บทที่ 573 นั่งรออ๋องเย่ขายตัว

หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป

บทที่ 573 นั่งรออ๋องเย่ขายตัว

“ห๊ะ?” เข้าใจผิด? ! เป็นไปไม่ได้ เข้าใจง่ายมากนี่!

“ที่ว่าข้างกาย ก็คือข้าเดินไปที่ไหน เจ้าก็ต้องติดไปที่นั่น เข้ามา ติดชิดอีกหน่อย”

มองดูเย่แจ๋หยิ่งที่อยู่ใกล้มากๆ ใกล้อีกหน่อย ร่างกายของพวกเขาก็ติดกันจริงๆแล้ว

หลานเยาเยาแสดงออกอย่างค่อนข้างลำบากใจ

คำพูดนี้เห็นได้ชัดว่าออกจากปากของนางเอง ทำเมื่อไปอยู่ที่ปากของเย่แจ๋หยิ่ง ความรู้สึกก็เปลี่ยนไปแล้วล่ะ?

กลุ่มคนรอบข้างล้วนล้อมวงอยู่รอบๆ แม้เป็นการมองดู แต่ล้วนไม่กล้าวิจารณ์

“อย่านะ! ชายชาตรีสองคนติดกันแบบนี้ น่าประหลาดเป็นที่สุด”

“เหอะ!”

ราวกับว่าเย่แจ๋หยิ่งไม่ได้สนใจความคิดเห็นของผู้อื่น แต่สุดท้ายก็ถอยตัวกลับไป แล้วลากหลานเยาเยาเลี้ยวเข้ามาที่ถนนของกินที่มีชื่อของเมืองหลวง

มองดูร้านขาหมูที่คุ้นเคย เจ้าของร้านยังเป็นเจ้าของร้านผู้นั้น รอยยิ้มอบอุ่น จริงใจต่อผู้คน เพียงแค่จอนข้างมีหงอกค่อนข้างมากแล้ว ขอบตาด้านล่างทั้งสองข้างคล้ำมาก เมื่อเห็นก็เพราะเกิดจากการอดนอนเป็นประจำ

ทันทีที่เห็นพวกเขา เจ้าของร้านตกตะลึงเป็นอย่างมาก ปริรอยยิ้มออกมาทันใด

“อ๋องเย่ ยังคงเป็นขาหมูที่หนึ่งใช่ไหมขอรับ?”

“อืม!”

เย่แจ๋หยิ่งดึงหลานเยาเยานั่งลง นั่งบนตำแหน่งที่นางเคยนั่งบ่อยๆ เจ้าของร้านมองมาทางนาง

“คุณชายท่านนี้ก็เอาที่หนึ่งใช่ไหมขอรับ?”

“หลานเยาเยาพยักหน้า

ผ่านไปไม่นาน ขาหมูสองที่ที่ร้อนระอุก็ยกมาแล้ว เจ้าของร้านยังแถมผักดอกสองสามอย่างอีก และเหล้าไหเล็กไหหนึ่ง

หลานเยาเยามองเย่แจ๋หยิ่งแวบหนึ่ง เห็นเขาขยับตะเกียบ อยากพูดแต่ก็หยุด ต่อจากนั้นตัวเองก็เริ่มกิน

เดิมทีก็คือนักกินจุ เผชิญหน้ากับของอร่อย แม้จะไม่เหมือนอดีตที่บ้าคลั่งแล้ว แต่รสชาติที่อร่อยถูกปาก นางก็ได้วางมาดไปพลางจัดการด้วยความรวดเร็วไปพลาง ความเร็วน่าทึ่งเป็นที่สุด

รอจนกระทั่งคิดเงิน

หลานเยาเยายังไม่ลุกขึ้น เย่แจ๋หยิ่งก็จ่ายเหรียญเงินแล้วจากไป

นางเดินมาถึงด้านหน้าเจ้าของร้าน ถามด้วยความเข้าใจผิดเล็กน้อย :

“อ๋องเย่มาที่นี่บ่อยหรือ?”

แต่เหล่าผู้คนไม่ได้พูดว่า เย่แจ๋หยิ่งไม่เหยียบออกจากบ้าน ทั้งยังไม่พบปะคบหาผู้คน แม้กระทั่งห้องบรรทมก็ล้วนไม่เคยเหยียบออกมาแม้ครึ่งก้าว

แต่น้ำเสียงเมื่อครู่ของเจ้าของร้านกลับไม่เป็นเช่นนั้น

เดิมทีเจ้าของร้านไม่อยากพูด แต่ก่อนหน้านี้ก่อนที่จะเจอคุณชายท่านนี้เดินใกล้ชิดกับท่านอ๋องเป็นที่สุด ไม่เพียงแต่มาที่เขานี้สั่งเพียงขาหมูที่เดียว และอ๋องเย่ที่ไม่เคยกินสักคำ วันนี้กลับกินขาหมูจานนั้นจนเกลี้ยง

จึงคิดว่า คุณชายด้านหน้าผู้นี้ไม่ใช่คนเลวร้าย

“ก็ไม่ได้มาบ่อยขอรับ หนึ่งเดือนมาครั้งหนึ่ง ทุกครั้งล้วนเป็นห้าทุ่มถึงตีหนึ่ง สั่งขาหมูแล้วก็ไม่กิน เพียงแค่นั่งอยู่ที่นั่นตลอด รอขาหมูเย็นแล้วจึงจากไป

วันนี้แปลกประหลาดเป็นที่สุด อ๋องเย่กินขาหมูอย่างคาดไม่ถึงขอรับ”

ในใจหลานเยาเยาบีบอัดเล็กน้อย กล่าวพึมพำอีก

“ก่อนหน้านี้แผงร้านค้าของถนนเส้นนี้ไม่ใช่เก็บแผงหมดแล้วหรือ?”

“ว่าไปก็บังเอิญขอรับ หนึ่งปีก่อน ลูกค้าที่มาแผงร้านค้าค่อนข้างมาก เลยช่วงเวลาห้าทุ่มถึงตีหนึ่งไปข้าน้อยถึงเก็บแผง พอต้องการจากไป ก็เห็นอ๋องเย่เดินล่องลอยอยู่บนถนนเพียงผู้เดียวลำพัง บางครั้งร้องไห้ บางครั้งหัวเราะ ในมือยังถือไหเหล้าหนึ่งไหอีก

เขามายืนอยู่ด้านหน้าแผงร้านค้าเป็นเวลานาน พูดเพียงประโยค‘นางโปรดปรานการกินขาหมูเป็นที่สุด’ แล้วก็จัดวางโต๊ะเก้าอี้เอง

ข้าเอาขาหมูที่หนึ่งให้เขา เขาก็ไม่กิน เพียงนั่งมองขาหมูจานนั้นตลอด รอจนเย็นแล้วจึงจากไป เงาหลังโซซัดโซเซ มองดูแล้วน่าสงสารเป็นที่สุด

หลังจากนั้นมา ข้าน้อยจึงได้รอจนผ่านช่วงห้าทุ่มถึงตีหนึ่งแล้วค่อยเก็บแผงขอรับ แต่ก็ไม่เห็นอ๋องเย่มาอีก เดิมคิดว่าเขาไม่กลับมา ใครจะรู้หลังจากประมาณเดือนหนึ่ง เวลาห้าทุ่มตีหนึ่งเพิ่งผ่านไป อ๋องเย่ก็มาอีก

ครั้งนั้นเขาไม่ได้ดื่มเหล้า แต่สั่งขาหมูที่หนึ่ง นั่งมองดูอยู่ตรงนั้นนิ่งๆอยู่นาน ก็ยังคงเย็นแล้วถึงจากไป ยังทิ้งตั๋วเงินใบหนึ่งไว้

ถึงตอนนี้ ทุกเดือนเวลาห้าทุ่มถึงตีหนึ่งอ๋องเย่ก็จะมาครั้งหนึ่ง วันนี้กลับไม่เหมือนเดิมขอรับ”

ไม่เพียงไม่เหมือนเดิมเท่านั้น?

นั่นคือไม่เหมือนเดิมเป็นอย่างมาก

อ๋องเย่ไม่เพียงมาตอนกลางวัน ยังพาคุณชายท่านหนึ่งมาอีก ดูเหมือนว่าอารมณ์ดีมาก ยังลิ้มรสขาหมูอีกด้วย

“ขอบใจมากนะ”

เสียงของหลานเยาเยาแหบเล็กน้อย นางก้มศีรษะ ลดสายตาลง ไม่ให้คนอื่นมองเห็นสีหน้าของนาง ก่อนไปกล่าวด้วยเสียงต่ำ :

“คราวหน้าเขามา ทำรสชาติอ่อนให้เขา”

ออกจากแผงขาหมู หลานเยาเยาไล่ตามไปด้วยความรวดเร็วที่ยังเดินไปได้ไม่ไกลนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเย่แจ๋หยิ่งที่ยังเดินได้ก้าวหนึ่งหันกลับมาสามครั้ง

“ทำไมเพิ่งมา?” เขาถาม

“ข้ากำลังดูว่าแผงร้านค้านั่นมีอาหารชนิดใดที่เพิ่มมาใหม่ คิดไม่ถึงว่ามีมากมาย ครั้งหน้าพวกเราไปกันอีกได้ไหม?”

เห็นเพียง ร่างกายของเย่แจ๋หยิ่งชะงักครู่หนึ่ง แล้วเดินหน้าต่อไป ริมฝีปากบางๆเปิดเล็กน้อย กล่าวพึมพำ :

“พวกเรา?”

“อืม ใช่แล้ว! มีท่านอยู่ เจ้าของร้านให้ส่วนลดมากมายเลยล่ะ!” แม้ว่าตอนนี้เขาจะไม่สามารถกินอาหารมันๆได้มากเท่าไหร่ แต่ก็ดีกว่าไม่กินอะไรเลย

“หากเจ้าชอบ ข้าให้เขามาในจวน”

“ความจริงข้าชอบเดินๆหยุดๆไปทั่วๆมากกว่า ดูพระอาทิตย์ขึ้นทางตะวันออกตกทางตะวันตก ดูทิศทัศน์ที่สวยงามของสี่ฤดู ดูภูเขาแม่น้ำที่เปลี่ยนแปลง ไม่รู้ว่าจะสวยงามแค่ไหน?”

ความจริง เพียงแค่สถานที่ที่มีเย่แจ๋หยิ่ง ที่ไหนก็ดีทั้งหมด

เพียงแต่เสียดาย……

นางในตอนนี้ไม่มีคู่ควรใช้ฐานะของคนรักอยู่เป็นเพื่อนเขา

เช่นนี้ไม่ยุติธรรมต่อเขา และไม่ซื่อสัตย์

“ก็ดี ข้าจะไปขายจวน”

พูดจบ เย่แจ๋หยิ่งก็ดึงนางไว้ เดินไปทางจวนอ๋องเย่

“เดี๋ยวก่อน ดูทิวทัศน์เกี่ยวอะไรกับขายจวน? ไม่ใช่ว่าท่านร่ำรวยไร้ที่เปรียบหรือ? ดูทิวทัศน์ยังจะต้องขายจวนอีก?”

“ข้ายากจนมาก”

“……”

ยากจน?

ยากจนจนเหลือเพียงตั๋วเงินแล้วใช่ไหม?

“ไม่งั้น ข้าจำนำจวนให้เจ้า”

คราวนี้ หลานเยาเยาตาเป็นประกาย อดีตความฝันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของนางก็คือ : แย่งทรัพย์สินครอบครัวของเย่แจ๋หยิ่ง ยึดครองจวนของเขา ไล่เขาออกจากบ้าน ยังต้องการมัดเขาไว้หลังรถม้าทำเป็นเหมือนเล่นชักว่าว

ความฝันนี้จะเป็นจริงในเร็วๆนี้แล้วใช่หรือไม่?

“แฮ่มแฮ่ม จวนราคาสูงมากสินะ? ข้าไม่มีตั๋วเงินมากมายขนาดนั้น”

“ไม่แพง เพียงพอที่จะชดใช้เงินค่ารักษาอาการป่วยของข้าพอดี เป็นอย่างไร?”

ใช่แล้ว!

นางได้เจรจาตกลงราคากับพ่อบ้านเหมยพวกเขาแล้ว จำนวนนั้นก็ไม่ใช่เงินจำนวนน้อยๆ แม้ว่าไม่ถึงขั้นขัดด้วยจวนอ๋องเย่ แต่เย่แจ๋หยิ่งยืนยันต้องการขายราคาต่ำ นางก็สามารถจำใจฝืนรับได้

เพียงแต่……

ทำไมรู้สึกว่าโดนหลอกล่ะ?

“จริงหรือ?”

“หากว่าไม่เชื่อ ก็ลงนามอนุมัติที่ถนนก็ได้”

ไม่ใช่ละมัง? ยังเป็นความจริงอีก?

พูดจาเสียงดังขนาดนั้น คนรอบๆได้ยินหมดแล้ว เห็นเพียงในอากาศมีความเคลื่อนพรั่งพรูอีกแล้ว คาดว่าสายสืบในที่ลับแยกกันไปรายงานอีกแล้ว

“ได้สิ! เช่นนั้นก็ลงนามอนุมัติ”

หลานเยาเยาซื้อกระดาษหมึกพู่กันจากร้านหนังสือร้านหนึ่งอย่างรวดเร็ว ยังจะลงนามอนุมัติที่ถนนจริงๆ เย่แจ๋หยิ่งยังสั่งให้คนกลับจวนไปหยิบโฉนดของจวนอีกด้วย

ขณะที่โฉนดวางอยู่ในมือของหลานเยาเยา

นางยังไม่ทันได้ดีใจ เย่แจ๋หยิ่งก็หยิบกระดาษแผ่นหนึ่งให้นาง กล่าวอย่างจนปัญญา

“นี่คือของขวัญในการขายจวน จำเป็นจะต้องดูแลเก็บรักษาอย่างดี”

“นี่คืออะไร?” หลานเยาเยาสงสัย

“สัญญาขายตัวของข้า”

อะไรนะ?

สัญญาขายตัว? ยังเป็นสัญญาขายตัวของเย่แจ๋หยิ่งอีก เขาเป็นบ้าแล้วหรือ?

หลานเยาเยามุมปากกระตุกอย่างหนัก รูปปากกลับคืนเป็นรูปเดิมไม่ได้แล้ว

“ปึง” เสียงหนึ่ง สายสืบที่แอบซ่อนอยู่ที่ไหนสักแห่งบนหลังคา ร่วงลงมาที่พื้นโดยตรง เห็นหลานเยาเยามองมา เขารีบเอามือบังหน้าทันที :

“มองไม่เห็นข้า มองไม่เห็นข้า มองไม่เห็นข้า……”

และคนดูรอบๆ เพิกเฉยต่อสิ่งนี้โดยสิ้นเชิญ จ้องมองตรงที่พวกเขาโดยตลอด สายตาไม่กระดิก เห็นได้ชัดว่าสายตานั้นเขียนว่า : นั่งรออ๋องเย่ขายตัว

หลานเยาเยา : “……”

แย่แล้ว!

เพราะวิธีการตื่นนอนของวันนี้ไม่ถูกต้อง หรือว่าท่าทางการเดินของนางไม่ถูกต้อง ทำไมรู้สึกว่าแต่ละคนเสียสติไปหมดแล้วล่ะ!

“อาซู่ ตอนนี้ข้าเป็นของเจ้าแล้ว เจ้าวางแผนจะให้ตำแหน่งข้าอย่างไร แล้วอยากทำอย่างไรกับข้า? ไม่ว่าอย่างไรข้าก็จะไม่ขัดขืน”

“……” เสียสติแล้ว เสียสติแล้ว เขาเสียสติแล้วจริงๆ