บทที่ 542 กลิ่นเปรี้ยว
บทที่ 542 กลิ่นเปรี้ยว
ร่างกายของไป๋หรูปิงไม่มีเรี่ยวแรงเลยแม้แต่น้อย แต่กลับยังคำนึงถึงความเป็นกุลสตรี ก่อนจะพูดด้วยความเหนียมอายว่า “ท่าน…ท่านปล่อยข้าลงเถิด…ข้าเดินเองได้…”
“เจ้าคือว่าที่ฮูหยินในอนาคตของข้า ตอนนี้เจ้าป่วยข้าก็ต้องอุ้มเจ้าไปพักผ่อนสิ ข้ารู้ว่ามันไม่เหมาะสม แต่ข้าแค่อยากให้เจ้าสบายขึ้น สำหรับข้าแล้วเจ้าคือคนที่สำคัญที่สุด….กฎระเบียบหรือคุณธรรมอะไรนั้นข้าไม่สนใจทั้งนั้น ข้าสนใจแต่เจ้า!”
หลินจื้ออุ้มไป๋หรูปิงเดินไปพลางพูดไปพลาง
ไป๋หรูปิงคาดไม่ถึงว่าเขาจะพูดเช่นนี้ ความซาบซึ้งจึงก่อเกิดขึ้นในใจ ไม่คิดเรื่องชื่อเสียงที่สตรีพึงรักษาอะไรเหล่านั้นอีก แค่ซบหน้าลงในอ้อมกอดของหลินจื้อเท่านั้น
ครั้นเห็นหลินซือวิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อน เจี่ยงเถิงก็สอบถามจนรู้ว่าไป๋หรูปิงไม่สบาย “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นก็ให้เหยาเอ้อหลางพาพวกเจ้าไปยังที่พัก ข้าจะไปตามหมอให้แม่นางไป๋ เจ้ายังไม่ชินทาง ประเดี๋ยวหลงทางขึ้นมาจะร้องไห้ขี้มูกโป่งเอา!”
พูดพลางดีดศีรษะของหลินซืออย่างแผ่วเบา
“ไม่มีทาง! ตอนนี้ข้าโตแล้ว! ไม่ได้ ข้าจะไปกับท่านด้วย! พี่รอง ท่านพาคุณชายและคนอื่นไปยังที่พักก่อน ข้าและพี่อาเถิงจะไปตามหมอ”
ดูเหมือนหลินซือจะอยากพิสูจน์ตัวเอง จึงต้องการตามเจี่ยงเถิงไปด้วย
เหยาเอ้อหลางมองดูทั้งสองคนที่กำลังแข่งขันกัน แล้วรู้สึกว่าตอนนี้ตัวเองกำลังสุกสกาวเหมือนถูกไฟส่องหน้า ก่อนจะพูดหยอกเย้า “ไอหยา เรามันคนเปล่าเปลี่ยวใจก็ต้องเข้าใจเป็นธรรมดา ไฉนเลยจะเหมือนพวกเจ้าที่ตัวติดกันเป็นปาท่องโก๋ ไปกันเถอะ คุณชาย…”
หลินซือยังคิดจะแก้ตัวแต่ถูกเจี่ยงเถิงลากตัวไปเสียก่อน ทำได้แค่ทำหน้าล้อเลียนเหยาเอ้อหลางเท่านั้น
ครั้นองค์รัชทายาทเห็นเจี่ยงเถิงและหลินซือไปด้วยกันก็เริ่มรู้ไม่สบายใจอีกครา แต่ถ้าตนตามไปคงทำให้หลินซือรู้สึกว่าตัวเองไม่รู้ความและสร้างปัญหาเสียเปล่า ๆ จึงทำได้แค่ตามเหยาเอ้อหลางไปยังที่พักอย่างว่าง่าย
ไม่นาน หลินซือและเจี่ยงเถิงก็พาหมอจากในชนทบทมาจับชีพจรให้กับไป๋หรูปิง
“ช่วงนี้แม่นางคงจะกลุ้มใจมากเกินไป อึดอัดอยู่ในใจ ประกอบกับความเหนื่อยล้าในการเดินทาง รถม้าสั่นสะเทือนโคลงเคลง เลือดลมไหลเวียนไม่ดีพอ เนื่องจากโลหิตจาง”
หลังจากที่หมอจับชีพจรแล้วก็พลันขมวดคิ้วพลางเอ่ยขึ้น
“ข้าจะจัดยาปรับสมดุลให้สองเม็ด แต่มันช่วยแค่บำรุงเลือดลมภายในเท่านั้น ปัญหาทางใจ ต้องผ่านไปด้วยตัวเองถึงจะดีขึ้น”
ไป๋หรูปิงนอนอยู่บนเตียง กัดริมฝีปากก่อนจะพูด “ขอบคุณท่านหมอมากเจ้าค่ะ ลำบากท่านหมอแล้ว ข้าจะระวังตัวเองเจ้าค่ะ”
เจี่ยงเถิงรับยาไปและจ่ายเงิน จากนั้นก็สั่งคนพาหมอไปส่ง
หลินซือวิ่งมาข้างเตียง กุมมือของไป๋หรูปิงพลางพูดด้วยความเป็นห่วง “พี่ไป๋ ข้ารู้ว่าช่วงนี้พี่มีเรื่องทางบ้านต้องจัดการมากมาย แต่ไม่ว่าอย่างไรพี่ก็ต้องรักษาสุขภาพตัวเองให้มากนะเจ้าคะ!”
ไป๋หรูปิงเหยียดยิ้มมุมปาก ตบมือของหลินซืออย่างแผ่วเบา กล่าวเสียงแผ่ว “วางใจเถอะ ข้าไม่เป็นไร แค่วันนี้นั่งรถม้าที่สั่นโคลงเคลง ปรับตัวไม่ทันไปชั่วขณะ พาให้ล้มป่วย”
หลินจื้อที่ยืนอยู่ข้างกายเงียบมาตลอด ใบหน้าเคร่งขรึม นัยน์ตาแฝงไปด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ได้
หลินซือสังเกตปฏิกิริยาตอบสนองของพี่ชายตน รู้ว่าเขาต้องมีเรื่องอยากจะพูดคุยกับพี่ไป๋เป็นการส่วนตัวแน่ จึงลากเจี่ยงเถิงออกจากห้องอย่างรู้งาน
“หรูปิง…เจ้าบอกข้ามา เจ้ากลุ้มใจสิ่งใด? หมอบอกว่าเจ้าอึดอัดใจ ถ้าไม่ใช่เพราะกลุ้มใจมานานเกินไป เหตุใดถึงล้มป่วยเช่นนี้? เจ้าอย่าคิดปิดบังข้าเด็ดขาด!”
หลินจื้อข่มความหวาดกลัวและความตื่นตระหนกไว้ในใจ กระทั่งถามออกไป
ไป๋หรูปิงเห็นเขาเป็นกังวลเช่นนี้จึงคลี่ยิ้ม “อาจื้อ ท่านอย่าได้กังวลไปเลย ช่วงนี้บ้านข้าเกิดเรื่องราวมากมาย จึงทำให้ข้าต้องคิดมาก ประเดี๋ยวผ่านไปก็ดีขึ้น…”
หลินจื้อคว้ามือของนางเอาไว้ นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ยขึ้น “หรูปิง เกิดเรื่องอะไรขึ้นเจ้าต้องบอกข้า ข้าอยู่ข้างเจ้าเสมอ! เจ้าไม่ได้อยู่คนเดียว! ขะ…ข้ากลัวสูญเสียเจ้าไป…”
ไป๋หรูปิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ท่านเป็นอะไรไป? ตั้งแต่ออกจากเมืองเหตุใดถึงได้หดหู่เช่นนี้…เมื่อก่อนท่านไม่เคยเป็นเช่นนี้ …ยามนั้นท่านมักจะไม่ชอบพูด ข้าอยากกวนท่านให้พูดมากขึ้น แต่ท่านกลับแสดงท่าทางเหมือนไม่สนใจข้าเสมอ!”
…
หลินซือเดินออกมาข้างนอกและกล่าวอย่างกลุ้มใจ “พี่ไป๋จะไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่? เหตุใดนางถึงได้ล้มป่วยเช่นนี้? ข้าคิดว่านางจะดื่มกินและสนุกสนานทุกวันเหมือนกับข้า ไม่มีเรื่องอะไรต้องกลุ้มใจ… ทว่าดูจากตอนนี้ ข้าคงไร้เดียงสาเกินไป”
เจี่ยงเถิงโอบไหล่ของหลินซือแล้วปลอบใจ “วางใจเถอะ นางไม่เป็นอะไรหรอก มีหลินจื้ออยู่ทั้งคน ว่าแต่เจ้าเถอะ ข้าก็หวังให้เจ้าไม่มีเรื่องกลุ้มใจไปตลอดเช่นกัน”
ระหว่างที่กำลังหยอกเย้า ทั้งสองคนเดินมายังสถานที่กินอาหาร เหยาเอ้อหลางและองค์รัชทายาทต่างรอคอยจนแทบจะทนไม่ไหว มีแค่ลู่เหยาและซวีจ้าวที่นั่งอยู่ข้างโต๊ะโดยไม่ส่งเสียงโวยวายแต่อย่างใด
ในที่สุดก็เห็นหลินซือและเจี่ยงเถิงเดินเข้ามา เหยาเอ้อหลางจึงอดหยอกเย้าไม่ได้ “พวกเจ้าสองคนมาเสียที! เราทุกคนรอจนหิวจะตายอยู่แล้ว! รีบ ๆ มานั่งเร็วเข้า จะได้กินกันเสียที!”
องค์รัชทายาทรีบวิ่งมาที่โต๊ะ หยุดลงข้างกายของหลินซือ แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงน่าสงสาร “เหตุใดพี่อาซือถึงมาช้าเพียงนี้ ทุกคนต่างหิวจนท้องร้องโครกครากแล้ว…พี่อาซือมานั่งตรงนี้ นั่งข้างข้าตรงนี้!”
พูดพลางลากตัวหลินซือมานั่งลงตำแหน่งข้างกายตัวเอง
หลินซือมองเจี่ยงเถิงด้วยความลำบากใจแวบหนึ่ง แต่ก็ปฏิเสธคำร้องขอของเด็กน้อยไม่ได้ ทำได้แค่นั่งลงข้างกายองค์รัชทายาท
เจี่ยงเถิงมองภาพนี้ ความโกรธได้ปะทุออกมา แต่คงจะระบายออกมาไม่ได้ ทำได้แค่นั่งลงข้างเหยาเอ้อหลาง
ดูเหมือนองค์รัชทายาทจะเห็นสีหน้าโกรธเคืองของเจี่ยงเถิง จึงขยิบตาใส่เขาดั่งผู้ชนะ เจี่ยงเถิงยิ่งโกรธจนอยากจะคว่ำถ้วยเลยทีเดียว
แผนการเดิมของเจี่ยงเถิงคือพาหลินซือไปเที่ยวเล่นข้างนอก ถือโอกาสนี้สารภาพความรู้สึกในใจของตัวเอง ให้เด็กคนนี้รีบเปิดใจ และจัดการเรื่องของเราสองคนให้เรียบร้อย
ใครจะไปรู้เล่าว่าองค์รัชทายาทผู้นี้จะตามติดแจเหมือนเงาตามตัว! ทำลายแผนการของตัวเองหมดสิ้น…ไม่ว่าจะเดินไปทางไหนก็มักมีเด็กเดินตามก้นเสมอ ไม่มีโอกาสเหมาะเจาะเลยสักครั้ง!
เจี่ยงเถิงยิ่งคิดก็ยิ่งโกรธ ถลึงตาใส่ตัวการหายนะอย่างเหี้ยมโหดแวบหนึ่ง ใครจะไปรู้เล่าว่าองค์รัชทายาทจะไม่สนใจเขา เลือกเนื้อปลาปราศจากก้างให้แก่หลินซืออย่างเพลิดเพลินใจ!
นี่คือเรื่องที่ตัวเองยังไม่เคยทำมาก่อน! อีกฝ่ายมีสิทธิ์อะไร?
ปลาที่อาซือกินล้วนแต่เป็นน้ำแกงที่ตนทำอย่างพิถีพิถัน ปลาก็ดึงก้างออกให้ ทว่าตอนนี้องค์รัชทายาทกำลังดึงก้างปลาออกให้หลินซือ!
เจี่ยงเถิงกำลังจะระเบิดออกมา โชคดีที่เหยาเอ้อหลางผู้ความรู้สึกไวห้ามปรามเขาไว้ กระทั่งได้ยินเขาพูดเสียงเบาว่า “ขืนเจ้าระเบิดตอนนี้ คนเสียเปรียบก็มีแต่เจ้า องค์รัชทายาท เจ้าหมอนั้นนั่งเพลิดเพลินกับชัยชนะที่ได้มาอย่างง่ายดาย หลินซือจะคิดว่าเจ้าไร้เหตุผล ถึงตอนนั้นมันจะได้ไม่คุ้มเสียเอานะ?”
เจี่ยงเถิงสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ รู้ว่าสิ่งที่เข้าพูดนั้นมีเหตุผล จึงข่มความหึงหวงไว้ในใจ แล้วกินอาหารต่อไป
เหยาเอ้อหลางเพิ่งเคยเห็นเขาเป็นเช่นนี้ครั้งแรก จึงตั้งใจพูดเสียงดังว่า “เอ๊ะ? พวกเจ้าไม่ได้กลิ่นเปรี้ยว ๆ บ้างหรือ เหมือนกับ…หึง…อ๊าก!”
คำพูดของเขายังไม่ทันจบก็ถูกเจี่ยงเถิงเตะขาเสียก่อน จึงจำใจต้องปิดปากอย่างรู้งาน ก้มหน้ากินอาหารต่อไป
ซวีจ้าวกวาดตามองเหยาเอ้อหลางแวบหนึ่ง พลางคิดในใจ ‘คนผู้นี้กวนประสาทยิ่งนัก เหตุใดถึงมีชายมากเรื่องเช่นนี้ด้วย’