บทที่ 539 ไม่ถึงขนาดเป็นต้นไม้เหี่ยวเฉา
บทที่ 539 ไม่ถึงขนาดเป็นต้นไม้เหี่ยวเฉา
ครั้นเจี่ยงเถิงเจอองค์รัชทายาทก็พลันรู้สึกโกรธเคือง แต่กลับไม่สามารถแสดงออกมาได้ ระหว่างทาง สีหน้าของเขาจึงดูเคร่งขรึมตลอดเวลา
แม้หลินซือจะไม่เต็มใจนัก แต่ครั้นนึกได้ว่าองค์รัชทายาทเป็นเพียงเด็กน้อย ยิ่งไปกว่านั้นยังถูกเลี้ยงดูอยู่แต่ในวังหลวง โอกาสที่ได้ออกมาเที่ยวเตร่ข้างนอกจึงค่อนข้างน้อยยิ่งนัก คิดได้เช่นนี้ก็ไม่รู้สึกลำบากใจอะไรอีก
จะว่าไปแล้ว คราวที่แล้วตัวเองได้พูดความในใจของตัวเองให้องค์รัชทายาทฟังจนชัดเจนแล้ว เห็นท่าทางเช่นนั้นของเขาคงจะปล่อยวางได้แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องตัดขาดจากความเป็นสหายอีก
ไป๋หรูปิงและเหยาเอ้อหลางยิ่งไม่ต้องพูดถึง เห็นองค์รัชทายาทปรากฏตัวเช่นนี้ ทั้งสองคนจึงทำได้แค่คลี่ยิ้มบาง ๆ
คนเหล่านี้ต่างตกตะกอนความคิดของตัวเองอยู่ในใจ….
องค์รัชทายาททรงประทับอยู่ในรถม้าที่สั่นสะเทือนไปมา หลับตาลงครุ่นคิด ลู่เหยาที่นั่งอยู่ข้างกายเห็นเขาเป็นเช่นนี้ ก็ไม่กล้าเอ่ยสิ่งใด ได้แต่มองเขาอย่างเหม่อลอย
สาเหตุที่ติดตามองค์รัชทายาทได้ เป็นเพราะได้เอ่ยกับเขาไว้ก่อนหน้านั้น
วันนั้น เจี่ยงเถิงและหลินจื้อเสร็จสิ้นภารกิจพร้อมกัน จึงเอ่ยเรื่องที่ออกไปเที่ยวเตร่ข้างนอกขึ้นมา
“ข้าเห็นว่าช่วงนี้สภาพจิตใจของอาซือหดหู่อยู่บ่อยครั้ง เรื่องเรือนพักพิงผู้ยากไร้ก็ใกล้แล้วเสร็จ เกรงว่าเด็กคนนั้นจะเบื่อหน่ายที่ต้องอยู่แต่ในเรือน เด็กคนนั้นคงอยู่ไม่เป็นสุข ข้ากำลังคิดจะหาชนบทที่ไหนสักแห่งพาไปเที่ยวเล่นสักสองสามวัน”
เจี่ยงเถิงเดินไปพลางคุยกับอาจื้อไปพลาง
ครั้นอาจื้อได้ยินก็ตาลุกวาว แล้วตอบรับด้วยรอยยิ้ม “ความคิดดีเยี่ยม! เมื่อสองสามวันก่อน เหตุการณ์นั้นทำให้อาซือเจออะไรมาไม่น้อย ออกไปเที่ยวเล่นข้างนอกบ้างอาจจะทำให้นางอารมณ์ดีขึ้น เจ้านะเจ้า คิดได้รอบคอบมาก”
หลินจื้อดีใจไม่ใช่เพราะหลินซือเพียงคนเดียว แต่เขาและไป๋หรูปิงไม่ได้เจอกันนานมากแล้ว
หลังจากแลกเปลี่ยนใบเกิดของกันและกัน ไป๋หรูปิงก็หลบเลี่ยงตนมาโดยตลอด เขารู้ดีว่าเด็กสาวละอายใจที่ต้องหลบเลี่ยงความสงสัยของผู้อื่น
แต่แบบนี้โอกาสที่จะได้เจอกันก็ยิ่งน้อยลง การแต่งงานต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งปีกว่า ช่วงนี้จะเจอหน้ากันไม่ได้เชียวหรือ?
เขาคิดไว้นานแล้วว่าจะนัดคุยกับไป๋หรูปิงดี ๆ แต่กลับหาโอกาสที่เหมาะสมไม่ได้เลย
อีกอย่างทุกครั้งที่ตนจะนัดหมายนางก็มักจะถูกจับได้ กระทั่งโดนต่อว่าว่าลูกหลานตระกูลหลินและตระกูลไป๋ไม่รู้จักประเพณีเอาเสียเลย จนตอนนี้เจี่ยงเถิงได้ยื่นข้อเสนอนี้ออกมา กลับสอดคล้องกับความคิดของตัวเองพอดี
ทั้งสองคนยิ้มบางพลางเดินออกนอกวัง ปรึกษาหารือเกี่ยวกับแผนการท่องเที่ยวครั้งนี้
สิ่งที่พวกเขาไม่รู้คือ ด้านหลังมีใครคนหนึ่งแอบฟังแผนการและการจัดการของพวกเขานานแล้ว กระทั่งครุ่นคิดจนเกิดแผนการบางอย่างในใจ
องค์รัชทายาทมองแผ่นหลังที่เดินจากไปของเจี่ยงเถิงและหลินจื้อ กระตุกยิ้มเยาะเย็นชาหนึ่งครา ‘เจ้าเจี่ยงเถิงผู้นี้ แผนการของเขายอดเยี่ยมทีเดียว คงไม่ได้แค่พูดคล้อยตามความคิดของหลินซือโดยบังเอิญหรอกกระมัง? มิน่าเล่าอาซือถึงปฏิบัติต่อเขาไม่ธรรมดา คงรับมือยากเสียแล้วสิ!’
แม้จะพูดเช่นนี้ แต่ตัวเองจะต้องแย่งอาซือมาให้จงได้! นางจะต้องเป็นพระชายาของตนเพียงผู้เดียว!
ในอดีตชาติเรื่องบางเรื่องตนไม่สามารถแก้ไขได้ และมีอีกหลายเรื่องที่จนปัญญา สุดท้ายความรักของตนและอาซือนั้นเปราะบางเสียเหลือเกิน กระทั่งเกิดความรังเกียจซึ่งกันและกัน…
แต่ชาตินี้ ตัวเองเป็นถึงองค์รัชทายาท อยู่ใต้คนคนเดียว แต่อยู่เหนือคนนับหมื่น และเป็นถึงว่าที่จักรพรรดิในอนาคต! ต่อไปใต้หล้านี้ก็จะต้องเป็นของตน ต้องเป็นของตนแน่นอน!
แต่ตอนนี้ตัวเองยังถูกกักขัง ต้องทำอย่างไรถึงทำให้เสด็จพ่อทรงอนุญาตให้ตนออกไปเที่ยวนอกวังได้กัน?
องค์รัชทายาทขมวดคิ้วมุ่น ครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ ในที่สุดก็คิดกลอุบายออก
ภายในห้องทรงอักษร
ขณะที่เซี่ยเชียนกำลังปรึกษาหารือถึงเรื่องที่ต้องทำกับองค์จักรพรรดิอยู่นั้น ขันทีด้านนอกก็เข้ามารายงาน “ฝ่าบาท องค์รัชทายาทขอเข้าเฝ้าอยู่ด้านนอกพ่ะย่ะค่ะ!”
องค์จักรพรรดิพยักหน้า ช่วงนี้องค์รัชทายาททรงสงบเสงี่ยมเจียมตัว ศึกษาร่ำเรียนอย่างจริงจัง จึงโบกพระหัตถ์ส่งสัญญาณให้องค์รัชทายาทเข้ามา
ครั้นเซี่ยเชียนเห็นดังนั้น จึงเอ่ยปาก “องค์รัชทายาททรงมีเรื่องสำคัญอยากปรึกษากับฝ่าบาท เช่นนั้นกระหม่อมขอตัวลาก่อน…”
“ช้าก่อน เจ้าอยู่ฟังที่นี่เถอะ ไม่รู้ว่าวันนี้องค์รัชทายาทจะมีลูกไม้อะไรอีก เจ้าช่วยข้าแสดงความคิดเห็นหน่อยก็ดี”
องค์จักรพรรดิรั้งตัวเซี่ยเชียนไว้ เขารู้ว่าตาเฒ่าผู้นี้ต้องการหลบเลี่ยง แต่ไม่รู้ว่าทำไมตลอดหลายปีที่ผ่านมาที่ได้พูดคุยกับเขา อีกฝ่ายมักจะแตกต่างจากผู้อื่นเสมอ ไม่จำเป็นต้องกังวลว่าใครต่ำใครสูง
แต่เขากลับแสดงออกได้ชัดเจนยิ่งกว่าใคร มารยาทระหว่างกษัตริย์กับขุนนางไม่เคยหละหลวมแต่อย่างใด
คิดได้เช่นนี้ องค์จักรพรรดิจึงได้ถอนพระทัยอย่างเงียบเชียบ
“ลูกขอเข้าเฝ้าเสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ! ขอแสดงความเคารพต่อท่านราชครู!”
ทันทีที่องค์รัชทายาทเข้ามาก็แสดงความเคารพในทันที ครั้นเห็นเซี่ยเชียนอยู่ที่นี่ ก็ประหลาดใจไม่น้อย
ถึงอย่างไรคราวที่แล้วตนเองก็ไม่ค่อยเคารพท่านราชครูเท่าไรนัก นั่นจึงทำให้เสด็จพ่อทรงกริ้ว คราวนี้เรียนรู้ที่จะทำตนให้ฉลาดขึ้นมาบ้าง มารยาทที่พึงมีจึงไม่ขาด
ช่วงนี้องค์จักรพรรดิทรงโปรดปรานเซี่ยเชียนเป็นพิเศษ แต่ไม่แสดงออกทางสีหน้า “ลุกขึ้นเถิด มาหาข้าถึงที่นี่วันนี้มีเรื่องอันใด? คงไม่ได้ไปสร้างเรื่องไว้อีกกระมัง?”
องค์รัชทายาทรีบส่ายหน้าเร็วรัว ก่อนกราบทูลว่า “รายงานเสด็จพ่อ ลูกมิบังอาจ แค่ช่วงนี้ลูกตั้งใจอ่านตำรา ฝึกฝนวิชาความรู้ บางเรื่องที่ไม่เข้าใจ เสด็จพ่อได้โปรดทรงชี้แนะ… ลูกรู้ว่าเสด็จพ่อทรงยุ่งกับราชกิจทุกวัน แต่ความสงสัยในใจลูกไม่ได้รับความกระจ่าง จึงมาขอความกรุณาให้เสด็จพ่อช่วยชี้แนะพ่ะย่ะค่ะ”
องค์จักรพรรดิได้ยินเขาพูดเช่นนี้ ในใจเริ่มอยากมีส่วนร่วม ลูบเคราพลางกล่าวว่า “อ่อ? เจ้าว่ามาสิ เจ้าอยากให้ข้าชี้แนะสิ่งใด?”
“รายงานเสด็จพ่อ ช่วงนี้ลูกอ่านคติพจน์ของปราชญ์เมธีที่ล่วงลับและนักปราชญ์ ‘คนมีคุณธรรมจะได้รับการช่วยเหลือสนับสนุน คนไม่มีคุณธรรมจะไร้คนช่วยเหลือสนับสนุน’ ถ้ากษัตริย์ต้องการปกครองใต้หล้าก็ต้องปกป้องอาณาประชาราษฎร์ด้วย เสด็จพ่อทรงเป็นกษัตริย์ที่ชาญฉลาดรุ่นแรก สามารถปกครองใต้หล้าให้สงบร่มเย็นได้ ประชาราษฎร์อยู่กินอย่างมีความสุข ลูกอยากแบ่งเบาภาระของเสด็จพ่อ ทำเพื่อราษฎร แต่ลูกอยู่ในวังมานาน ไม่ทราบว่าชีวิตความเป็นอยู่ของประชาราษฎร์นั้นเป็นเช่นไร ด้วยเหตุนี้จึงเกิดความสงสัย…”
องค์รัชทายาททรงกล่าวใจความยาวเหยียดด้วยความจริงใจ
เหตุใดองค์จักรพรรดิจะฟังไม่ออกถึงเจตนาขององค์รัชทายาท จึงกล่าวต่อจากเขา “เจ้าเป็นองค์ชาย ทำเพื่อประชาราษฎร์นับเป็นเรื่องดี เจ้าเองก็ถูกกักขังอยู่ในวังมานาน ออกไปเปิดหูเปิดตาบ้างก็ดี เช่นนั้นข้าอนุญาตให้เจ้าออกนอกวัง ออกไปดูความเป็นอยู่ของประชาราษฎร์ว่าเป็นเช่นไร คิดทบทวนหน้าที่ของเจ้าในฐานะองค์ชายที่ต้องแบกรับและเรื่องที่เจ้าต้องทำในอนาคต เรื่องนี้ไม่ควรเอิกเกริกนัก อีกสองสามวัน รอเจ้าว่าง เจ้าจงพกป้ายแขวนที่ข้าให้เจ้าออกจากวังไปด้วย”
องค์รัชทายาทคาดไม่ถึงว่าองค์จักรพรรดิจะทรงอนุญาตเร็วเพียงนี้ จึงกล่าวด้วยความดีใจ “ลูกขอบพระทัยเสด็จพ่ออย่างเหลือล้น ลูกยังมีอีกเรื่อง…คราวที่แล้วลูกไม่รู้ความและห่วงแต่เล่นเกินไป จึงพักอ้างแรมในจวนลู่ แม้ว่าจะไม่เหมาะสม แต่ก็ต้องขอบคุณที่พวกเขาต้อนรับ ลูกจึงไม่มีอันตรายใด ลูกคิดว่าคราวนี้…การออกไปคราวนี้ลูกขออนุญาตพาบุตรีคนเล็กของตระกูลลู่ไปด้วย …. นับว่าเป็นการตอบแทนน้ำใจของพวกเขาพ่ะย่ะค่ะ”
“หึ….เจ้ารู้จักตอบแทนบุญคุณด้วยรึ ถ้าเกิดเรื่องเหมือนคราวที่แล้วอีก ข้าจะไม่ให้อภัยเจ้า! ส่วนเจ้าจะพาใครไปนั้น เจ้าตัดสินใจเอาเอง”
องค์จักรพรรดิส่งเสียงฮึดฮัดเย็นชาออกมา แต่ก็ยังตอบรับคำร้องขอขององค์รัชทายาท
เขาคิดว่าองค์รัชทายาทต้องรู้สึกดีต่อหลินซือโดยแท้จริง การปฏิสัมพันธ์กับสตรีคนอื่นมากขึ้นย่อมเป็นเรื่องดี ไม่ควรปล่อยให้เป็นต้นไม้ที่เหี่ยวเฉาอยู่แต่ในวัง
องค์รัชทายาททรงยังเยาว์วัยนัก ความคิดความอ่านยังไม่สมบูรณ์ ด้านความรู้สึกจึงยังรับมือไม่ค่อยได้
แต่ไม่รู้ว่าเหตุใดเขาถึงรั้นกับหลินซือเช่นนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะถูกปฏิเสธความรู้สึกดีของเขาเสียก่อน เกรงว่าตอนนี้คงเกิดเรื่องใหญ่ไปแล้ว
องค์รัชทายาทบอกกับตัวเองในใจ ไม่ควรแสดงสีหน้าใด ๆ ออกมา แต่ครั้นได้ยินองค์จักรพรรดิตอบรับคำร้องขอของเขา ใบหน้ากลับแสดงความเบิกบานชัดเจน ไม่ได้ปิดบังความรู้สึกในใจเลยแม้แต่น้อย “ลูกขอบพระทัยเสด็จพ่อมากพ่ะย่ะค่ะ! ลูกจะลงไปทำความเข้าใจชีวิตและความเป็นอยู่ของอาณาประชาราษฏร์อย่างละเอียดรอบคอบ เข้าถึงประชาชนให้จงได้! กลับมาลูกจะรีบมารายงานสถานการณ์ที่ได้ไปเฝ้าสังเกตมาต่อเสด็จพ่อทันทีนะพ่ะย่ะค่ะ!”
องค์จักรพรรดิโบกพระหัตถ์ บ่งบอกให้เขากลับออกไป
องค์รัชทายาทไม่ยืดเยื้อนัก ทำความเคารพและถอยออกไป