บทที่ 553 ดีแต่พูดไปเรื่อย

ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี

บทที่ 553 ดีแต่พูดไปเรื่อย

บทที่ 553 ดีแต่พูดไปเรื่อย

เมื่อได้ยินคำพูดของมหาเทพหุ่นกลตนใหม่ ใบหน้าของเล่อเจิ้นเทียนก็ถึงกับจริงจังอีกครั้ง

“หากมีอะไรเกิดขึ้นในอนาคต จงรีบจัดการให้มันจบโดยไว”

เขายังคงรักษาสีหน้าดังกล่าวเอาไว้ ขณะกล่าวกับมหาเทพหุ่นกลตนใหม่

“อย่าปล่อยให้อารมณ์ขึ้น ๆ ลง ๆ เช่นนี้ มันชวนให้อึดอัดนัก”

“โอ้”

“ไม่ใช่เรื่องที่ต้องกังวลไปหรอก จากการค้นพบของพวกเรา แมลงเหล่านี้มีการป้องกันแบบที่แมลงพิเศษแทบจะไม่มี”

ไป๋ชิวหรานเห็นโอกาสในการขัดจังหวะ จึงกล่าวอย่างมีเหตุผลทันที

“เล่อเจิ้นเทียน เรียกเซียนจากแนวหน้ากลับมา ให้พวกเขาปลดปล่อยอาจารย์อสูรไปแทน มหาเทพหุ่นกลก็ด้วย เรียกหุ่นกลกลับมาให้หมด”

“ทำไมหรือ?”

ทั้งเล่อเจิ้นเทียนและมหาเทพหุ่นกลสับสน

“แค่เรียกกลับมาก็พอ”

เจียงหลานถอนหายใจ

“ไว้หน้ากันบ้าง ให้เขาพยายามอีกสักหน่อย มันก็ไม่เสียหายอะไร”

“ก็ได้…”

เล่อเจิ้นเทียนและมหาเทพหุ่นกลมองไป๋ชิวหราน จากนั้นก็กล่าวว่า

“เช่นนั้นข้าและมหาเทพหุ่นกลจะเรียกเซียนและหุ่นกลกลกลับมาพร้อมกัน เพื่อสร้างแนวป้องกันที่สองอยู่ด้านหลังแนวป้องกันของนครสรวงสวรรค์ เอาไว้เป็นหลักประกัน”

“แบบนั้นแหละดี”

ไป๋ชิวหรานพยักหน้าอย่างพึงพอใจและถอนหายใจออกมา

“ตอนที่สั่งให้กองทัพล่าถอย ข้าจะทิ้งค่ายกลขนาดใหญ่บางส่วนให้กองกำลังพันธมิตรนครสรวงสวรรค์ด้วย

เล่อเจิ้นเทียนกล่าวอีกครั้ง

“เผ่าพันธุ์คล้ายมนุษย์ในหมู่พวกเขาบางส่วนถูกมหาเทพหุ่นกลเปลี่ยนสภาพ หลังจากนั้น พวกเขาก็รับการฝึกตนจากแดนเซียนของพวกเรา เรียนรู้วิธีการฝึกฝนเซียน ตอนนี้ชาวนครสรวงสวรรค์จำนวนมากมีปฐมวิญญาณอยู่ในร่างกาย ผู้ที่มีการฝึกฝนสูงสุดได้ไปถึงระดับเซียนแล้ว เมื่อถึงเวลาก็ให้พวกเขาหาทางเติมพลังงาน น่าจะไม่เป็นเรื่องยากในการควบคุมค่ายกลขนาดใหญ่ของพวกเรา”

รอยยิ้มของไป๋ชิวหรานแข็งทื่ออยู่บนใบหน้าและเอ่ยถามว่า

“เดี๋ยวนะ ข้าเหมือนจะได้ยินบางอย่างผิดไป… เมื่อครู่เจิ้นเทียนบอกว่ามีผู้ฝึกตนอยู่ในนครสรวงสวรรค์เหมือนกันงั้นหรือ?”

“ใช่แล้ว”

เล่อเจิ้นเทียนพยักหน้า

ไป๋ชิวหรานคว้าคอเสื้อของเล่อเจิ้นเทียน ก่อนจะเอ่ยถามกับองค์เหนือหัวจักรพรรดิเซียนผู้มีสายตาหวาดกลัวว่า

“ใครขอให้เจ้าสอนพวกเขา?”

“เปล่า! นี่มันเป็นเรื่องปกติของผลลัพธ์ทางการขยายอารยธรรมไม่ใช่หรือ?”

เล่อเจิ้นเทียนอธิบายว่า

“นี่คือธรรมเนียมที่ถูกอาจารย์ที่เคยดำรงตำแหน่งนี้ทิ้งไว้ และมันคงอยู่มาหลายแสนปี ข้าก็แค่ทำตามธรรมเนียมเท่านั้น… อีกอย่าง หากทำเช่นนั้นจะพิชิตใจพวกเขาได้ การให้เผ่าพันธุ์เหล่านี้มีความรู้สึกใกล้ชิดและมีเอกลักษณ์ร่วมกับแดนเซียน มันผิดตรงไหนหรือ?”

“มันไม่มีอะไรดีน่ะสิ!” ไป๋ชิวหรานกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “หากคนเหล่านี้ถูกแมลงกิน จะไม่โดนเผ่าแมลงกลืนพลังเอาหรอกหรือ?!”

เขาตะโกนออกมาสุดเสียง ทำให้คนที่เหลือแข็งทื่ออยู่กับที่

ผ่านไปชั่วครู่ มหาเทพหุ่นกลกระแอมไอออกมาและถามว่า

“องค์เหนือหัว ตอนนี้พวกข้ารู้ความลับของบรรพชนเซียนแล้ว ต้องโดนสั่งให้ปิดปากใช่หรือไม่?”

เล่อเจิ้นเทียนชำเลืองมองพลางกล่าวว่า

“หากทุกคนเถรตรงเหมือนกับเจ้าคงจะอันตรายจริง ๆ”

มหาเทพหุ่นกลพลันหยุดพูด

ส่วนไป๋ชิวหรานที่เข้าใจว่าตัวเองตะโกนสุดเสียงออกไปเมื่อครู่จึงไอออกมาเช่นกัน จากนั้นก็กล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า

“ไม่เป็นไร เรื่องนี้ให้ข้าจัดการเอง เจิ้นเทียนกับมหาเทพหุ่นกลสามารถเรียกกองทัพตามแผนเดิมได้เลย”

เขาทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นขณะมองร่างจำแลงอาจารย์อสูรของวิถีสวรรค์

“วิถีสวรรค์ ข้าถามอะไรเจ้าหน่อยสิ”

“มีอะไรหรือ?”

ร่างจำแลงอาจารย์อสูรของวิถีสวรรค์พลันก้าวถอยหลังและถามอย่างเย็นชา

“หากต้องการข้อมูลลับข้า ต้องมีบางสิ่งมาแลกเปลี่ยน!”

ไป๋ชิวหรานเมินอีกฝ่าย และเล่าถึงข้อเท็จจริงว่าแมลงหวาดกลัวกลิ่นอายของเขา จากนั้นก็ถามว่า

“เรื่องวัสดุที่ใช้สร้างสวรรค์ริษยา เจ้ารู้มากน้อยแค่ไหน?”

“…”

ร่างจำแลงอาจารย์อสูรของวิถีสวรรค์เงียบอยู่เนิ่นนาน พวกไป๋ชิวหรานแทบไม่เคยเห็นสีหน้าครุ่นคิดและยุ่งเหยิงบนใบหน้าอีกฝ่ายมาก่อน หลังจากครุ่นคิดอยู่นานก็กล่าวกับเล่อเจิ้นเทียนและมหาเทพหุ่นกลว่า

“เกี่ยวกับเรื่องนี้ ข้าขอคุยกับสวรรค์ริษยาเพียงลำพัง โปรดหลีกทางด้วย”

หลีจิ่นเหยาและเจียงหลานอยากพูดบางอย่าง แต่วิถีสวรรค์เสริมว่า

“พวกเจ้าสองคนช่วยหลีกทางไปด้วย”

สองสาวมองไป๋ชิวหราน ส่วนไป๋ชิวหรานโบกมือให้พวกนาง

“ออกไป ไม่เป็นไรหรอก…”

หลังจากเจียงหลานและหลีจิ่นเหยาออกไปแล้ว ไป๋ชิวหรานก็จ้องไปยังร่างจำแลงอาจารย์อสูรของวิถีสวรรค์

“เอาล่ะ ตอนนี้พวกนางไปแล้ว พูดมา… มีความลับอะไร?”

ร่างจำแลงอาจารย์อสูรของวิถีสวรรค์ชำเลืองมองเขาก่อนจะเริ่มอธิบาย

“ข้าน่าจะเคยบอกเจ้าไปแล้วว่า การกำเนิดของสวรรค์ริษยารุ่นแรกที่เกิดขึ้นในห้วงแห่งความว่างเปล่ามาจากซากสิ่งมีชีวิตทรงพลัง ทำให้ข้าเลือกมาจากบริเวณใกล้กับห้วงแห่งความว่างเปล่านอกโลกวัตถุ”

“ข้าจำได้”

ไป๋ชิวหรานพยักหน้าแล้วกล่าวออกมา

“จักรพรรดิตะวันออกไท่อีหยิบมันขึ้นในภายหลังเช่นกัน เขาใช้มันเพื่อแปลงเป็นรูปทรงของสวรรค์ริษยาและหมายจะฆ่าข้า แต่สุดท้ายเป็นข้าที่ขึ้นสู่จุดสูงสุด”

“ไม่ใช่เพราะเขาดีกว่าเจ้า! แต่เป็นเพราะร่างของเขาที่ถูกทำลายไป! เจ้าไม่ได้มีการเรียงลำดับแบบเดียวกันกับร่างที่ข้าเคยใช้สร้างสวรรค์ริษยา”

ร่างจำแลงอาจารย์อสูรของวิถีสวรรค์กล่าวตอบเช่นกัน

“ถึงแม้พวกเขาน่าจะเป็นเผ่าพันธุ์หนึ่ง แต่เทียบกันแล้ว มันอาจจะมีความต่างระหว่างผู้ใหญ่กับเด็กมากกว่าที่คิดก็ได้”

“โอ้…”

ไป๋ชิวหรานครุ่นคิด

“เพราะงั้นข้าถึงคิดว่าความเฉลียวฉลาดของตัวเองน่าจะสำคัญไม่เบา”

ร่างจำแลงอาจารย์อสูรของวิถีสวรรค์เมินการโอ้อวดของเขา และบอกกล่าวความจริงอันน่าทึ่งต่อว่า

“อันที่จริง ตอนข้าบอกเจ้าว่าหยิบศพขึ้นมา บอกตามตรงว่าข้าโกหกเจ้า ตอนข้าเห็นครั้งแรก… ตอนที่สัตว์ประหลาดตัวนี้ยังมีชีวิต มันกำลังกลืนกินโลกทั้งใบที่ข้าเกิดมา”

“เดี๋ยวนะ ข้าได้ยินผิดไปหรือเปล่า เจ้าเพิ่งบอกว่ามันกลืนกิน… โลกหรือ? อารมณ์โลกที่สมบูรณ์แบบขนาดใหญ่ที่มีจักรวาลทางช้างเผือก ไม่ใช่โลกวัตถุขนาดเล็กที่พวกเราสร้างใช่หรือไม่?”

“ไม่ใช่”

ร่างจำแลงอาจารย์อสูรของวิถีสวรรค์ส่ายหน้า

“สิ่งที่มันกลืนกิน! คือโลกขนาดใหญ่ที่สามารถให้กำเนิดเจตจำนงเช่นข้าขึ้นมาได้ อันที่จริง ตอนที่มันเข้าใกล้ข้า มีโลกมากมายที่กำเนิดกำแพงแห่งความตระหนักรู้ของตัวเองขึ้นมาเช่นกัน แต่กลายเป็นว่าทั้งหมดถูกมันกินเข้าไป ตอนที่สิ่งมีชีวิตนั่นแผ่กลิ่นอายออกมา บอกตามตรง พวกข้า เจตจำนงโลกทั้งหลาย ล้วนรู้สึกถึงความหวาดกลัวที่ไม่เคยได้สัมผัสมาก่อนตั้งแต่เกิด ราวกับสัตว์กินพืชที่ตกเป็นเป้าหมายของผู้ล่าก็ไม่ปาน”

“จากนั้นล่ะ?”

“จากนั้น… เมื่อเจ้าตัวน่ากลัวนั่นเข้ามาใกล้ ข้าไม่มีทางเลือกนอกจากรวบรวมพละกำลังเพื่อส่งการโจมตีออกไป ตอนนี้เองที่ข้าพบว่าพละกำลังของสิ่งมีชีวิตนี้ล้วนมาจากความพยายามของมัน ความจริงแล้วร่างของมันเต็มไปด้วยรูพรุน ราวกับตะเกียงแห้งเหือดที่ปราศจากน้ำมัน การโจมตีนี้ที่ข้าส่งออกไปสร้างความเสียหายได้เล็กน้อย แต่มันกลับตาย ทำให้ร่างของมันอยู่ในมือของข้า”

ร่างจำแลงอาจารย์อสูรของวิถีสวรรค์กล่าว

“…เจ้าไม่ได้พูดเกินจริงใช่หรือไม่?” ไป๋ชิวหรานครุ่นคิดสักพัก ก่อนจะเอ่ยถามด้วยความสงสัย “หากรวมกับที่เจ้าโกหกข้าก่อนหน้านี้ จื้อเซียนบอกว่าเจ้ามันเห็นแก่ตัวที่ดีแต่โอ้อวด เต็มไปด้วยคำโป้ปดมากมาย ดีแต่พูดไปเรื่อย…”