บทที่ 534 ญาติที่ไม่ใช่ญาติ

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ

บทที่ 534 ญาติที่ไม่ใช่ญาติ

บทที่ 534 ญาติที่ไม่ใช่ญาติ

พอหลิวซิ่วอิงได้ยินว่าจะให้เอาเนื้อมาคืนก็ตื่นตระหนก

เธอไม่ได้โง่ จะทำธุรกิจที่ขาดทุนได้ยังไง?

จู่ ๆ ก็ได้เนื้อมาโดยไม่ลงแรงตั้งหลายจิน แล้วจะโง่คืนกลับไปได้ยังไง?

ยิ่งหัวหน้าซูบอกให้ขึ้นเขาไปล่าหมูป่าอีก หญิงชราไม่มีทักษะนั้น

“หัวหน้า ฉันแค่คิดไปเองน่ะ งั้นเดี๋ยวกลับก่อนแล้วกัน พวกคุณทำงานไป ๆ!”

หลิวซิ่วอิงรู้สึกเหมือนทาเท้าด้วยน้ำมัน แค่ลื่นพรืดก็ไถลออกไปไกล ปล่อยให้สองสามีภรรยามองภาพนั้นไม่พูดไม่จา

หลังจากพ้นประตูบ้านก็คิดขึ้นมาอีกว่ายกให้บ้านซูชวนแล้วกัน รอพวกเขาทำเสร็จค่อยไปขอที่บ้านสักหน่อย เหตุผลก็คือเอามาเสิร์ฟให้ตาแก่ จากนั้นก็คิดต่ออีกว่าถ้าคนบ้านใหญ่รู้ควรก็น่าจะส่งมาให้ตาแก่สักหน่อยนะ!

ตอนนั้นบ้านซูกำลังร่วมแรงกันทำงาน เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับปีใหม่

ซูซื่อเลี่ยงเขียนบทกลอน มีเสี่ยวลิ่วคอยช่วยเหลือ เด็กคนอื่น ๆ ตักน้ำล้างบ้านแล้วเริ่มลงมือกวาด

ส่วนคนที่เหลือทำเครื่องในตุ๋น บ้างสับเนื้อเพื่อรอห่อเกี๊ยวตอนเย็นและอีกมากมาย

คุณย่าซูพาสะใภ้และลูกสาวมาเตรียมอาหารเย็นในวันส่งท้ายปีเก่า

จากที่เสี่ยวเถียนบอก อาหารในวันนี้ต้องเตรียมให้เต็มที่ ทุก ๆ คนต่างสนทนาพาคุยสนุกสนาน ความหนาวเหน็บในตอนนี้ไม่หนาวเท่าที่ควร

“ฉันไปหามาแล้ว จำได้นะว่าที่บ้านยังมีอีกสองขวด ทำไมถึงหาไม่เจอกัน” คุณปู่ซูคิดว่าวันส่งท้ายควรจะดื่มกันสักหน่อย

“พ่อครับ รอบนี้ผมก็เอาเหล้ามานะ” เฉินจื่ออันที่สับเนื้อได้ยินพอดีขึงรีบตอบ

“เหล้าขวดนั้นของฉันก็ของดี!”

เฉินจื่ออัน “…”

เหมาไถไม่อร่อยหรือ?

หม่านซิ่วหัวเราะกับบทสนทนานั่น

“แม่ ไว้กินข้าวเสร็จพวกเราสอนคนจะออกไปเดินเล่นสักหน่อยแล้วจะกลับมานะคะ!”

“ออกไปทำไม ดึกแล้วนะ พวกแกสองคนไม่หนาวหรือไง เสี่ยวหยวนก็ไม่หนาวด้วย?” คุณย่าซูมองลูกสาวอย่างเคือง ๆ

หม่านซิ่วสับสน

มันสำคัญไม่ใช่หรือ?

“ตอนนี้ฉันเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าชีวิตจะดีหรือไม่ดี มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับสิ่งนี้” คุณย่าซูมองสะใภ้ทั้งสอง

“พวกเราร่วมแรงร่วมใจทำงาน ขยันไปด้วยกัน ชีวิตถึงได้ค่อย ๆ ดีขึ้นเรื่อย ๆ เหมือนกับเด็ก ๆ ที่เรียนหนังสือ เด็กที่ตั้งใจก็ต้องสอบได้คะแนนดีอยู่แล้ว!”

หม่านซิ่วประหลาดใจที่แม่พูดจาเชิงปรัชญาขึ้นได้

“แม่พูดถูกค่ะ ที่เราต้องทนทุกข์เพราะชีวิตกำลังจะดีขึ้นนะ!” เหลียงซิ่วเข้าใจดีว่าแม่สามีหมายถึงอะไร จึงรีบตอบด้วยรอยยิ้ม

หวังเซียงฮวาและฉีเหลียงอิงมองหน้ากันเงียบ ๆ

สะใภ้ใหญ่ไม่ได้คิดเยอะด้วยนิสัยไม่คิดอะไรมากของเธอ

สะใภ้รองคิดว่าน้องเขยเป็นข้าราชการระดับสูง ไม่ควรทำให้เขาเคืองใจ

ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เรื่องที่ซูหม่านซิ่วมาฉลองปีใหม่ที่บ้านเกิด*[1] เป็นเรื่องที่ได้รับการตัดสินแล้ว

ซื่อเลี่ยงพาเสี่ยวลิ่วและคนอื่น ๆ มาช่วยกันตัดกระดาษสีแดงตามความกว้างของประตู และตัดออกมาเป็นสี่เหลี่ยมชิ้นเล็กชิ้นใหญ่ จากนั้นก็เขียนข้อความด้วยหมึก

เสี่ยวลิ่วเขียนไม่เป็นก็จริง แต่มันไม่ได้ขวางเขาในการชื่นชมผลงานหรอกนะ

แต่สำหรับซื่อเลี่ยงมันเป็นอะไรที่ยากมาก เพราะต้องให้คนเขียนไม่เป็นมาอ่านให้ฟัง ส่วนเขาเขียนตาม

ตอนนั้นกลิ่นของน้ำหมูตุ๋นโชยออกมาแล้ว

ยุคสมัยนี้มาตรฐานชีวิตของคนแย่มาก ขนาดน้ำต้มเนื้อกลิ่นยังลอยไปไกลสามลี้ นับประสาอะไรกับกลิ่นหลู่เว่ยของบ้านซู

ทุก ๆ บ้านเต็มใจกินเนื้อตุ๋นเพราะพวกเขาแบ่งกันเมื่อวานแล้ว

แต่กลิ่นเนื้อในบ้านกลับโดนของบ้านซูกลบจนหมด

ในไม่ช้าอากาศเหนือบ้านซูก็เต็มไปด้วยกลิ่นของหลู่เว่ย

กลิ่นของมันทำให้สมาชิกหงซินแทบนั่งไม่ติดที่

ถ้าไม่ใช่เพราะเป็นวันส่งท้ายปีเก่าที่ไม่เหมาะมาหาที่บ้าน พวกเขาไปขอชิมถึงประตูแล้ว

สุดท้ายก็มีคนทนไม่ไหวเดินมาดู ถึงได้รู้ว่าบ้านนี้ต้มเครื่องใน

ไม่คิดเลยว่าพอทำเครื่องในดี ๆ แล้วจะมีกลิ่นแบบนี้ได้ด้วย

เพราะบ้านเราจงใจปิดเรื่องนี้เอาไว้ คนในหงซินจึงไม่รู้ว่าบ้านเราเปิดร้านอาหารในเมืองหลวงจนหาเงินได้มาเป็นกอบเป็นกำ

แถมยังขายหลู่เว่ยด้วย

พวกเขาคิดว่าคุณปู่คุณย่าไปขายไข่ชาในเมืองและคอยดูแลหลาน ๆ เท่านั้น

คนที่มาดูหลู่เว่ยก็เห็นซื่อเลี่ยงกำลังเขียนกลอนคู่อยู่ ถึงจะไม่เข้าใจแต่คิดว่าอักษรที่เขียนมันสวยงามมาก

จากนั้นก็มีคนสงสัยแล้วเอ่ยถามว่า เขียนให้พวกเขาได้หรือเปล่า

ถ้าปีก่อนเรื่องนี้ต้องไปขอซูฉางจิ่ว

ซูฉางจิ่วเป็นหัวหน้ากองชุมชน และเป็นคนเดียวในหงซินที่เขียนพู่กันได้ แต่ตอนนี้พวกเขาคิดว่าลายมือของซูซื่อเลี่ยงดูดีกว่าเยอะ

ในตอนเย็นพวกเราต้องกินของดี ๆ กัน ตอนกลางวันเลยเป็นอาหารง่าย ๆ แทน

ทุกคนในครอบครัวร่วมวงกันกินข้าว จากนั้นจึงทำงานต่อ

ช่วงบ่าย แรงงานหลักอย่างเสี่ยวชี เสี่ยวปา และเสี่ยวจิ่วออกไปแจกจ่ายเนื้อตุ๋นให้คนในกองชุมชน

บ้านเราหนึ่งถ้วย บ้านเขาครึ่งถ้วย ถ้าแต่เดิมไม่ได้บาดหมางอะไรกันเราก็เอาไปให้อยู่แล้ว แต่ตอนนี้หลิวซิ่วอิงเป็นคนที่มีความสัมพันธ์ไม่ดีกับพวกเรา แต่ซูซานเป็นพี่ชายของซูชวน จำต้องแบ่ง

ให้ส่วนหนึ่ง

หญิงชราเห็นถ้วยที่เต็มไปด้วยเครื่องในกลับรู้สึกเสียเปรียบ

เธอได้ยินมาว่าตระกูลซูโยนใส่เครื่องในไปตั้งหกชนิด

เห็นว่าคนเยอะก็เลยกินหมด?

“นับวันยิ่งขี้เหนียวจริง ๆ ใส่เครื่องในไปตั้งหกอย่าง แต่ให้พวกเรามาแค่นี้เนี่ยนะ ละอายใจบ้างไหม?”

“ย่ารองครับ ทุกบ้านได้กันหมดครับ อีกอย่างเครื่องในหกอย่างก็ไม่ได้เยอะอะไรด้วย”

“อะไรนะ? พวกแกโง่หรือเปล่า? บ้านใครก็ให้ งั้นทำไมถึงไม่ทำตัวให้มันชัดเจน? หรือไม่รู้ว่าพวกเราเป็นญาติกัน?…”

เธอเอาแต่พูดพล่ามไม่น่าฟังเลยสักนิด

และคำพูดพวกนั้นก็ทำสีหน้าเสี่ยวจิ่วเย็นลง

ใบหน้าอ่อนโยนเต็มไปด้วยความโกรธ แค่เอาเนื้อมาให้ก็เป็นปัญหา!

“ถ้าบ้านย่ารองไม่ชอบก็เอาคืนมาครับ พอดีเลย ที่บ้านผมคนเยอะมาก ที่เหลืออยู่ก็ไม่ค่อยพอกินเสียด้วย”

ซูซานรู้สึกอึดอัดในใจ

เขามองภรรยาที่ปากพล่อยไม่หยุด แล้วตบโต๊ะด้วยสีหน้าเย็นเยือก

“ถ้าสมองไม่เคยใช้คิดก็ไสหัวกลับตระกูลหลิวไปซะ! วัน ๆ เอาแต่หาเรื่องเขาไปทั่ว!”

ปกติแล้วคำพูดนี้คือมีไว้พูดให้เสี่ยวจิ่วฟัง

และเขาเป็นแค่เด็ก แต่ก็บอกไม่ได้อีกแหละว่าฟังเข้าใจหรือเปล่า ต่อให้เข้าใจก็แสร้งไม่เข้าใจก็ได้

เด็กหนุ่มเทเนื้อใส่ถ้วยใหญ่บนโต๊ะ แล้วหมุนตัวเดินจากไป

เมื่อเห็นว่าสามีโกรธอีกครั้ง หลิวซิ่วอิงไม่กล้าพ่นคำหยาบต่อ แล้วเอ่ยเสียงเบาแทน “ฉันไม่คิดว่าพวกเขาจะไม่เห็นคุณเป็นญาติ!”

ซูซานร้องเหอะ “ญาติ? เธอเห็นพวกเขาเป็นญาติไหม?”