บทที่ 572 เจ้าเข้าใจคำว่าข้างกายสองคำนี้ผิดไปหน่อยหรือเปล่า

หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป

บทที่ 572 เจ้าเข้าใจคำว่าข้างกายสองคำนี้ผิดไปหน่อยหรือเปล่า?

ที่แท้ คนตระกูลใหญ่โตนั้นกับเพื่อนสนิทไม่กี่คน ก่อนหน้าจะไปเที่ยวเล่นที่ทะเลสาบหนานหูอีกครั้ง

ก็ได้ยินโดยบังเอิญ ด้านในหอเฟิ่งหวงข้างๆทะเลสาบหนานหู แอบซ่อนหญิงงามหยาดเยิ้มผู้หนึ่งไว้ รูปร่างท่าทางอ่อนช้อยงดงาม เป็นสิ่งสวยงามที่หาดูได้ยากในโลก

และแม้แต่พระชายาเย่ที่เคยงามที่สุดในเมืองหลวงในประเทศ รวมถึงเทพธิดาที่สง่างามเฉกเช่นนางอัปสร ล้วนไม่สามารถเทียบได้

พวกเขาคนตระกูลใหญ่โตเหล่านี้ ผู้หญิงแบบไหนที่ไม่เคยเห็นมาก่อน?

แม้แต่โฉมหน้าที่งดงามทำให้โลกตะลึงของพระชายาเย่และเทพธิดา พวกเขาก็เคยมองเห็นไกลๆสองสามรอบ แต่ไม่เคยพบเจอ ผู้หญิงที่ยังสวยกว่าพวกนางสองคน

โฉมงามเพียงนี้ ไม่ว่าจริงเท็จ พวกเขาก็ต้องไปดูสักหน่อย

ในหอเฟิ่งหวง พวกเขาเห็นผู้หญิงคนที่งดงามที่สุดบนโลกจริงๆ สวมชุดแดง ทั้งร่างกายหน้าตาคลุมด้วยผ้าคลุม เงาร่างอ่อนช้อย ดั่งฝันดั่งภาพลวงตา ต่อจากนั้นพวกเขาก็จมอยู่ในนั้น ไม่รู้วันคืน

กระทั่งถึงไม่รู้ว่าอะไรกรีดที่ทรวงอกนิดหน่อย จึงได้สูญเสียสติความรู้สึกไปโดยสิ้นเชิง

ฟื้นอีกครั้ง เขาเห็นเพื่อนที่ไปด้วยกัน ทั้งหมดล้วนเสียสติจนคลั่ง ถูกโซ่เหล็กล็อกไว้แน่น มีเพียงเขาที่จิตใต้สำนึกยังชัดเจน ไม่ถูกมัดไว้ แล้วเห็นประตูหอเปิดกว้างอีก เขาตกใจจนรีบหนีออกมา

กลับคิดไม่ถึง วิ่งได้ไม่ไกล เขาก็ล้มลงแล้ว ทั้งร่างขยับไม่ได้ มีคนหามเขาไป โยนไว้หน้าประตูจวนของตัวเอง

หลังจากนั้นภรรยาและเมียน้อยในจวนก็เสาะหาหมอมารักษาอาการป่วยของเขาโดยตลอด

“คุณชายซ่างกวน ข้าก็รู้เท่านี้ขอรับ ท่านต้องช่วยข้า ข้าไม่อยากตายขอรับ”

“วางใจเถอะ!”

นี่ก็แปลกแล้ว

คนโดนมนต์ดำที่นางเห็นวันนั้น เห็นได้ชัดว่ายังไม่เสียสติสัมปชัญญะทั้งหมด และไม่ได้ถูกโซ่เหล็กมัดไว้ เพราะหลังจากที่ได้กลิ่นคาวเลือด จึงบ้าคลั่งอย่างสิ้นเชิง

ดูแล้ว เบื้องหลังนี้จะมีมือที่ไร้รูปร่างคู่หนึ่งคอยบงการทุกอย่างนี้

หลังจากทำให้คนตระกูลใหญ่วางใจพักผ่อนแล้ว หลานเยาเยาหมุนตัวก็ต้องการจะออกไป แต่นาทีที่หมุนตัวนั้น ร่างกายชะงักแล้ว

ชุดคลุมสีดำที่ทรงอำนาจประทับเข้าในม่านตา เย่แจ๋หยิ่งที่ปิดตาด้วยผ้าแดง ยืนอยู่ตรงนั้น แผ่นหลังหันไปทางประตูใหญ่ห้องรับแขก และไม่รู้ว่าเขายืนอยู่ที่นั่นนานเท่าไหร่แล้ว

นี่เดิมทีไม่มีอะไร

อย่างไรซะเขามองไม่เห็น อีกทั้งหันหลังให้ห้องรับแขก

ที่ทำให้นางทำอะไรไม่ถูกคือ ข้างกายของเย่แจ๋หยิ่งยังมีจื่อซีติดตามด้วย จื่อซีมองดูนาง ดูแต่สีหน้าก็มองอะไรไม่ออก แต่สายตาค่อนข้างผิดปกติ

จื่อซีเห็นหรือไม่เห็นนางหยิบของออกมาจากในระบบกันแน่นะ?

นางยืดคอยาว กระแอมเบาๆ

“อ๋องเย่ ท่านมาได้อย่างไร?”

ได้ยินเสียงของนาง เย่แจ๋หยิ่งที่รูปร่างสูงใหญ่ผอมเพรียวค่อยๆหันหลังมา‘มองดู’นาง เสียงทุ้มต่ำมีแรงดึงดูดดังมาช้าๆ

“ข้ายืนอยู่นานแล้ว เจ้าเพิ่งรู้?”

ได้ยินดังนั้น!

หลานเยาเยาตะลึงงันอีกครั้ง

ภาพเหตุการณ์แบบเดียวกันปรากฏต่อหน้านางอีกครั้ง

ในความทรงจำ หลังจากที่นางกับฮ่องเต้รุ่นแรกหนีรอดจากถ้ำงู อาศัยพักฟื้นอยู่ที่หมู่บ้านเล็กๆแห่งหนึ่ง วันหนึ่ง ในหมู่บ้านก็มีเด็กผู้หนึ่งตกน้ำ เป็นฮ่องเต้เย่ซางหลิงช่วยขึ้นฝั่ง ทำการรักษาช่วยคนโดยนาง

ออกมาจากบ้านเด็กคนนั้น เย่ซางหลิงก็ยืนอยู่ด้านหน้าใต้ต้นไม้เก่าแก่ หันหลังให้นาง เหมือนกำลังชมวิว และเหมือนกำลังรอนาง

นางถาม : “ทำไมท่านยังไม่กลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าอีก?”

เขาหันกลับมา ยิ้มอ่อนๆให้นาง : “ข้ายืนอยู่นานแล้ว แล้วก็รอเจ้าไปด้วยกัน”

เวลานี้เงาร่างของฮ่องเต้รุ่นแรก ค่อยๆผสานรวมกับเงาร่างของเย่แจ๋หยิ่งอย่างคาดไม่ถึง

รูปร่างหน้าตานั่น……

ยิ้มอ่อนนั่น……

การเคลื่อนไหวโดยบังเอิญนั่น น้ำเสียงที่แฝงด้วยความเคืองเล็กน้อยนั่น เหมือนกันทุกประการ

หลานเยาเยาคุ้นตาอย่างฉับพลัน ตอบด้วยยิ้มเบาๆ : “เมื่อครู่กำลังสอบถามเรื่องราวของคนตระกูลใหญ่โตนิดหน่อย ไม่ทันได้สังเกตขอรับ”

“ตอนนี้ล่ะ? สังเกตเห็นแล้วหรือ?” เย่แจ๋หยิ่งไม่พอใจเล็กน้อย

เอ่อ

หลานเยาเยามุมปากกระตุกนิดหน่อย เมื่อครู่ยังคุ้นตาอยู่ เวลานี้ หนาวเย็นขึ้นทันที

นี่ยังต้องถามอีก? เห็นก็เห็นแล้ว ยังต้องสังเกตเห็นอีกหรือ?

“เมื่อสักครู่ท่านไม่ได้หลับไปแล้วหรือ? ทำไมมาที่นี่อย่างกะทันหัน?” หลานเยาเยาสงสัย หรือว่าก่อนหน้านี้คนนั้นคือแกล้งหลับ?

“หมอข้างกายข้าหายไป กลัวว่านางจะหาทางกลับบ้านไม่เจอ จึงมาหา”

หมอข้างกาย?

หาทางไม่เจอ?

ที่พูดคือนางหรือ?

“เฮ้อ จนปัญญา คนงานยุ่งมากผู้หนึ่ง โรงหมอใหญ่ขนาดนั้น คนไข้เยอะขนาดนั้น อาส้งเป็นคนที่วางใจไม่ได้ ข้าก็ต้องดูแลจัดการเสมอใช่หรือไม่?”

จื่อซีมองดูรอบๆ มองดูเจ้านายของตัวเองเงียบๆแวบหนึ่ง รีบแก้ไขให้ถูกทันที :

“ไม่ถูกนะขอรับ! คุณชายซ่างกวน โรงหมอนี้ของท่านเล็กมาก คนไข้ก็มีเพียงคนเดียว เมื่อครู่ข้ายังเห็นอาส้งผู้นั้นยืนอยู่บนหลังคาด้วยล่ะขอรับ!”

อยากรังแกเจ้านายที่มองไม่เห็น หมอข้างกายไม่มีท่าทีของหมอข้างกาย เขาไม่วางใจเป็นอย่างมาก หากว่าพวกเขาไม่ได้อยู่ข้างกายเจ้านาย คุณชายซ่างกวนจะต้องทำเจ้านายหายเป็นแน่

หลานเยาเยาหรี่ตาลงเล็กน้อย มองจื่อซีแล้วกล่าว :

“เจ้าไม่พูด ก็ไม่มีใครว่าเจ้าเป็นใบ้ ไปเล่นข้างๆ”

จื่อซีตอบด้วยจิตใต้สำนึก : “อ่อ ได้ขอรับ!”

พูดจบ ยังจะถอยไปข้างๆจริงๆอีก หลังจากพบว่าตัวเองทำอะไร จื่อซีตะลึงจนเบิกตาโพลง มองดูหลานเยาเยาแบบทั้งอายทั้งเคือง ไม่มีอะไรจะพูดเลยทีเดียว

“ทำธุระเสร็จแล้ว ไปเถอะ!”

เย่แจ๋หยิ่งยกมุมปากเป็นรอยยิ้ม เยื้องย่างไปด้านหน้าช้าๆ ดึงแขนเสื้อของหลานเยาๆอย่างแม่นยำไม่มีพลาดแล้วจากไป

“เดี๋ยวก่อน ข้ายังต้องรับสมัครพนักงานจัดยาให้โรงหมออีกสองสามคน”

“ไม่เป็นไร จื่อซีจะจัดการ”

“ไม่ใช่ เช่นนั้นคนไข้จะทำเช่นไร? เขายังมีความอันตรายซ่อนอยู่นะ!” หลานเยาเยาค่อนข้างไม่วางใจ

“จื่อซีจะจัดการ”

“แต่โรงหมอก็ต้องเปิดหรือเปล่า? ตั้งใจทุ่มเทเปิดโรงหมอ เปิดได้ไม่ถึงสองวันก็ฤกษ์ดีปิดร้านแล้ว เสียหายเป็นอย่างมาก”

“เขาจะจัดการ”

เย่แจ๋หยิ่งหยุดฝีเท้าลงฉับพลัน ดึงร่างนางเข้ามาใกล้ขึ้นหน่อย พูดจริงจัง : “ตอนนี้เจ้าจำเป็นต้องดูแลข้าให้ดี”

จากนั้น ไม่ให้คนได้อธิบาย ก็ลากหลานเยาเยาเหาะจากไปโดยตรง ทิ้งจื่อซีที่สีหน้าหมดอาลัยตายอยากไว้

เจ้านายทิ้งเขาไว้อีกครั้งแล้ว

ตอนนี้ตำแหน่งของเขายังเทียบไม่ได้กับคุณชายซ่างกวนที่เพิ่งมาได้ไม่ถึงหนึ่งวัน หากว่าคุณหนูอยู่จะดีขนาดไหนนะ! สามารถติดตามคุณหนูกินอิ่มหนำสำราญได้ทุกวัน

นอกจากช่วงที่ยั่วให้นางไม่พอใจ จะให้เขาออกไปห่างๆ นอกเหนือจากนั้นล้วนสบายอิสระเป็นอย่างมาก

คุณชายซ่างกวนก็ใช้ประโยคแบบนี้มาพูดกับเขา ยังไงเขาก็เกลียดไม่ลง

น่าแปลก น่าแปลก หรือว่าเขามีแนวโน้มจะได้รับการข่มเหง?

……

หลานเยาเยาทางนี้

หลังจากที่ถูกเย่แจ๋หยิ่งพาออกมาโดยตรง เขาก็ไม่ได้พานางกลับจวนอ๋องเย่ แต่ไปตลาดที่คึกคัก เคลื่อนที่ไปมาในกลุ่มคน

ผู้คนสัญจรบนถนนเห็นเขา ข้างกายยังพาผู้ชายที่สง่างามมาด้วย ทั้งหมดล้วนตะลึงจนหน้าถอดสี รีบหลีกทางไปด้านข้าง

เห็นได้ชัดว่าหลานเยาเยาสังเกตได้ถึงในบรรยากาศ การเคลื่อนไหวที่พรั่งพรู ไม่รู้ว่าทำให้คนที่อยู่ในที่ลับตกตะลึงไปมากเท่าไหร่

“อ๋องเย่ แบบนี้ประเจิดประเจ้อเกินไปหน่อยหรือไม่ขอรับ?”

ประเจิดประเจ้อขนาดนี้ พานางเดินถนน เกรงว่าสายตาของอิทธิพลหลายด้านจะต้องวิ่งเต้นทำงานหนักไปๆมาๆแล้ว

“ก็ต้องการให้ทุกคนรู้ เจ้าคือของข้า……หมอข้างกาย เพื่อหลีกเลี่ยงความสนใจที่มีต่อเจ้าของพวกเขา แย่งชิงความรักไปจากมือของข้า”

“หยุด หยุดก่อน” เมื่อได้ยินคำว่าแย่งชิงความรักคำนี้ หลานเยาเยาแทบจะกัดลิ้น “อย่างแรก ข้าไม่ใช่หมอเร่ร่อนข้างกาย เป็นหมอ(ภาษาจีนอ่านว่าอีจื่อ ก็คือหมอเท่านั้น)ข้างกาย อย่างที่สอง แย่งชิงความรักคำนี้ใช้ตรงนี้ไม่เหมาะสม”

หลังจากโต้แย้ง ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือ เย่แจ๋หยิ่งหยุดฝีเท้าลง เอียงศีรษะ‘มอง’นาง

“หมอกับหมอเร่ร่อนต่างกันอย่างไร?”

“ต่างกันเป็นอย่างมากเชียว หมอเผยให้เห็นถึงความสุภาพอีกทั้งสูงส่ง แต่หมอเร่ร่อน……”(หมอเร่ร่อน ภาษาจีนอ่านว่าหลังจง ก็คือหมอเท่านั้น)

ยังพูดไม่จบ ก็ถูกเสียงที่ดึงดูดขัดจังหวะโดยตรง : “ยังไงก็เป็นของข้าเหมือนกัน”

เย่แจ๋หยิ่งเข้าใกล้อย่างฉับพลัน ยกมุมปากเล็กน้อย แฝงด้วยการหยอกล้อ :

“คำว่าแย่งชิงความรักนี้ ใช้ตรงนี้กำลังสมเหตุผล ใครกล้าแย้งเจ้าไป ข้าจะทำให้เขาเสียใจที่ได้มาบนโลกใบนี้ ยิ่งไปกว่านั้น……”

“หนานซู่ เจ้าเข้าใจคำว่าข้างกายสองคำนี้ผิดไปหน่อยหรือเปล่า?