บทที่ 552 ข่าวดีและข่าวร้าย

ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี

บทที่ 552 ข่าวดีและข่าวร้าย

บทที่ 552 ข่าวดีและข่าวร้าย

เรือเหาะออกจากโลกวัตถุกลับสู่ความว่างเปล่า ก่อนจะมุ่งสู่สายธารแห่งความว่างเปล่าช้า ๆ

จื้อเซียนหันมองกลับไปด้วยความหวาดกลัว ก่อนจะถามว่า

“เมื่อครู่มันเกิดอะไรขึ้น? ทำไมจู่ ๆ แมลงเหล่านั้นถึงได้ขี้ขลาดขึ้นมา?”

“เจ้าถามข้าแล้วข้าจะถามใคร …เจ้ามีหัวไม่ใช่หรือ?”

หลีจิ่นเหยากางแขนแล้วถามกลับ

“หัดคิดเองบ้าง”

จื้อเซียนเริ่มทำสมาธิ

“หึ ไม่จำเป็นต้องคิดเลย!”

ไป๋ชิวหรานยืนเอามือไพล่หลังอยู่ด้านข้าง กล่าวอย่างภาคภูมิใจว่า

“ข้าปลุกกลิ่นอายอันน่าพรั่นพรึงของตัวเองออกมาได้ ก็เลยทำให้แมลงเหล่านั้นหวาดกลัว!”

จื้อเซียนชำเลืองมองเขา จากนั้นทำสมาธิต่อ

“บัดซบ! ท่าทีนั่นเจ้าหมายความว่ายังไงกัน?”

ไป๋ชิวหรานเต้นผาง ๆ

“นี่ตามืดบอดกันจนถึงขั้นไม่รับรู้กันแล้วหรือ? ข้าพาเจ้าออกจากอันตรายเมื่อครู่ ยังไม่กล่าวคำว่า ‘ขอบคุณพี่ไป๋ชิวหราน’ อีก เชื่อหรือเปล่าว่าข้าทำให้เจ้าหัวหลุดจากบ่าได้ด้วยหมัดเดียว…”

“ขอบคุณพี่ไป๋ชิวหราน”

เจียงหลานกล่าวจากด้านข้าง จากนั้นยื่นมือออกไปบีบหน้าไป๋ชิวหรานเบา ๆ แล้วกล่าวว่า

“กลับเข้าเรื่องเถอะ”

“เข้าใจแล้ว”

ไป๋ชิวหรานยับยั้งสีหน้าเกินจริงของตัวเอง แล้วกล่าวอย่างจริงจังว่า

“ที่จริงข้าเองก็ไม่รู้ว่าทำไมแมลงเหล่านี้ถึงหนีทันทีที่ปลดปล่อยกลิ่นอายและสัมผัสเทวะออกไป แต่ข้าเดาว่า …ถ้าไม่ใช่ว่าพวกมันมีความสามารถพิเศษบางอย่างจนสามารถรับรู้ถึงภัยคุกคามจากพลังงานวิญญาณบริสุทธิ์ของสัมผัสเทวะ ก็คงเป็นเพราะพวกมันกลัวกลิ่นอายที่แผ่ออกมาจากตัวข้านั่นแหละ”

“นี่นับเป็นเรื่องที่ดี”

จื้อเซียนกล่าวว่า

“นี่หมายความว่าพวกเราพบจุดอ่อนของแมลงเหล่านั้นแล้ว! ขอเพียงกลับไปทำการวิเคราะห์ในภายหลังสักเล็กน้อย ด้วยพละกำลังของแดนเซียนในตอนนี้ ไม่ใช่เรื่องยากที่จะขัดขืนพวกมัน”

“ไม่ มันเป็นเรื่องดีก็จริง แต่ก็เป็นเรื่องไม่ดีเช่นกัน”

ไป๋ชิวหรานชำเลืองมองจื้อเซียน ชายผู้นี้มีจิตวิญญาณนักทดลอง จึงไม่ค่อยอ่อนไหวต่อสถานที่แบบนี้

“ทำไมหรือ?”

จื้อเซียนถาม

“เพราะถ้าเป็นพลังวิญญาณบริสุทธิ์ที่แมลงหรือสิ่งมีชีวิตที่มีความตระหนักรู้หวาดกลัว เช่นนั้นในดินแดนแห่งความตระหนักรู้ คนร้ายที่ทำลายอารยธรรมที่สร้างกำแพงแห่งความตระหนักรู้… ก็ไม่ใช่แมลง”

หลีจิ่นเหยาอธิบาย

“สิ่งมีชีวิตอย่างอาจารย์อสูรสามารถเกิดขึ้นในซากปรักหักพังที่หลงเหลือจากอารายธรรมนั่น เจ้าคิดว่าอารยธรรมในยุครุ่งเรืองนั่นจะหวาดกลัวแมลงแห่งความว่างเปล่าที่ถูกท่านพิชิตงั้นหรือ?”

“ใช่แล้ว นั่นก็เหตุผลหนึ่ง นี่หมายความว่าขณะที่พวกเราเผชิญหน้ากับเผ่าแมลงก็ยังต้องคอยระแวดระวังภัยคุกคามขนาดใหญ่อีกกลุ่มที่อาจจะคงอยู่ในความว่างเปล่าด้วย”

ไป๋ชิวหรานชำเลืองมองจื้อเซียน

“เช่นนั้นก็เหลือแค่กรณีที่แมลงหวาดกลัวสัมผัสเทวะสินะ”

จื้อเซียนครุ่นคิดสักพักก่อนถามอีกครั้งว่า

“ถ้าแมลงล่าถอยออกไปเพราะกลัวกลิ่นอายของท่านล่ะ? อาจจะเพราะรากฐานการฝึกฝนของท่านแข็งแกร่งเกินไป กลิ่นอายแก่กล้า จึงไปกระตุ้นความกลัวตามสัญชาตญาณก็เป็นได้”

“ถ้างเช่นนั้นก็วิเศษไปเลย ทว่าในกรณีนี้ ข้าคิดว่ามันเป็นไปได้น้อยที่สุด”

ไป๋ชิวหรานอธิบาย

“ในตอนนั้นเจียงหลานยืนอยู่บนชั้นดาดฟ้าเรือ นางเองก็ปล่อยกลิ่นอายออกมาเช่นกัน สำหรับแมลงเหล่านั้น กลิ่นอายขั้นหวนคืนและขั้นรากฐานเสมือน ข้าคิดว่าไม่ได้แตกต่างกันเท่าไหร่ แต่พวกมันไม่ถอยแม้แต่นิดเดียวตอนสัมผัสกลิ่นอายของเจียงหลานได้… เห็นได้ชัดว่าถ้าเป็นการต่อสู้จริง เจียงหลานสามารถทำลายพวกมันทั้งหมดได้อย่างง่ายดาย”

“…นั่นมันก็เหตุผลเดียวกัน”

จื้อเซียนครุ่นคิดสักพักและถามว่า

“ถ้างั้น ทำไมแมลงเหล่านั้นถึงหวาดกลัวท่านเพียงคนเดียวล่ะ? ท่านตัวเหม็นอย่างนั้นหรือ?”

ไป๋ชิวหรานเตะจื้อเซียนจนกระเด็นไปติดกำแพง! จากนั้นจึงตอบว่า

“ปัญหานี้ ข้าเองก็ไม่มั่นใจเหมือนกัน แต่ข้าคิดว่าวิถีสวรรค์น่าจะรู้… ยังไงเสียข้าก็เป็นสวรรค์ริษยา ถูกสร้างด้วยน้ำมือของเขา ถ้าเจ้าอยากรู้ก็ลองกลับไปถามดู”

“ใช่แล้ว! ถ้าข้ากลับไปจะต้องรู้อย่างแน่นอน ตอนนี้เจิ้นเทียนน่าจะกำลังช่วยนครสรวงสวรรค์ในการสร้างการป้องกันอยู่”

เจียงหลานพยักหน้าเช่นกันแล้วกล่าวว่า

“แถมพวกเราจับตัวตนแมลงพิเศษได้ เจ้าสามารถเอามันกลับไปเพื่อทำการค้นคว้าให้มหาเทพหุ่นกลได้”

“เดี๋ยวนะ! สร้างแนวป้องกัน… แดนเซียนและมหาเทพหุ่นกลส่งกองกำลังออกไปแล้วหรือ?”

ไป๋ชิวหรานพลันตื่นตัวขึ้นมา

“แน่นอนว่าส่งออกไปแล้ว…”

ผู้เป็นภรรยายังไม่เข้าใจความคิดของไป๋ชิวหราน ทำได้เพียงพยักหน้าแล้วตอบออกไป

“เหล่าเซียน กองทัพหุ่นกล กองเรือเหาะ แม้กระทั่งกองทัพอาจารย์อสูรก็ถูกส่งออกไปเป็นกลุ่ม ไม่อย่างนั้นอาศัยเพียงนครสรวงสวรรค์จะสามารถขัดขวางแมลงเหล่านั้นได้อย่างไร? จะอาศัยเพียงความรักงั้นหรือ?”

“แบบนั้นไม่ดีเลย…”

ไป๋ชิวหรานก้าวมาข้างหน้าและกล่าวอย่างหนักแน่นว่า

“ข้ายอมตายดีกว่า จะได้ไปขอให้เจิ้นเทียนใช้อาจารย์อสูรแทนกองทัพทั้งหมดที่สนับสนุนนครสรวงสวรรค์”

“ทำไมหรือ?”

เจียงหลานถามด้วยความสงสัย

“กองทัพอาจารย์อสูรต้องการการสนับสนุนใช่ไหมล่ะ?”

“ข้าไม่เข้าใจเลย เพื่อต่อสู้กับสิ่งมีชีวิตอันตรายเหล่านี้ แม้แต่เซียนก็ตกอยู่ในความเสี่ยงที่จะพินาศ ส่วนกองทัพหุ่นกลที่ได้รับความเสียหายจะถูกแมลงกลืนกิน โดยไม่สามารถเอาวัสดุเหล่านั้นกลับไปได้เหมือนกัน นี่คือความสูญเปล่าอย่างร้ายแรง”

ไป๋ชิวหรานเผยสีหน้าเคร่งขรึมออกมา

“แต่ถ้าจะส่งแต่อาจารย์อสูรออกไปก็ไม่เป็นไรหรอก เพียงแค่ถ่ายทอดคำพูดให้อาจารย์อสูรว่า ต่อให้จู่ ๆ แมลงจะปลุกความสามารถทางการฝึกตนขึ้นมาจนทำให้กองทัพอาจารย์อสูรสูญเสียอย่างใหญ่หลวงได้ แต่ขอเพียงร่างหลักแห่งความตระหนักรู้ยังคงอยู่ เช่นนั้นอาจารย์อสูรก็สามารถเกิดขึ้นได้ใหม่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า!”

“แต่ถ้าแมลงถึงขั้นปลุกความสามารถทางจิตจนไม่หวาดกลัวต่ออาจารย์อสูรขึ้นมาล่ะ?”

เจียงหลานครุ่นคิดสักพักก่อนเอ่ยถามออกไป

“เช่นนั้นพวกเราจะหาทางออกเอง”

ไป๋ชิวหรานไม่ลังเล

“ต้องมีเส้นทางก่อน ม้าถึงจะสามารถขึ้นเขาได้ ต้องไปถึงสะพานโค้งเรือก่อน เรือจะแล่นตรงกลางแม่น้ำได้!”

เจียงหลานเปิดปากอยากพูดอะไรบางอย่าง แต่หลีจิ่นเหยาพลันคว้ามือของนางเอาไว้ ก่อนจะโน้มตัวเข้ามากระซิบข้างหู

จากนั้นเมื่อหลีจิ่นเหยายืดตัวตรงขึ้น สีหน้าของเจียงหลานพลันเกิดการรู้แจ้ง

“ได้ ๆๆ”

นางมองไป๋ชิวหรานสักพัก ทันใดนั้นก็เผยรอยยิ้มอย่างมีเลศนัยแล้วกล่าวว่า

“ข้าจะไปร่วมเป็นร่วมตายกับเจ้าเช่นกัน!”

หลังจากผ่านไปมากกว่าหนึ่งเดือน เรือเหาะกลับสู่แดนเซียนของนครสรวงสวรรค์ ไป๋ชิวหรานคัดลอกบันทึกข้อมูลของแมลงให้เจ้าหน้าที่สูงสุดให้กลุ่มของนครสรวงสวรรค์ จากนั้นเรือเหาะได้ผ่านกำแพงแห่งความตระหนักรู้จึงเดินทางต่อไปยังสถานที่ที่เล่อเจิ้นเทียนอยู่ …ก่อนจะพบกับจักรพรรดิเซียน

ตอนนี้เล่อเจิ้นเทียนอยู่ในดินแดนแห่งความตระหนักรู้ และคอยดูแลการต่อสู้ในศูนย์บัญชาการของป้อมปราการแนวหน้าในแดนเซียน เมื่อได้ยินว่าพวกไป๋ชิวหรานกลับมา พร้อมกับข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับแมลง เขาจึงรีบมาทักทาย ผู้ที่มากับเขานั้นนอกจากจะเป็นผู้บังคับบัญชาของกองทัพเซียนในศูนย์บัญชาการแล้ว ยังมีหุ่นกลผู้สังเกตการณ์ ของมหาเทพหุ่นกลตนใหม่ กับร่างจำแลงอาจารย์อสูรของวิถีสวรรค์ด้วย

ไป๋ชิวหรานแสดงบันทึกของแมลงเหล่านี้ให้พวกเขาดู หลังจากดูแล้ว สีหน้าของทุกคนเคร่งขรึมยิ่งนัก

“มีการปรับตัวและความเร็วในวิวัฒนาการที่น่าสะพรึงกลัวนัก”

เล่อเจิ้นเทียนครุ่นคิดแล้วกล่าวออกมา

“ข้าสงสัยอย่างหนึ่ง ถ้าเซียนระดับสูงตกลงไปในท้องของแมลง แมลงเหล่านี้จะวิวัฒนาการเป็นกองทัพที่แต่ละตัวสามารถรับมือกับเซียนระดับสูงได้ในระยะเวลาอันสั้นหรือไม่?”

“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงไป”

มหาเทพหุ่นกลตนใหม่คลายความสงสัยให้

“ข้าจะค้นคว้าตัวที่พวกเราใช้เพื่อการทดลองในภายหลัง มันน่าจะเป็นตัวตนพิเศษในเผ่าแมลง หรือไม่ก็… ตัวอ่อนของพวกมัน ยังมีสายพันธุ์อื่นที่รุ่นก่อนได้เก็บเอาไว้ จากนั้นก็ทำการแยกพันธุกรรมของสายพันธุ์เหล่านี้มา คัดลอกให้แมลงบางตัว และทำการทดลองแบบเดียวกับพวกมัน แต่ผลการทดลองแสดงให้เห็นว่า… ไม่มีตัวไหนที่มีความสามารถในการปรับตัวและมีความเร็วในการวิวัฒนาการที่น่าสะพรึงเท่าแมลงพิเศษ”

“งั้นก็ดี”

เล่อเจิ้นเทียนถอนหายใจด้วยความโล่งอก

“แต่อย่าได้ประมาทไป แม้ว่าพวกมันจะไม่ได้ร้ายกาจขนาดนั้น แต่ความเร็วในการวิวัฒนาการและการปรับตัวของพวกมันนั้นน่าสะพรึงเช่นกัน”

มหาเทพหุ่นกลตนใหม่เสริมว่า

“ผลจากการวิวัฒนาการของแมลงเหล่านี้ ทำให้พวกมันรวมเป็นกลุ่ม แต่ถึงอย่างไร พวกมันก็แพร่กระจายการวิวัฒนาการนี้ได้อย่างรวดเร็วผ่านประชากรที่พวกมันสามารถติดต่อได้ จนทำให้ความรู้สึกเหมือนกับโรคระบาดร้ายแรงที่แพร่กระจายออกไป”