บทที่ 533 วังสวรรค์แห่งใหม่ คำขอร้องจากหลี่มู่อี

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 533 วังสวรรค์แห่งใหม่ คำขอร้องจากหลี่มู่อี

เจ็ดปีต่อมา หานตั้วเทียนมาขอเข้าพบหานเจวี๋ย

หานเจวี๋ยไม่อยากพบ แต่หานตั้วเทียนบอกว่ามีเรื่องใหญ่

หลังจากเข้ามาในอารามเต๋า หานตั้วเทียนก็คุกเข่าคารวะ

หานเจวี๋ยไม่ได้เอ่ยคำใดออกมา

หานตั้วเทียนเงยหน้าขึ้นพลางกล่าวว่า “อาจารย์ปู่เทียดขอรับ ระยะนี้ช่วงที่ข้าคอยดูแลของล้ำค่าฟ้าดินใต้ต้นฝูซัง ต้นฝูซังบอกข้าว่ามันเชื่อมต่อกับโลกมิติอื่นได้หลายร้อยมิติ มีแม้กระทั่งโลกที่ยังไร้มรรคาสวรรค์ควบคุม ข้ารู้สึกว่าสำนักซ่อนเร้นสามารถไปพัฒนาล่วงหน้าได้”

“มีสิ่งมีชีวิตมากมายในสำนักซ่อนเร้นที่คุณสมบัติบรรลุถึงขีดจำกัดแล้ว ไม่อาจก้าวหน้าในเส้นทางบำเพ็ญได้อีก ให้พวกเขาอยู่ที่สำนักซ่อนเร้นไปก็ไม่มีประโยชน์”

หานเจวี๋ยขมวดคิ้ว ภายใต้แสงเทพจากหยินหยางพิทักษ์ตะวันจันทรา หานตั้วเทียนมองไม่เห็นสีหน้าของเขา

หานเจวี๋ยคิดจะกล่าวแย้งตามสัญชาตญาณ แต่เมื่อคำพูดจ่อมาถึงปากก็ต้องหยุดไป

ต้องกล่าวเลยว่า วาจาของหานตั้วเทียนนั้นมีเหตุผลจริงๆ

แม้จะมีหานเจวี๋ยคอยแสดงธรรม มีอาณาเขตเต๋าคอยเสริมส่ง ก็ใช่ว่าสิ่งมีชีวิตทั้งหมดล้วนสามารถฝึกบำเพ็ญไปเรื่อยๆ อย่างไร้ขีดจำกัดได้ สิ่งมีชีวิตที่มีคุณสมบัติดาษดื่นอย่างมากก็บำเพ็ญได้ถึงระดับจักรพรรดิเซียนเท่านั้น

กาลครั้งหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว จักรพรรดิเซียนเคยเป็นระดับที่หานเจวี๋ยเอื้อมไม่ถึง

ในเมื่อเลี้ยงไปก็ไม่มีประโยชน์ ทำตามที่หานตั้วเทียนว่าก็นับว่ามีประโยชน์

ภายในขอบเขตมรรคาสวรรค์ ไม่มีความจำเป็นแล้ว แต่นอกขอบเขตมรรคาสวรรค์ยังสามารถทำได้ อย่างน้อยได้เรียนรู้เกี่ยวกับโลกภายนอก ก็ถือเป็นเรื่องดีเสมอ

หากว่าศิษย์เหล่านี้พบพานศัตรูแข็งแกร่งที่แม้แต่หานเจวี๋ยก็มีกำลังไม่พอ จะไม่ช่วยก็ได้

หานเจวี๋ยถาม “เจ้าก็ไม่ก้าวหน้าในการบำเพ็ญเช่นกันหรือ”

หานตั้วเทียนรีบเอ่ย “ข้าทำได้ขอรับ ข้ามิได้จะไปด้วยตัวเอง ข้าเพียงอยากเสนอความเห็นประการหนึ่ง มีศิษย์มากมายที่อยากสร้างคุณูปการต่อสำนักซ่อนเร้น แต่ไม่มีโอกาส ยกตัวอย่างเช่นวานรแขนยักษ์ที่เพิ่งกลับมาไม่นานนี้”

วานรแขนยักษ์ออกไปหาประสบการณ์อยู่หลายปี หลังจากถ่ายทอดพลังวิเศษของตนให้เผ่าพันธุ์วานรแขนยักษ์ก็กลับมาที่สำนักซ่อนเร้น

ส่วนภารกิจลับที่หานเจวี๋ยมอบหมายให้เขา เขาไม่ได้พบหานทั่ว จึงต้องยอมแพ้ไป

เหตุผลที่กลับมา สาเหตุหลักเป็นเพราะเขาแพ้การต่อสู้ย่างน่าอนาถ พ่ายแพ้ให้แก่ผู้บำเพ็ญพุทธแห่งสำนักพุทธ ดังนั้นจึงอยากกลับมาฝึกฝนให้แข็งแกร่งขึ้น

หานเจวี๋ยกล่าวว่า “เช่นนั้นเจ้าไปสรุปยอดมาก่อน หลังจากการแสดงธรรมครั้งต่อไปจบลง ค่อยจัดการ”

หานตั้วเทียนได้ฟังก็ปรีดา รีบพยักหน้ารับ

หานตั้วเทียนไม่ได้รบกวนเขาต่ออีก จากไปอย่างรวดเร็ว

หานเจวี๋ยหลับตาลง ฝึกบำเพ็ญต่อ

ขยายอิทธิพลนอกขอบเขตมรรคาสวรรค์ สำหรับหานเจวี๋ย มิได้จำเป็นเลย แต่จะมีก็ได้

….

ห้าสิบปีต่อมา

เมื่อว่างจากฝึกฝนหานเจวี๋ยจึงตรวจดูจดหมาย ตอนนี้พออ่านจดหมาย เขารู้สึกเหมือนเปิดกล่องสุ่ม

ไม่ทราบเลยว่าสหายคนไหนจะเคราะห์ร้ายเกิดเรื่องขึ้น

เสพสุขบนความทุกข์ของผู้อื่นอยู่ตลอด

[จี้เซียนเสินสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากผู้ทรงพลังลึกลับ ได้รับบาดเจ็บสาหัส]

[ฟางเหลียงศิษย์หลานของท่านเผชิญกับการโจมตีจากเผ่ามังกรแท้] x123021

[ฉิวซีไหลสหายของท่านหลอมรวมกับพลังแห่งมรรคาสวรรค์ เผชิญกับการสะท้อนลับ มรรคจิตได้รับความเสียหาย]

[จั้งกูซิงสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากผู้บำเพ็ญนิกายเจี๋ย] x763

[จักรพรรดิสวรรค์สหายของท่านก่อตั้งวังสวรรค์หวนปัจฉิม ดวงชะตาเพิ่มพูน]

[จักรพรรดินีผืนพิภพสหายของท่านเผชิญกับคำสาปแช่งลึกลับ]

[หวงจุนเทียนสหายของท่านได้รับการชี้แนะจากอริยะ พลังมรรคเพิ่มขึ้นฉับพลัน]

[หานมิ่งสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากหานทั่วบุตรชายของท่าน]

….

จี้เซียนเสินมิใช่ครึ่งอริยะหรอกหรือ

ยังได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นนี้อีกหรือ

ไม่ได้เรื่องอยู่บ้าง!

หานเจวี๋ยขมวดคิ้ว เพิ่งอ่านจดหมายก็รู้สึกโมโหเสียแล้ว

แต่เมื่อเห็นฉิวซีไหลหลอมรวมกับพลังแห่งมรรคาสวรรค์ไม่สำเร็จ เขาก็มีความสุขขึ้นมาอีกครั้ง

สิ่งที่น่ากลัวคือสหายร่วมกลุ่มทำตัวเป็นหมูอยู่ตลอด แต่ศัตรูกลับห้าวหาญเสมอมา

เมื่อไล่อ่านลงไป เป็นข่าวสำคัญยิ่งนัก

จักรพรรดิสวรรค์ก่อตั้งวังสวรรค์ กลับมาทำงานเดิมอีกครั้ง

หานเจวี๋ยเป็นห่วงจักรพรรดิสวรรค์ยิ่งนัก ได้แต่ภาวนาให้แดนเทพหวนปัจฉิมมีหานเจวี๋ยอีกสักคนที่คอยขจัดขวากหนามให้จักรพรรดิสวรรค์

ยามที่หานเจวี๋ยพบว่าหานทั่วโจมตีหานมิ่ง ก็มีความรู้สึกพิลึกพิลั่น

ระยะนี้ละเลยหานทั่วไปบ้างจริงๆ สองคนนี้เดินทางด้วยกัน คงไม่เกิดเรื่องกระมัง

หานเจวี๋ยนับนิ้วทำนาย

ไม่น่าเชื่อเลยว่าหานทั่วยังอยู่กับหานมิ่งความสัมพันธ์ของทั้งสองคล้ายดียิ่งนักด้วย กำลังผจญภัยอยู่ในแดนต้องห้ามแห่งหนึ่ง

ตบะของทั้งสองอ่อนด้อยเกินไป รอบกายพวกเขา มีจักรพรรดิเซียนเก้าวัฏรายหนึ่งแอบจับจ้องพวกเขาอยู่ในมุมมืด มีจุดประสงค์ร้าย

‘เอ๋ เจ้าลูกคนนี้ไม่น่าเชื่อว่าควบคุมร่างจำลองเทพมารฟ้าบุพกาลได้แล้วหรือ’

หานเจวี๋ยตะลึงอยู่บ้าง

ไม่คิดเลยว่าร่างจำลองเสรีสุญญตาจะถ่ายทอดไปตามสายเลือดของเขาด้วย ถึงแม้ในส่วนลึกของวิญญาณหานทั่วจะมีร่างจำลองเทพมารเพียงตนเดียว แต่ก็เพียงพอแล้ว

เด็กคนนี้ก็นับว่าครอบครองคุณสมบัติพิฆาตศัตรูต่างระดับอยู่เช่นกัน

อืม

นิ้วทองคำ!

หานเจวี๋ยนับว่าพอใจกับพัฒนาการของหานทั่วในตอนนี้ แต่ภายในสถานการณ์ที่ไม่มีข้อบังคับทางสายเลือดและไม่มีที่พึ่งคอยช่วยเหลือ บำเพ็ญมาถึงขั้นนี้ได้ ไม่เลวยิ่งนักแล้ว

‘รอจนเด็กคนนี้สิ้นอายุขัยแล้ว ค่อยรับกลับมาฝึกบำเพ็ญที่สำนักซ่อนเร้น’

หานเจวี๋ยคิดเงียบๆ

ส่วนหานมิ่ง เมื่อเทียบกับหานทั่วแล้ว ธรรมดาเหลือเกิน ชาตินี้ทั้งชาติคงพอจะฝืนบรรลุถึงระดับเทพเท่านั้น

[หลี่มู่อีต้องการเข้าฝันท่าน ยอมรับหรือไม่]

แจ้งเตือนแถวหนึ่งเด้งขึ้นมากะทันหัน ขัดจังหวะความคิดหานเจวี๋ย

หานเจวี๋ยมองข้ามไปเลย

[หลี่มู่อีต้องการเข้าฝันท่าน ยอมรับหรือไม่]

[หลี่มู่อีต้องการเข้าฝันท่าน ยอมรับหรือไม่]

….

หลี่มู่อีเริ่มรัวคำขอเข้าฝันมาอย่างบ้าคลั่ง

หานเจวี๋ยรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง หลี่มู่อีไม่คล้ายจะเป็นคนมีนิสัยใจร้อนเช่นนี้

หรือจะเกิดเรื่องอันใดขึ้น

‘หากข้าตอบรับคำขอเข้าฝันของหลี่มู่อี จะมีอันตรายถึงชีวิตหรือไม่’

[จำเป็นต้องหักอายุขัยสี่พันล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]

ดำเนินการต่อ!

[ไม่มี]

หานเจวี๋ยผ่อนคลายลงทันที ยอมรับการเข้าฝันของหลี่มู่อี

เขาอยากเห็นว่าไอ้เฒ่าคนนี้จะพูดอะไร

แดนความฝันเริ่มต้นขึ้น

หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น พบว่าตนอยู่ในศาลาเล็กหลังหนึ่ง ด้านนอกมีภูเขาพาดสลับเป็นทิวแถว เขาเขียวธารใส ทำให้จิตใจคนแจ่มใส

หลี่มู่อีนั่งตรงข้ามหานเจวี๋ย บนโต๊ะศิลาที่คั่นอยู่ระหว่างทั้งสองวางกระดานหมากไว้

หลี่มู่อีสีหน้าไร้อารมณ์ ถามขึ้น “เล่นเป็นใช่หรือไม่”

หานเจวี๋ยเหลือบมองแวบหนึ่ง หมากขาวดำสองสี เอ่ยไปว่า “เจ้าคิดจะดวลหมากห้าแต้มกับข้าหรือ”

“หมากห้าแต้มเป็นอย่างไร”

“ก็คือดูว่าผู้ใดจะเดินหมากเชื่อมเป็นเส้นตรงได้ก่อน”

“เกมเด็กเล่น ไร้วิถี ช่างเถิด พวกเราเข้าเรื่องเลยแล้วกัน”

หลี่มู่อีส่ายหน้า โบกมือขวาคราหนึ่ง กระดานหมากหายไป

หานเจวี๋ยด่าในใจ บังอาจดูหมิ่นข้า!

แต่แบบนี้ก็ดี ถึงหานเจวี๋ยจะเล่นหมากล้อมเป็น แต่ทักษะเดินหมากธรรมดาทั่วไป คาดว่าคงสู้หลี่มู่อีไม่ได้ ไม่จำเป็นต้องหาเรื่องให้ตัวเองเสียเปรียบ

หลี่มู่อีกล่าวว่า “เจ้ามิใช่อริยะมรรคาสวรรค์ แต่พิสูจน์มรรคด้วยพลังตน ดูเหมือนเจ้าจะขัดต่อมรรคาสวรรค์ยิ่งนักหากเจ้าต้องการก้าวข้ามไปอีกขั้น จำเป็นต้องสร้างมรรคาสวรรค์ของตนขึ้น ข้าก่อมรรคาสวรรค์เล็กๆ ขึ้นมาแล้ว เทียบกับแดนเซียนในยามนี้ ไม่ด้อยไปกว่ากันเลย แต่พื้นฐานดวงชะตาไม่เพียงพอ ข้าอยากเชิญเจ้ามาสร้างมรรคาสวรรค์วิถีใหม่”

หานเจวี๋ยถาม “หมายความว่าอย่างไร ให้ข้าร่วมสร้างมรรคาสวรรค์กับเจ้าหรือ”

หลี่มู่อีส่ายหน้า ตอบว่า “ข้าให้เจ้าสร้างมรรคาสวรรค์ของเจ้าเอง เพียงก่อขึ้นใกล้ๆ มรรคาสวรรค์แห่งข้าเท่านั้น วันหน้าจะได้ต้านรับมหาเคราะห์มรรคายิ่งใหญ่ไปด้วยกัน ช่วงหลายหมื่นปีมานี้ มีตัวตนลึกลับควบคุมสิ่งอัปมงคลในแดนต้องห้ามอันธการ เกรงว่านี่จะเป็นเค้าลางแห่งมหาเคราะห์มรรคายิ่งใหญ่”

หานเจวี๋ยขมวดคิ้ว

หลี่มู่อีคิดจะทำอะไร

ก่อนหน้านี้ยังวางแผนเล่นงานเขาอยู่เลย ตอนนี้มาชักจูงเขาเข้าพวกหรือ

ร้อนรนขนาดนี้ หรือว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น

“ข้าจะเก็บเรื่องนี้ไปพิจารณาดู” หานเจวี๋ยเปิดปากเอ่ย

หลี่มู่อีถอนหายใจ กล่าวว่า “ยังมีอีกเรื่อง ข้าอยากรบกวนเจ้า ระยะนี้มรรคาสวรรค์ของข้าถูกเพ่งเล็ง อีกฝ่ายคืออริยะเสรี เดินบนเส้นทางอาศัยพลังพิสูจน์มรรคเช่นกัน ข้ามิใช่คู่ต่อสู้ของเขา อริยะมรรคาสวรรค์รายอื่นหากออกจากมรรคาสวรรค์ ตบะจะเทียบเท่าครึ่งอริยะ ข้าได้แต่มาขอพึ่งเจ้าแล้ว”

………………………………………………………………