บทที่ 535 กลายเป็นคนมีความสามารถไปเสียแล้ว

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ

บทที่ 535 กลายเป็นคนมีความสามารถไปเสียแล้ว

บทที่ 535 กลายเป็นคนมีความสามารถไปเสียแล้ว

เขารู้สึกอึดอัดในใจ ครอบครัวพี่ใหญ่อยู่เมืองหลวงกันหมด อุตส่าได้กลับมาแล้วแท้ ๆ แต่เขาไม่เคยเรียกมานั่งคุยด้วยกันสักครั้งเลย

คิด ๆ ดู เราควรจะโทษใครกันล่ะ?

เราสองคนเดินมาจนถึงจุดนี้แล้ว และปัญหาระหว่างเราก็ยิ่งใหญ่ขึ้นไปอีก จะโทษพวกเขาไม่ได้หรอก

ความรู้สึกบางอย่างพอเกิดขึ้นแล้วจะไม่มีหวนกลับมาอีก

หลังจากนี้ไปก็ให้มันเป็นแบบนี้ไปแล้วกัน!

พี่ใหญ่เดินบนเส้นทางที่สมบูรณ์แบบ ส่วนเขาเดินอยู่บนแผ่นไม้แผ่นเดียว

ในตอนที่เขามีความคิดเช่นนี้ ก็เพิ่งตระหนักได้ว่าครอบครัวอีกฝ่ายต่างไปจากเมื่อก่อนแล้ว

คนบ้านซูไม่รู้ว่าซูซานกำลังดำดิ่งกับการทบทวนตัวเองอยู่

หลังจากแจกให้จ่างหลู่เว่ย พวกเขาก็ยุ่งกับการทำความสะอาดบ้านรอบสุดท้าย เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้วก็พร้อมติดกลอนคู่

เสี่ยวปากับเสี่ยวจิ่วเอาไปแปะที่ประตู ก่อนจะเห็นซูฉางจิ่วมาพร้อมกับกระดาษสีแดง

“ได้ยินว่าซื่อเลี่ยงกำลังเขียนกลอนคู่อยู่ เลยมาขอให้ช่วยเขียนบ้างน่ะครับ” หัวหน้าซูเอ่ยกับคุณปู่ซูอย่างสุภาพ

ชายชรารีบยิ้มตอบ “ฉางจิ่วก็ว่าไป ไม่ขนาดนั้นหรอก อาจจะช่วยไม่ได้เท่าไรนะ”

“แต่ตัวหนังสือที่ซื่อเลี่ยงเขียนสวยมากเลยครับ ดีกว่าผมเยอะเลย!” ซูฉางจิ่วชม

อักษรที่เขาเขียนมันหยาบจริง ๆ แต่เพราะในกองชุมชนไม่มีใครเขียนหนังสือได้เลย เขาเลยต้องมาทำเอง

แต่ตอนนี้โชคดีที่หงซินเรามีคนเก่ง ๆ อยู่ด้วย

พูดขึ้นได้ ในกองชุมชนเราก็มีแค่ลูกหลานบ้านซูเท่านั้นที่มีความสามารถ

หลังจากหัวหน้ามาขอ คนอื่น ๆ ก็มาขอด้วยเช่นกัน

สรุปแล้วซื่อเลี่ยงก็ใช้เวลาทั้งวันไปกันการเขียนกลอนคู่

บางครอบครัวก็พาลูกหลานมาด้วย และพูดด้วยความอิจฉาว่าถ้าลูกบ้านตนเก่งแบบซื่อเลี่ยงบ้างก็คงดี

ซูซื่อเลี่ยงผู้ที่ได้รางวัลระดับประเทศและน่าสงสาร นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเขียนตัวอักษรเยอะขนาดนี้เลย แถมยังอาสาเขียนให้ทุกคนเลยด้วย

โชคดีที่คนส่วนใหญ่ค่อนข้างใส่ใจกัน ตอนมาขอร้องให้เขียนกลอนคู่ พวกเขาไม่ได้เอามาแต่กระดาษสีแดงเท่านั้น แต่ยังเอาน้ำตาลหนึ่งกำและไข่อีกหนึ่งฟองมาให้ด้วย เพื่อเป็นการยกย่อง

เว้นไว้อยู่คนหนึ่ง เช่น หลิวซิ่วอิง

หญิงชราคนนี้เป็นพวกรับมือยากเสมอ โดยเฉพาะเวลาต้องเผชิญหน้ากับคนบ้านซู

พอได้ยินว่าซื่อเลี่ยงเขียนกลอนคู่อยู่ แกพลันตรงไปที่บ้านโดยไม่มีความเกรงใจสักนิด

“ซื่อเลี่ยง แกเขียนกลอนคู่ให้บ้านฉันบ้างสิ เพราะยังไงตาแก่ที่บ้านฉันก็เป็นน้องชายแท้ ๆ ของปู่เธอนะ”

ใบหน้าชายหนุ่มมีรอยยิ้มอ่อนโยน สดใสเสียจนทำให้คนมองแสบตา

“ได้ครับย่ารอง ย่าจะเอากี่คู่ครับ? แล้วติดตรงประตูไหนบ้าง? อยากเขียนพวกตัวฝู*[1]ด้วยไหมครับ?”

จู่ ๆ หลิวซิ่วอิง ก็รู้สึกว่าเด็กคนนี้ไม่ได้น่ารำคาญอีกต่อไป ถือว่ารู้ความอยู่ หญิงชราคิดว่าวันนี้คงจะได้ใช้ประโยชน์จากเขาจึงเริ่มนับนิ้วขึ้นมา

“ต้องไว้ที่เรือนหู*[2]ฝั่งตะวันตกสองอัน ห้องครัว เรือนตะวันตกและเรือนตะวันออก ไอ้หยา แล้วก็ประตูใหญ่จะลืมไม่ได้ ไหน ๆ ก็เขียนแล้วก็เอาที่ประตูห้องเก็บฟืนคู่หนึ่ง ประตูเล้าไก่กับเล้าหมูก็ต้องมีนะ…”

หลิวซิ่วอิงพูดพล่ามไปเรื่อย แม้แต่คุณย่าซูที่นั่งห่อเกี๊ยวอยู่บนเตียงเตายังทนฟังไม่ไหวเกือบพุ่งเข้าไปทะเลาะด้วยแล้ว

“ได้ครับย่ารอง ไม่มีปัญหาเลย!” ชายหนุ่มยิ้มบาง ๆ แต่กลับนั่งตัวตรงไม่ขยับเลยสักนิด

หลิวซิ่วอิงมองอยู่นานก่อนจะถามด้วยความสงสัย “ทำไมไม่เริ่มเขียนล่ะ? มีอะไรให้สนใจอีก?”

และสิ่งที่ชายหนุ่มผู้สดใสกล่าวเป็นสิ่งที่หญิงชราไม่ยินดีที่จะฟัง

“ย่ารอง ย่าจะอยากเขียนกี่คู่ก็ได้ครับ ในฐานะหลานผมจะตั้งใจเขียนอย่างดีเลย แล้วก็เขียนให้สวย ๆ ด้วยครับ”

“งั้นกระดาษสีแดงย่าล่ะครับ? ถ้าไม่มีผมก็เขียนไม่ได้นะ”

“กระดาษสีแดง? อะไรเนี่ย เขียนให้ปู่รองไม่กี่คู่ต้องเอากระดาษด้วยหรือ?”

หลิวซิ่วอิงเบิกตากว้าง แล้วตบต้นขาเพราะไม่อยากจะเชื่อ

ทำเหมือนกันซื่อเลี่ยงทำเรื่องชั่วร้ายอย่างไรอย่างนั้น

ชายหนุ่มเหลือบมองสีท้องฟ้า เย็นมากแล้ว พระอาทิตย์ใกล้จะตกแล้วด้วย

เขาบิดเอวและแขน ก่อนจะแบมือออกสองข้าง “ย่าไม่ได้พูดตั้งแต่เนิ่น ๆ นี่ครับ ถ้าบอกไว้กว่านี้ผมคงเตรียมกระดาษแดงมาอีกหน่อยแล้ว แต่เพราะย่าไม่ได้พูด ผมก็เลยไม่ได้เตรียมไว้”

เขาเอ่ยอย่างสบาย ๆ

แม้แต่หลิวซิ่วอิงก็รู้ ว่าพูดตามปกติ

แต่มันก็มีเหตุผลจริง ๆ

แต่ละบ้านมีกระดาษอยู่น้อยนิด ใครจะมีเหลือพิเศษเผื่อคนอื่นล่ะ?”

“ไม่งั้นย่ารองให้พี่ใหญ่ผมเข้าไปซื้อที่ตำบลไหมครับ? แต่ส่วนแบ่งของเราหมดแล้วนะครับ ต้องใช้ของย่าแทน ย่ายินดีไหม?”

ซื่อเลี่ยงยังยิ้มอ่อนโยน

หลิวซิ่วอิงเหมือนโดนทิ่มแทง

เพิ่งจะทราบว่าบ้านซูชวนไม่มีคนดีสักคน แค่เขียนกลอนคู่ยังต้องขอกระดาษสีแดงบ้านเราอีก เห็นว่าเธอโง่หรือไง?

สุดท้ายหลิวซิ่วอิงก็เอากระดาษสีแดงมาเขียนด้วยตัวเอง แต่ไม่ได้ไปติดประตูเล้าไก่ เล้าแพะ ประตูห้องเก็บฟืนอะไรนั่นแล้ว

พอเห็นหญิงชราเดินจากไปพร้อมกับคำด่า คนอื่น ๆ ที่มารอให้ซื่อเลี่ยงเขียนกลอนหัวเราะร่า

“ซื่อเลี่ยง คำนี้เขียนสวยจริง ๆ นะ! เด็กที่เรียนมหาวิทยาลัยเนี่ย เห็นแววมาก!”

“…” เด็กบ้านซูคนอื่น ๆ

พวกเราก็เรียนมหาวิทยาลัยเหมือนกัน แต่เขียนพู่กันไม่ได้ ถือว่านับไหมเนี่ย?

สิ่งที่กองชุมชนให้ความสำคัญคือต้องแปะกลอนคู่ก่อนอาทิตย์ตกดิน และบ้านต้องเป็นระเบียบเรียบร้อยด้วย

เพราะงั้นต้องเขียนกลอนให้เสร็จ

กระทั่งคนสุดท้าย หลังจากวุ่นวายมาทั้งวันในที่สุดก็สงบเสียที

ตอนนี้ดวงอาทิตย์สีแดงครึ่งดวงสาดแสงสีทองส่องไปทั่วหมู่บ้าน เพิ่มความสดใสให้กับหมู่บ้านโบราณ

คุณปู่ซูหยิบประทัดออกมาแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “หนุ่ม ๆ ออกมาจุดประทัดมา! ขอให้ชีวิตนับจากนี้มีแต่ความเจริญรุ่งเรือง!”

นี่คือช่วงเวลาที่คุณปู่ซูภาคภูมิใจมากที่สุด แม้ว่าเขาจะชอบเสี่ยวเถียนมากที่สุด แต่ก็รู้ว่าลูกหลานชายเป็นรากเหง้าของครอบครัว

โดยเฉพาะในช่วงเวลาแบบนี้ การมีลูกเยอะก็ยิ่งสุขเยอะเห็นได้ชัดเลย

จากนั้นทุกคนก็อวยพรคำมงคลอย่างพวกมั่งมีศรีสุขตามคุณปู่ซู

ยิ่งกับเสี่ยวซื่อที่ชอบเงินเป็นพิเศษ หลังจากกล่าวจบยังคิดอยู่เลยว่าบูชาเทพเจ้าแห่งความมั่งคั่งดีไหม

แต่พอพูดเรื่องนี้ก็โดนย่าห้ามไว้

หญิงชราเอาธูป กระดาษเงินกระดาษทองจำพวกนี้ไปบูชาเทพมังกรที่แม่น้ำอย่างจริงจัง

ใช่แล้ว ในความคิดคุณย่าซูคือไม่ว่าเทพเจ้าแห่งความมั่งคั่งจะสำคัญขนาดไหน แต่มันจะเท่ากับราชามังกรจริงหรือ?

พอเห็นการกระทำของหญิงชรา เสี่ยวเถียนเริ่มสงสัยแล้วว่าตัวเองเป็นพวกหลอกลวงหรือเปล่า?

จากนั้นก็จำมังกรหยกที่เจอในถ้ำขึ้นได้ เลยคิดว่าจะเล่าให้แกฟัง

ตอนนั้นเด็กสาวเห็นหญิงชราเอากระดาษเงินกระดาษทองไป ก่อนจะเดาได้ว่าแกคงจะเอาไปเผาให้อาเล็ก เลยตามไปด้วย

คุณย่าซูไม่อยากให้คนอื่นในบ้านตามไปด้วย เพราะแกคิดถึงลูกคนเล็กมากและอยากจะร้องไห้ออกมา

แต่สิ่งที่เสี่ยวเถียนพูดมันมีเหตุผลเลยให้ไปด้วย

คุณปู่ซูเอาข้าวของ ผลไม้อะไรต่าง ๆ ไปด้วยแล้วพาลูกหลานไปเยี่ยมหลุมฝังศพ

*[1] 福 อักษรสิริมงคล นิยมติดตามหน้าประตูบ้านในช่วงเทศกาลตรุษจีน

*[2] 耳房 หรือ เรือนหู หมายถึงเรือนที่ขนาบข้างทั้งสองฝั่งของเรือนหลัก ในเรือนสี่ประสาน