บทที่ 541 ไป๋หรูปิงไม่สบาย

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม

บทที่ 541 ไป๋หรูปิงไม่สบาย

บทที่ 541 ไป๋หรูปิงไม่สบาย

เจี่ยงเถิงมองเข้าไปในดวงตาของหลินซือ พริบตาเดียวก็ต้องยอมแพ้ ก่อนจะพูดเกลี้ยกล่อมเสียงเบา “อาซือข้าขอโทษ! เป็นข้าเองที่ใจแคบเกินไป ไม่ควรมาระบายอารมณ์ใส่เจ้า…ขนมชิ้นนี้ ข้าไม่ทันระวังจริง ๆ! ข้าจะทิ้งของที่เจ้าทำเองกับมือได้อย่างไรกันเล่า!”

ขณะพูด เขาก็หยิบขนมที่หล่นอยู่บนพื้นขึ้นมากิน

หลินซือเห็นเช่นนี้ก็รีบยื่นมือไปคว้ามือของเขาไว้ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงขบขันไปร้องไห้ไป “ท่านโง่หรือไร? ของตกพื้นแล้วเหตุใดถึงยังเก็บขึ้นมากิน…ตรงนี้ยังมีอีกตั้งหนึ่งจานใหญ่ ท่านค่อย ๆ กินก็ได้!”

ครั้นเห็นหลินซือไม่โกรธแล้ว เจี่ยงเถิงก็ถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก “อาซือ ขอโทษนะ ต่อไปข้าจะไม่ระบายอารมณ์ใส่เจ้าเช่นนี้อีกแล้ว เรื่องขององค์รัชทายาท…เจ้าก็ต้องระวังตัวไว้ด้วย พระองค์ทรงมีแผนการล้ำลึก ไม่รู้ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นอีกบ้าง”

หลินซือพยักหน้า แล้วตอบรับ “พี่อาเถิงวางใจเถอะ ข้าจะอยู่ข้างกายท่านตลอดเวลา ถ้าองค์รัชทายาททรงคิดจะทำอะไรก็คงจะไม่มีโอกาส! อีกอย่างมีพี่อยู่ทั้งคนไม่ใช่หรือ ข้าไม่กลัวหรอก!”

ครั้นได้ยินหลินซือพูดเช่นนี้ เจี่ยงเถิงก็รู้สึกดีขึ้นในใจ ว่าแต่เด็กคนนี้ มีความคิดความอ่านเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่? กระทั่งเข้าใจความคิดของตน?

ก่อนหน้านั้นเขาไม่ร้อนใจ เพราะเขามั่นใจในความรู้สึกของตัวเอง และมั่นใจในวิธีการของหลินซือ

พวกเขาเติบโตด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก เขารู้สึกหวั่นไหวกับหลินซือตั้งแต่ตอนที่เขายังไม่เข้าใจว่าชอบคืออะไร

เขาคอยอยู่เคียงข้างและปกป้องนางอย่างเงียบ ๆ มาเนิ่นนานหลายปี ทั้งหมดล้วนเป็นไปอย่างยินยอมพร้อมใจ

ขอเพียงเห็นหลินซือยิ้มได้ เขาก็รู้สึกว่าทุกอย่างที่ตัวเองทำมาตลอดนั้นคุ้มค่าแล้ว

เดิมทีเขาอยากรอให้ตัวเองรับราชการได้สำเร็จเสียก่อน จากนั้นก็ไปสู่ขอจวนแม่ทัพอย่างสง่าผ่าเผย แต่หนทางนี้ยากลำบากและช้ากว่าที่เขาคิดไว้

และสิ่งที่ยากเกินกว่าที่เขาคิดไว้คือ องค์รัชทายาทก็ทรงสนใจอาซือเช่นกัน!

เรื่องที่ตัวเองมั่นใจก่อนหน้านั้น เหมือนจะเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา

ส่วนอาซือก็เหมือนจะถูกแย่งชิงไปจากตนได้ตลอดเวลาเช่นกัน…

ทุกครั้งที่นึกถึงเรื่องเหล่านี้ หัวใจของเจี่ยงเถิงจะรู้สึกเจ็บปวดเสมอ

เขาไม่กล้าจินตนาการว่าหากสูญเสียหลินซือไป ตัวเขาจะเป็นเช่นไร? นั่นย่อมหมายความว่าเขาได้สูญเสียแสงสว่างเพียงดวงเดียวในชีวิตไปแล้ว

นอกรถม้า

เหยาเอ้อหลางขี่ม้าด้วยอารมณ์เบื่อหน่าย ครั้นเห็นซวีจ้าวไม่พูดไม่จาอยู่เบื้องหน้า จึงควบม้าตรงไปข้างหน้าพลางกล่าวว่า “สหายผู้แปลกหน้า ข้าไม่เคยเห็นเจ้ามาก่อน ขอถามหน่อย สหายข้ามีนามว่าอย่างไร?”

ซวีจ้าวชำเลืองมองเขาแวบหนึ่ง จากนั้นก็หันหน้ากลับไปตั้งใจขี่ม้าต่อ

ไฉนเลยเหยาเอ้อหลางจะเคยโดนเมินเช่นนี้ ต้องรู้ก่อนแม้ว่าเขาจะมีความสามารถโดดเด่น สง่าผาเผย หล่อเหลาเอาการ เดินไปทางไหนก็เป็นที่รักของทุกคน แต่คนผู้นี้กลับมองข้ามเขา!

“เจ้า! เฮ้! ข้าพูดกับเจ้าอยู่นะ! ข้าไม่เคยเจอเจ้า เจ้าเป็นใคร?”

เหยาเอ้อหลางถามต่อ

ซวีจ้าวขมวดคิ้วเล็กน้อยเหมือนกับไม่พอใจ แล้วเอ่ยขึ้นสองพยางค์ด้วยน้ำเสียงอู้อี้ “ซวีจ้าว”

ซวีจ้าว? เหยาเอ้อหลางรู้สึกคุ้นเคยกับชื่อนี้ อ่า! นึกออกแล้ว ตอนเด็ก ๆ ตัวเองเคยไปเล่นเรือนของท่านอา ได้ยินท่านอาเขยเคยเอ่ยถึงเขา

ท่านลุงบอกว่าเขามีพรสวรรค์ เฉลียวฉลาด เป็นอัจฉริยะด้านวรยุทธ์

ตอนนั้นตัวเองนึกอยากเรียนรู้แลกเปลี่ยนกับเขา ต่อมาเมื่อโตขึ้นก็ลืมเรื่องนี้ไปจากสมอง

“ที่แท้ก็เจ้านี่เอง! ข้ารู้จักเจ้า พ่อของเจ้าเคยยกทัพจับศึกกับท่านอาเขย ได้รับความดีความชอบ ชื่อเสียงเลื่องลือกลับมา…”

เหยาเอ้อหลางพล่ามไม่หยุดอยู่พักใหญ่ กระทั่งอยากให้ซวีจ้าวตอบสนองบางอย่าง

ใครจะรู้เล่าว่าซวีจ้าวจะไม่แม้แต่ปรายตามองเขา ตอบเพียง ‘อื้อ’ เบา ๆ แล้วไม่พูดสิ่งใดอีก

เหยาเอ้อหลางรู้สึกโกรธเคืองอย่างมากในใจ ตั้งแต่เด็กจนโตยังไม่เคยมีใครดูถูกตนเช่นนี้มาก่อน!

จึงมองดูชายตรงหน้าผู้นี้ ใบหน้าที่เห็นโครงหน้าชัดเจน ดวงตาที่แฝงไปด้วยความกล้าหาญและความห่างเหิน ริมฝีปากบางเฉียบ ขับให้เส้นผมที่ยาวสลวยนั้นดูมีชีวิตชีวามากขึ้น

บ้าจริง! ดูเหมือนเขา….จะหน้าตาดีกว่าตนเอง!

เหยาเอ้อหลางมองซวีจ้าวอย่างเหม่อลอย เนิ่นนานกว่าจะได้สติกลับมา

เขาตบศีรษะของตัวเอง ‘ทำไมตัวเองถึงได้รู้สึกว่าผู้ชายตรงหน้าหล่อเหลาเช่นนี้! จะต้องเป็นเพราะนอนน้อยในสองวันนี้แน่เลยทำให้สติเลอะเลือน! วันนี้จะต้องพักผ่อนให้มากเสียแล้ว!’

องค์รัชทายาทที่อยู่ในรถม้ายังคงเงียบไปตลอดทาง ลู่เหยามองดูขนมที่วางอยู่บนโต๊ะแล้วน้ำลายสอ แต่ครั้นเห็นองค์รัชทายาทไม่กิน ตัวเองจึงไม่กล้ากินก่อน ทำได้แค่มองดูขนมนั้นอย่างเหม่อลอย

จ๊อก จ๊อก ~

ท้องของลู่เหยาส่งเสียงร้องประท้วงถึงสองครั้ง ใบหน้าที่ดูลำบากใจของเด็กสาวแดงระเรื่อ จากนั้นก็เสมองไปยังองค์รัชทายาทอย่างระมัดระวัง

องค์รัชทายาทย่อมได้ยินเป็นธรรมดา จึงเบิกตาโพลงมองลู่เหยา “บนโต๊ะมีขนม เจ้ากินเถอะ ข้าไม่ค่อยหิวเท่าไร เจ้า…ไม่ได้กินข้าวก่อนออกเดินทางหรือ?”

ลู่เหยาได้ยินองค์รัชทายาทพูดเช่นนี้ ก็รีบหยิบขนมขึ้นมากินทันที จากนั้นก็เอ่ยว่า “ข้ากลัวว่าจะมาสาย จึงไม่กินมื้อเที่ยงเจ้าค่ะ อีกอย่างข้าคิดว่าไม่นานก็ถึง…”

องค์รัชทายาทมองสาวน้อยตรงหน้า แล้วครุ่นคิดอย่างคาดไม่ถึง ‘ใต้หล้านี้ยังมีคนโง่เขลาเช่นนี้อีกหรือ? ไม่อยากจะเชื่อเลย….’

องค์รัชทายาทจ้องเขม็งไปทางลู่เหยาเนิ่นนาน จากนั้นก็ส่ายหน้าพลางถอนใจ ‘แม่นางผู้นี้ ต่อไปไม่รู้ว่าจะน่าเวทนาเพียงใด จวนลู่ก็ใช่ว่าจะร่ำรวยอะไร ที่บ้านประกอบกิจการเล็ก ๆ ดูจากสมองแค่นี้ของนางแล้ว เกรงว่าคงดูแลกิจการต่อไปไม่ได้’

ราวกับสัมผัสได้ถึงสายตาขององค์รัชทายาท ลู่เหยาจึงวางขนมที่ถืออยู่ในมือ แล้วเงยหน้าขึ้น พลันสบสายตากับองค์รัชทายาทพอดี

องค์รัชทายาทส่งเสียงกระแอมไอด้วยความลำบากใจ แล้วเสมองไปทางอื่น

ลู่เหยาเผยสีหน้าสงสัย แต่ไม่ได้คิดมากเพียงนั้น หยิบขนมขึ้นมากินต่อ

ใช้เวลาเดินทางประมาณสองสามชั่วยาม ในที่สุดก็มาถึงชนบทแห่งหนึ่ง

เจี่ยงเถิงประคองหลินซือลงจากรถม้า ทันทีที่ลงมาก็รีบหยิบเสื้อกันลมที่ค่อนข้างหนาขึ้นมาคลุมไหล่ให้เด็กสาว “ที่นี่ลมแรง ระวังหนาวด้วย”

หลินซือกระชับเสื้อกันลมบนตัว จากนั้นก็หันไปคลี่ยิ้มจนตาโค้งเป็นพระจันทร์ครึ่งเสี้ยว “ขอบคุณพี่อาเถิงเจ้าค่ะ! พี่อาเถิงช่างแสนดีกับข้ายิ่งนัก! ว่าแต่พี่อาเถิงทำไมชนบทแห่งนี้ถึงไม่มีใครเลยเล่า?”

เจี่ยงเถิงพาหลินซือเดินตรงไปข้างหน้า แล้วกล่าวว่า “อีกประเดี๋ยวพวกชาวบ้านในชนบทจะเลิกงาน ที่นี่ค่อนข้างหนาว ตกดึกก็พากันก่อไฟชุมนุม ถึงตอนนั้นเจ้าคงรู้เองว่าคึกคักเพียงใด”

องค์รัชทายาทที่อยู่ข้างกายเห็นทั้งสองคนพูดคุยหัวเราะอย่างสนุกสนาน จึงเกิดความไม่พอใจ ตั้งใจเดินรุดหน้าพลางเอ่ยว่า “พี่อาซือ! ชุมนุมคืออะไร? ข้าอยากเล่นด้วย พี่พาข้าไปด้วยได้หรือไม่…”

ครั้นหลินซือเห็นองค์รัชทายาทใช้สายตาอยากรู้มองตนด้วยความคาดหวัง จึงอดปฏิเสธไม่ได้ ได้แต่กล่าวกลั้วหัวเราะ “พี่พาฝ่า….คุณชายไปด้วยแน่นอน เราทุกคนจะได้เล่นด้วยกัน!”

ขณะพูดก็กวักมือเรียกลู่เหยา

ลู่เหยาเดินตามมาด้วยท่าทีหวาดกลัว ครั้นเห็นหลินซือใจดีเช่นนี้ก็วางใจลงมาก จากนั้นก็คลี่ยิ้มกว้าง

ไป๋หรูปิงลงจากรถม้าด้วยการประคองของหลินจื้อ สีหน้าของนางซีดเซียวยิ่งนัก

หลินซือเห็นดังนั้นก็รีบวิ่งเข้าไปประคองนางทันที “พี่ไป๋เป็นอะไร? เหตุใดสีหน้าถึงดูไม่ดีเอาเสียเลย?”

ไป๋หรูปิงกำลังจะอ้าปาก แต่หลินจื้อชิงพูดเสียก่อน “รถม้าสั่นสะเทือนโคลงเคลง นางก็เลยวิงเวียนศีรษะ ในรถไม่ค่อยมีอากาศถ่ายเทจึงมีอาการอยากอาเจียน ข้าประคองนางเข้าไปพักผ่อนสักครู่ก็คงดีขึ้น แต่กิจกรรมในคืนนี้เราคงไม่เข้าร่วม ข้าจะอยู่เป็นเพื่อนนางเสียหน่อย”

หลินซือพยักหน้าแล้วกล่าวอย่างเป็นกังวล “เรือนในชนบทแห่งนี้ต่างถูกเก็บกวาดไว้เรียบร้อยแล้ว ท่านพี่รีบพาพี่ไป๋เข้าไปพักผ่อนเถิด ข้าจะไปหาหมอมาตรวจอาการพี่ไป๋”

หลินจื้อส่งสัญญาณให้นางรีบไป ส่วนตัวเองก็อุ้มไป๋หรูปิงขึ้นมาและเดินเข้าไปข้างใน