บทที่ 538 เหล่าพี่น้องอวดฝีมือ

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ

บทที่ 538 เหล่าพี่น้องอวดฝีมือ

บทที่ 538 เหล่าพี่น้องอวดฝีมือ

ปีก่อนก็มีขั้นตอนนี้เหมือนกัน แต่ส่วนใหญ่มีแค่กินเลี้ยงส่งท้ายปี มีคุณปู่ซูกล่าวสั้น ๆ เรื่องรายได้ที่บ้านเราหาได้และค่าใช้จ่ายที่ใช้ไปในปีนี้

จากที่คุณปู่ซูบอกว่าบ้านเราขาดทุนทุกปีและไม่ได้พูดอะไรมาก แต่ปีนี้ทุกคนมีใบหน้าอิ่มเอม มีความมั่นใจมากยิ่งขึ้น

ท่ามกลางบรรยากาศอันเข้มแข็ง ปีนี้พวกเราเริ่มมีรายได้กันบ้างแล้ว

โส่วเวินยิ้ม “เมื่อก่อนมีปู่ที่คอยพูดเรื่องรายได้ทั้งหมด งั้นปีนี้ให้พวกหลาน ๆ ออกมาพูดทีละคนดีไหมครับ?”

คุณปู่ซูเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง

เขาแก่แล้ว เด็ก ๆ เองก็โตแล้วด้วย

พอเห็นสีหน้าโอ้อวดของลูกชาย เหล่าต้าจึงอดด่าไม่ได้ “ไอ้เด็กนี่ พ่อแกอยู่ในช่วงขาขึ้นทั้งที คิดจะแย่งมันไปหรือไง?”

โส่วเวินหัวเราะคิกคัก

“แกจะไปด่าเด็กมันทำไม? หลานชายคนโตของฉันเก่งกว่าแกเยอะ!”คุณย่าซูมองลูกชายด้วยความไม่พอใจ

อีกฝ่ายได้แต่ถูจมูก ไม่พูดอะไรต่อ

แม่ว่าอะไรก็ว่างั้นเถอะ เขาไม่อยากจะเชื่อเลยสักนิด ไอ้เด็กคนนั้นมันจะหาเงินได้สักแค่ไหนกันเชียว?

ปีนี้เขากับเหล่าเอ้อร์เลี้ยงหมูได้ดีพอสมควร ได้เงินมาไม่น้อยเลย

เสี่ยวเถียนไม่รู้หรอกว่าพี่ใหญ่หาเงินมาได้เท่าไร แต่ตัวเลขที่ได้ พ่อแม่พี่ใหญ่เทียบไม่ได้แน่นอน เด็กสาวนั่งถือจานเมล็ดแตงโมดูฉากละครตรงหน้าด้วยความจริงจัง

หลังจากโส่วเวินมองไปรอบ ๆ ด้วยความมั่นใจ เขาก็เอ่ยออกมา

“ผมจะรายงานรายได้ที่ผมได้ในปีนี้นะครับ นอกจากผมเรียนเก่งแล้วยังหาเงินได้ดีอีกด้วยครับ”

เหล่าต้าตวาด “ไอ้เด็กนี่ ให้คนอื่นเขาตื่นเต้นทำไม? รีบเข้าเรื่องสักที!”

มีเรื่องเรียนอะไรให้พูดอีก คนในบ้านต่างก็เรียนดีกันทั้งนั้น

ขนาดหม่านซิ่วยังเป็นนักเขียนเลยนะ?

นั่นก็เพิ่งทำด้วยซ้ำ

แม้จะเห็นความกังวลของพ่อ แต่ชายหนุ่มกลับไม่ได้รีบ

“ปีนี้ผมหาเงินได้ทั้งหมดหนึ่งพันสี่ร้อยห้าสิบหกหยวนครับ แจกแจงออกมาเป็นรายได้จากงานแปลสี่ร้อยห้าสิบหกหยวน และ รายได้จากที่ทำธุรกิจกับฉืออี้หย่วนหนึ่งพันหยวนครับ”

อะไรนะ?

เหล่าต้าตกใจจนทำถั่วในมือตกลงบนเตียงเตา

เจ้าเด็กนี่พูดผิดหรือเปล่า?

หนึ่งพันสี่ร้อยห้าสิบหกหยวน?

ขนาดปีนี้สภาพกองชุมชนเราดีแล้วนะ บ้านที่มีความสามารถที่สุดยังได้ไม่เกินสองร้อยหยวนเลย

ใครต่อใครต่างก็อิจฉาทั้งนั้น

แล้วไอ้เด็กที่ปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมนี่มันหาได้เยอะขนาดนั้นได้ยังไง?

คู่เหล่าเอ้อร์กับหวังเซียงฮวายังไม่อยากจะเชื่อเลย

แม้แต่หม่านซิ่วกับเฉินจื่ออันก็ยังตกใจด้วย ตอนนี้เราย้ายไปทางใต้แล้ว เงินเยอะขนาดนั้นก็เคยเห็น แต่นั่นคือคนที่เชี่ยวชาญเรื่องธุรกิจไงถึงหาเงินได้ แต่โส่วเวินยังเรียนไม่จบเลย ทำไมหาได้ขนาดนั้น?

ทั้งสองมองหน้ากัน

“พอได้เข้ามหาวิทยาลัยก็ไม่เหมือนเดิมแล้วไง โส่วเวินเลยหาเงินได้เยอะ”

สีหน้าฉีเหลียงอิงตอนพูดดูแปลก ๆ มันมีความอิจฉาอยู่เล็กน้อย

แต่ทุกคนแสร้งทำเป็นไม่เห็น

เดิมทีตัวเธอก็เป็นพวกคิดเยอะอยู่แล้ว เป็นปกติหากจะไม่สบายใจเมื่อได้ยินข่าว

จากนั้นก็ตามด้วยซื่อเลี่ยง

ชายหนุ่มยิ้มกรุ้มกริ่ม

แต่สิ่งที่เขาพูดกลับทำให้คนฟังอับอายมาก ราวกับอยากจะเอาชนะอย่างไรอย่างนั้น

“ปีนี้ผมทำรายได้ไม่ค่อยดีเท่าไรครับ แต่ดีกว่าพี่ใหญ่นิดนึง!”

โส่วเวินมองน้องด้วยสายตารังเกียจ เขาไม่เคยเห็นคนแบบนี้มาก่อนเลย น่ารำคาญจริง ๆ จะพูดก็พูดเรื่องตัวเองไปสิ จะมาพูดถึงเรื่องคนอื่นเพื่ออะไร?

สามพี่น้องบ้านซูยิ่งไม่เชื่อเข้าไปใหญ่

ฉีเหลียงอิงมองลูกชายด้วยท่าทางแบบนั้นเช่นกัน

ลูกชายที่แสนโง่เขลาของเธอหาเงินได้ตั้งแต่เมื่อไรกัน?

เมื่อกี้โส่วเวินบอกว่าเท่าไรนะ?

หนึ่งพันสี่ร้อยห้าสิบหกหยวน?

แล้วไอ้เด็กนี่บอกว่ามีเงินมากกว่าพี่ แล้วมันได้เท่าไรกัน?

บอกได้เลยว่าคนที่กลับมาจากเมืองหลวงไม่ได้ตกใจเท่าไร แต่คนอื่น ๆ เนี่ยสิตกใจกันมาก

“ลูกเอ๋ย ไม่ได้โกหกใช่ไหม?” ฉีเหลียงอิงตื่นเต้นจนพูดตะกุกตะกัก

“แม่ครับ ผมหาเงินได้หนึ่งพันห้าร้อยหกสิบหยวน หนึ่งพันหยวนมาจากทำธุรกิจครับ ที่เหลืออีก หกร้อยห้าสิบ คือแบ่งเป็น สามร้อยห้าสิบ ได้มาจากรับรางวัลชนะเลิศ อีก สามร้อยหยวน เป็นเงินที่ได้จากรับวาดรูปให้คนอื่นครับ”

เหล่าเอ้อร์ไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยินเหมือนกัน เขาอ้าปากพะงาบ ๆ ไม่ได้พูดอะไรสักคำ

“ซื่อเลี่ยงเอ้ย แค่วาดรูปก็หาเงินได้แล้วหรือ?”

ในที่สุดเหล่าต้าก็เป็นคนเอ่ยถาม

ทำไมฟังดูน่าเหลือเชื่อจัง

ในตำบลก็มีคนที่ทำงานพวกวาดกระดาษประดับหน้าต่าง*[1]เหมือนกัน ใกล้ปีใหม่ทีไรก็มีคนจ้างให้ทำทุกที แต่ราคามันเพิ่งไม่กี่เหมาเองนะ?

แล้วเด็กคนนี้ต้องวาดมากขนาดไหนหรือ ถึงจะได้ร้อยกว่าหยวน?

แค่คิดก็เศร้าใจ

ลูกชายต้องทุกข์ทนในการหาเงินแน่นอน!

“พ่อครับ มันหาเงินได้จริง ๆ นะ น้องเล็กบอกว่าอีกเดี๋ยวผมจะเป็นนักวาดที่เก่งกาจ หาเงินได้เยอะ ๆ แถมยังบอกอีกว่าพวกเขียนอักษรก็หาเงินได้ครับ”

ซื่อเลี่ยงฟังที่บอก เขาคิดว่าการเขียนอักษรมันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น

แต่ตอนนี้เขายังอยู่ในขั้นตอนการเรียนรู้ แถมในช่วงเวลาแบบนี้มันไม่ค่อยดีเท่าไรถ้าจะผลิตผลงานออกมา

เสี่ยวเถียนบอกว่านอกจากแข่งขันแล้ว ตอนนี้ก็คอยฝึกฝนสะสมไปก่อน

“ขนาดวันนี้ลูกยังต้องเขียนอักษรเยอะแยะไปหมดเลย มันเสียเปรียบมากเลยนะลูก!” ฉีเหลียงอิงตบต้นขาแล้วเอ่ยลั่น

“แม่ครับ ปกติผมก็ต้องฝึกคัดลายมืออยู่แล้ว ที่ทำไปทั้งหมดก็เพื่อฝึกคัดครับ แล้วก็ไม่อยากใช้กระดาษที่บ้านเราด้วย” ซื่อเลี่ยงรีบหาเหตุผลมาปลอบใจมารดา

แค่คิดว่ามันสนุกดี การเขียนกลอนคู่ให้คนรู้จักแถวบ้านจะได้เงินเชียวหรือ?

พวกเขาจะไม่ด่าลับหลังเราหรือยังไง?

ได้ยินอย่างนั้นก็รู้สึกว่าสมเหตุสมผลอยู่

อันที่จริงเธอกำลังคำนวณอยู่ ไม่ได้มีเจตนาร้ายใด ๆ ด้วย หลังจากขบคิดถึงก็ค่อย ๆ เข้าใจ

เราอยู่ในกองชุมชนหงซิน ไม่ว่าจะอะไรเราไม่สามารถใช้เงินมาเป็นตัววัดได้

ตอนนั้นเหล่าเอ้อร์มองภรรยาด้วยความไม่พอใจ! ทำให้ฉีเหลียงอิงก็ไม่พอใจเขาเช่นกัน “ทำไมต้องใช้สายตาแบบนั้นมองฉัน?”

“ฉันมองก็เพื่อรักษาหน้าคุณไง!” เหล่าเอ้อร์ร้องเหอะ “เธอพูดเองหนิ แล้วทำไมต้องขี้เหนียวขนาดนั้น”

ฝ่ายภรรยา “ฉันไม่ได้ปากพล่อยสักหน่อย แค่พูดเฉย ๆ แต่ไม่ได้คิดแบบนั้น”

“พ่อ แม่ก็เป็นคนแบบนี้แหละ อยู่ด้วยกันมาทั้งชีวิตยังไม่รู้จักนิสัยแม่อีกหรือครับ?” ซื่อเลี่ยงกลัวพ่อแม่จะทะเลาะกันเพราะพยายามทำให้มันสงบ

แต่เขายังไม่ทันเอ่ยจบ น้องสามก็พูดต่อ

“ผมเทียบพี่ ๆ ทั้งสองไม่ได้เลยครับ ได้มาหนึ่งพันสองร้อยหยวนครับ หนึ่งพันหยวนคือทำธุรกิจ ที่เหลืออีก สองร้อยหยวนเป็นเงินรางวัลสำหรับการเข้าร่วมโครงการกับอาจารย์เสิ่นครับ โครงการนี้เสี่ยวเหมยก็เข้าร่วมด้วย เป็นการเพาะปลูกพืชพันธุ์ชนิดใหม่ครับ”

คุณปู่สนใจคำว่าปลูกพืชพันธุ์ใหม่เป็นอย่างแรก

ถึงเขาจะไม่ได้ทำตรงนี้แล้ว แต่ก็ยังใส่ใจกับมันมาตลอด

“เป็นเมล็ดพันธุ์อะไรหรือ?”