ตอนที่ 548 ซื่อจื่อสูญเสียความโปรดปรานจนหมดสิ้น

หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง

ตอนที่ 548 ซื่อจื่อสูญเสียความโปรดปรานจนหมดสิ้น

“รถม้าของพวกเขาไปติดหลุมหิมะ พวกราชองครักษ์ตัวสูงใหญ่ยกกันอยู่นานสองนานก็ยังไม่ได้ เสียดายเนื้อหนังที่อยู่ในตัวจริง ๆ เพคะ ! ” หลินเว่ยเว่ยเผยสีหน้าได้ใจ

เจียงโม่หานอดไม่ได้ที่จะพูดว่า “เจ้าคงไม่ได้ยกรถม้าคนเดียวหรอกกระมัง ? ”

หลินเว่ยเว่ยพูดด้วยความภาคภูมิใจ “ตอนแรกข้าก็นึกว่ามันจะหนักขนาดไหน ผลลัพธ์คือใช้มือเดียวก็ยกได้แล้ว ! ฮ่าฮ่าฮ่า ! ตอนนั้นสีพระพักตร์ขององค์รัชทายาทน่าขำมากเลย ข้ากลั้นหัวเราะจนทำให้บอบช้ำภายในได้อยู่แล้ว ! ฮองเฮายังชวนพวกเราไปกินอาหารเจด้วยกัน ! ไอหยา อาหารเจของวัดต้าเจวี๋ยแค่โต๊ะเดียวก็จ่ายเงินไปร้อยกว่าตำลึงแล้ว ราคาสยบร้านอาหารส่วนใหญ่ในเมืองหลวงชัด ๆ ! ”

หมินอ๋องเห็นด้วย “ใช่ไหมเล่า ! ทั้งแพงทั้งจืดชืด ไม่รู้ว่าเป็นที่ปรารถนาของคนมากมายได้อย่างไร ! เอาเงินก้อนนั้นไปซื้ออาหารจานใหญ่กับสุราดี ๆ มาดื่มไม่ดีกว่าหรือ ? ”
หลินเว่ยเว่ยหัวเราะคิกคัก “ฟู่หวาง เราเป็นพวกไม่มีหลักธรรมในใจหรือเปล่าเพคะ ? ถ้าพวกพระภิกษุในวัดต้าเจวี๋ยได้ยินแล้วต้องไม่ต้อนรับคนอย่างพวกเราแน่นอนเพคะ ! ”

หมินอ๋องก็แย้มพระสรวลตาม ก่อนจะหันไปถลึงดวงเนตรใส่เจียงโม่หานอีกรอบ จากนั้นก็หันมาตรัสกับหลินเว่ยเว่ยต่อ “หมู่เฟยของเจ้ากำลังรอกินอาหารเย็นพร้อมเจ้าอยู่ ! วันนี้ฮ่องเต้พระราชทานกวางมาให้ครึ่งตัว ฟู่หวางให้ครัวทำเนื้อกวางย่างกับซุปกระเพาะปลาเอ็นกวางไว้”

“ดีเลยเพคะ ลูกไม่ได้กินเนื้อกวางมาหลายเดือนแล้ว ! ” จากนั้นหลินเว่ยเว่ยก็ตามหมินอ๋องออกไป นางเล่าเรื่องที่ล่ากวางในหมู่บ้านฉือหลี่โกวแล้วก็เรื่องที่ฝูงหมาป่าเอาของขวัญมาให้พระองค์ได้ฟัง “ยังเหลือเนื้อกวางอยู่เยอะหรือไม่เพคะ ? ถ้าเยอะ ประเดี๋ยวลูกทำเนื้อกวางแผ่นให้พระองค์พกติดตัวไปเสวย เวลาหิวแล้วจะได้เอาออกมาเสวยรองท้อง”

“ดี ! ฟู่หวางได้ยินว่าเนื้อแผ่นที่เจ้าทำอร่อยมาตั้งนานแล้ว ในที่สุดก็มีโอกาสได้กินสักที ! ” หมินอ๋องแย้มพระโอษฐ์พลางลูบคาง…มีบุตรสาวที่น่ารักและมีชีวิตชีวาช่างดีจริง ๆ เจ้าตัวแสบจินเฉิงคนนั้น วันทั้งวันเอาแต่ทำสีหน้าเคร่งขรึม หลังจากบุตรสาวกลับมาแล้วในบ้านก็มีสีสันขึ้นมาก !

หลินเว่ยเว่ยเหมือนได้เข้ามาในโลกใบใหม่ ขณะมองคางที่เกลี้ยงเกลาของอีกฝ่าย นางก็พูดว่า “ฟู่หวาง เหตุใดถึงโกนหนวดเคราแล้วเพคะ ? ”

“หมู่เฟยของเจ้าบอกว่าฟู่หวางไว้เคราแล้วเหมือนโจร ฟู่หวางจึงโกนมันทิ้ง…ไว้ยาวมาตั้งหลายปีขนาดนี้ ฟู่หวางยังรู้สึกไม่ชินสักเท่าไร ! ” หมินอ๋องลูบตอขนพร้อมรอยยิ้มที่ไม่ค่อยเป็นธรรมชาติ

หลินเว่ยเว่ยพูดด้วยน้ำเสียงจริงใจ “ลูกก็คิดว่าฟู่หวางโกนเคราทิ้งแล้วดูดีมากกว่าเพคะ เหมือนดูอ่อนเยาว์ขึ้นตั้งหลายปี ! ตอนพระองค์ไว้เคราแล้วยืนอยู่กับหมู่เฟยก็เป็นเหมือนพ่อกับลูกไม่มีผิดเพคะ ! ”

“จริงหรือ ? ” หมินอ๋องดีพระทัยมากที่ตัดสินใจโกนเคราทิ้ง เดิมทีเสวี่ยเอ๋อร์ก็อายุน้อยกว่า 3-4 ปีอยู่แล้ว ถ้าพระองค์ไว้หนวดอีกก็จะทำให้คนอื่นคิดว่าพระองค์เป็นวัวแก่เคี้ยวหญ้าอ่อน !

“ตอนนี้ไม่เหมือนแล้วเพคะ ! รอให้ซื่อจื่อกลับมาเมื่อใด เวลาที่พวกพระองค์ยืนอยู่ด้วยกันก็จะเหมือนพี่น้องเลยเพคะ ! ” ปากน้อย ๆ ของหลินเว่ยเว่ยพูดเอาใจจนคนฟังดีใจตายได้เลยทีเดียว

และแล้วหมินอ๋องก็แย้มพระสรวลเหมือนคนเสียสติทันที ก่อนที่พระองค์จะหันไปเขกหน้าผากบุตรสาวเบา ๆ “ซื่อจื่ออะไรกัน ? นั่นเป็นพี่ชายของเจ้า ! อีกไม่นานพี่ชายของเจ้าก็กลับมาแล้ว ! ถ้าเขารู้ว่าเจ้ากลับมา ก็ไม่ทราบว่าจะดีใจถึงเพียงใด ! ”

หลินเว่ยเว่ยก็อยากรู้ว่าหลังจากหมินอ๋องซื่อจื่อรู้ว่าผู้มีพระคุณอย่างนางเป็นน้องสาวที่พลัดพรากไปหลายปีของตน เขาจะออกมามีสภาพเป็นอย่างไร

วันนี้หลินเว่ยเว่ยให้คนไปเรียกหนิงตงเซิ่งมาที่ร้านค้าถนนเจิ้งหยาง ร้านค้าถูกรื้อถอนด้านในและทำความสะอาดจนสะอาดเอี่ยม ประตูร้านทั้งสองอยู่ติดกัน หลินเว่ยเว่ยชี้ไปยังกำแพงตรงกลางร้าน “ตรงนั้นทำให้มีทางเดินผ่านไปมาหากันได้ ฝั่งนี้ขายขนม ส่วนอีกฝั่งขายชาผลไม้และชานม จากนั้นก็สร้างที่นั่งอีกสองสามที่ เชิญชวนให้คนมานั่งดื่มชา เรื่องช่างก่อสร้าง ข้าให้บ่าวรับใช้ในตำหนักไปหาแล้ว ประเดี๋ยวเที่ยงนี้ก็เริ่มงานได้เลย”

“ลำบากหลินกู่เหนียงแล้ว งานที่เหลือปล่อยให้ข้าจัดการเองเถิด ! ” คาดไม่ถึงว่าหลินเว่ยเว่ยจะจัดการเรื่องร้านได้เร็วถึงเพียงนี้ แม้แต่ช่างก่อสร้างก็หาไว้แล้ว เป็นธรรมดาที่หน้าที่ดูแลงานก่อสร้างและอบรมลูกน้อง หนิงตงเซิ่งต้องไม่รบกวนนางอีก

ต่อจากนั้น หลินเว่ยเว่ยยังมีอะไรให้ทำอีกหลายอย่าง เพราะซื่อจื่อตำหนักหมินอ๋องจะกลับมาแล้ว ในฐานะคนเป็นน้องสาวอย่างนางต้องไปต้อนรับไม่ใช่หรือ ? แล้วก็ร่างกายของหมินหวางเฟยดีขึ้นกว่าเดิมแล้วจึงกำลังคุยกับข้ารับใช้ที่มีความสามารถเพื่อจัดงานเลี้ยงต้อนรับบุตรสาวแสนยิ่งใหญ่ ! และถือโอกาสนี้ฉลองที่บุตรชายกำชัยชนะกลับมาด้วย

หมินอ๋องซื่อจื่อ “…”

ที่แท้เขาเป็นแค่ตัวสำรอง ! เขาแค่ไปทำสงครามที่ชายแดน ใครจะรู้ว่าพอกลับมาอีกครั้ง คนในตำหนักจะเปลี่ยนไป ซื่อจื่อสูญเสียความโปรดปรานจนหมดสิ้น !

ชัยชนะของกองทัพติงเป่ย ทำให้ราชวงศ์ร่วมเฉลิมฉลอง แม้แต่ฮ่องเต้และองค์รัชทายาทก็เสด็จออกมาต้อนรับที่นอกเมือง หมินอ๋องและขุนนางคนสำคัญก็ตามมาด้วย หลินเว่ยเว่ยได้บารมีจากบิดาจึงตามหลังมาอีกที นางปรากฎตัวอยู่ในกลุ่มที่มารอต้อนรับ

ฮ่องเต้ องค์รัชทายาทอยู่ตำแหน่งตรงกลาง ส่วนหมินอ๋องผู้ทรงอำนาจอยู่ทางขวามือ หลินเว่ยเว่ยยืนติดกับบิดา หรือจะบอกว่าอยู่ห่างจากฮ่องเต้เพียงมีหมินอ๋องกั้นกลางเท่านั้น

ถ้าเปลี่ยนเป็นบุตรหลานของบ้านอื่นก็คงตื่นเต้นจนเสียสติ แต่หลินเว่ยเว่ยมีใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มและดูใจเย็นมาก ไม่เห็นจะน่าตื่นเต้นอะไรเลย ? ใช่ว่าไม่เคยเจอกันสักหน่อย นางยังเคยกินข้าวโต๊ะเดียวกับฮ่องเต้และรัชทายาทมาก่อนด้วย !

นางหันไปมองฝูงชนที่เบียดกันอยู่ด้านหลัง ทันใดนั้นนางก็เห็นร่างอันมีประกายเฉิดฉายท่ามกลางผู้คนนับพันนับหมื่น เขายังคงเปล่งประกายเหมือนเดิม เป็นดั่งดวงจันทร์ที่โดนรายล้อมด้วยหมู่ดาว ทำให้คนอื่นไม่อาจละสายตาได้ หลินเว่ยเว่ยส่งยิ้มให้เขา

“นั่นคือจวิ้นจู่แห่งตำหนักหมินอ๋องใช่หรือไม่ ? หน้าตาไม่ค่อยเหมือนหมินอ๋องเลย ! ”

“เด็กผู้หญิงอย่างนางก็ต้องเหมือนมารดามากหน่อยสิ ! ถ้าเหมือนหมินอ๋องแล้วยังจะขายออกหรือไม่ ? ”

“นางเป็นถึงจวิ้นจู่แห่งตำหนักหมินอ๋อง ! แม้หน้าตาไม่ได้เรื่องก็มีคนต่อแถวรอสู่ขอ ! ยิ่งไปกว่านั้นคือจวิ้นจู่ยังเป็นสาวน้อยน่ารัก…ไม่รู้ว่าธรณีประตูตำหนักหมินอ๋องจะถูกเหยียบจนพังเมื่อใด”

“หืม ? จวิ้นจู่ยิ้มให้ข้าด้วย ! ”

“เจ้าหลงตัวเองให้น้อยหน่อย ! รูปร่างมะขามข้อเดียวอย่างเจ้า จวิ้นจู่จะสังเกตเห็นหรือ ? เห็นอยู่ชัด ๆ ว่า…ว่านางยิ้มให้คุณชายที่อยู่ข้างพวกเราต่างหาก ! ”

“เฮอะ…คุณชายท่านนั้นหน้าตาหล่อเหลา ถ้าข้าเป็นสตรีก็จะส่งยิ้มให้เขาเหมือนกัน…เจ้ายิ้มอะไร ? เจ้าก็คิดว่านางยิ้มให้ตนด้วยหรือ ? ”

“พอแล้วน่า ทะเลาะอะไรกัน ? หมินอ๋องเป็นพวกให้ท้ายบุตรที่สุด ถ้าพระองค์รู้ว่าเจ้าพูดถึงจวิ้นจู่อย่างไร แม้เจ้าจะเป็นปิศาจร้าย พระองค์ก็ทุบเจ้าได้ ! กองทัพติงเป่ยมาแล้ว…”

ในขณะที่เสียงตะโกนนี้ดังขึ้น ราษฎรที่อยู่ ณ ประตูนอกเมืองก็เบนสายตาไปในทิศทางเดียวกัน…เป็นอย่างที่คิด กองทัพอันเกรียงไกร ท่าทางสง่างามปรากฏมาแต่ไกล เสียงเกือกม้า น้ำหนักเท้าของคน เสียงอาวุธและชุดเกราะที่เสียดสีกัน รวมกันแล้วเป็นทำนองที่ไพเราะ !

เมื่อเข้ามาใกล้และใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ คนที่อยู่หน้าสุดคือหมินอ๋องซื่อจื่อและรองแม่ทัพไม่กี่นาย พวกเขาอยู่บนหลังม้าตัวสูงใหญ่ หมินอ๋องซื่อจื่อใส่ชุดเกราะสีเงิน ภายใต้แสงแดดอบอุ่นของฤดูหนาว มันสะท้อนให้เห็นแสงอันเย็นยะเยือก ด้านหลังของเขาคือทหารนับหมื่น สูงส่งดั่งสายรุ้ง…สง่างามสุด ๆ ! ความองอาจพุ่งทะยาน แม้จะเป็นช่องละครโทรทัศน์ที่ดีขนาดไหนก็ถ่ายทอดภาพนี้ออกมาไม่ได้

หมินอ๋องซื่อจื่อผิวคล้ำกว่าครั้งก่อนที่หลินเว่ยเว่ยเจออยู่บ้างและดูกำยำกว่าเดิมหน่อย ดวงตาอันเฉียบคมคู่นั้นเหมือนพญาอินทรีที่ทะยานอยู่เหนือทุ่งหญ้า ภายใต้ความดุดันดูอำมหิตเล็กน้อย คิ้วและดวงตาของหมินอ๋องซื่อจื่อมีหลายจุดที่เหมือนหมินอ๋องและยังผสานไปด้วยข้อดีหลายอย่างของหมินหวางเฟย…ทั้งองอาจและหล่อเหลา ไม่เห็นเด็กสาวตลอดสองข้างทางหน้าแดงก่ำและมีดวงตาเปล่งประกายนั่นหรือ ?