่แตกต่างกันและมีปัจจัยสำคัญที่ไม่เหมือนกันเลย

ถ้าหากพี่น้องที่อยู่บนเวทีชอบสองสไตล์นี้ ประกอบกับพวกเธอมีร่างเดียวกัน เช่นนั้นแล้วพวกเขาในฐานะที่เป็นนักออกแบบ ก็จำเป็นต้องเอาปัจจัยสำคัญทั้งสองแบบนี้รวมเข้าด้วยกัน

เชอรีนนึกถึงเสื้อผ้าทั้งสองแบบที่มีสไตล์แตกต่างกันคนละทิศคนละทางมารวมเข้าด้วยกัน ก็อดที่จะสั่นสะท้านขึ้นมาไม่ได้

นี่ก็ไม่กลมกลืนกันเกินไปแล้วหรือเปล่า

“ฉันเข้าใจแล้ว ดังนั้นที่เอเลน่ากังวลก็คือ ตัวเองจะจับได้พี่น้องที่ร่างกายติดกันคนนั้นใช่ไหม?” เชอรีนมองไปยังเอเลน่าที่ยืนมือเข้าไปในกล่องฉลาก

วารุณีตอบกลับ “ไม่ใช่ก็ใกล้เคียง”

“แต่ฉันว่า ดูเหมือนนางจะจับได้แล้วนี่” เชอรีนเห็นเอเลน่าดูแผ่นกระดาษอยู่ แล้วมองพี่น้องที่ร่างกายติดกันด้วยอาการที่แทบจะร้องไห้จึงอดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้

วารุณีกระตุกมุมปากขึ้น “นี่ก็คงเป็นโชคชะตานั่นแหล่ะ ยิ่งกลัวอะไรก็ยิ่งได้เจอสิ่งนั้น ความจริงแล้วแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน ถึงแม้จะเป็นการท้าทายที่มากไปหน่อย ถ้าหากประสบความสำเร็จ ก็จะเป็นผลดีกับระดับมาตรฐานการออกแบบของทุกคน”