บทที่ 539 คนนี้เก่งกว่า

บทที่ 539 คนนี้เก่งกว่า

“เมล็ดข้าวครับปู่ ที่ดินหนึ่งไร่สามารถผลิตข้าวได้สองร้อยจินเลย” ซานกงภาคภูมิใจมาก ถึงจะทำเงินได้ไม่เยอะแต่ความสำเร็จไม่ได้เล็ก

ถึงผลงานจะไม่ใช่ของเราคนเดียวแต่เขาก็มีส่วนร่วมในระดับหนึ่ง และรู้สึกเป็นเกียรติมาก ยิ่งนึกก็ยิ่งภูมิใจ

ทั้งประเทศเพิ่งจะมีนาข้าวเท่าไรเอง ไร่นึงได้แค่สองร้อยจินจะพอสักกี่คนกินกันเชียว?

ถึงสถานการณ์บ้านเราจะดีขึ้นแล้ว แต่ก็มีหลายคนที่ยังกินไม่อิ่มเลย อันนี้ยังไม่พูดถึงคนที่ได้กินข้าวขาวและแป้งสาลีนะ

เป้าหมายของซานกงคือ ให้ทุกคนในประเทศจีนได้กินข้าวขาวและแป้งสาลีในภายภาคหน้า!

“ดีมาก ๆ! เด็กคนนี้ ทำไมไม่พูดให้ไวกว่านี้นะ ไม่งั้นปู่คงนั่งดื่มกับลุงเขยของหลานสักสองแก้วแล้ว!” คุณปู่ซูเอ่ยด้วยความซาบซึ้ง

ในมุมมองชายชรา ความสำเร็จของซานกงมาจากผลงานของเสิ่นจื่อเจิน และผลจากการสอนของเขา

“ปู่ไม่ต้องห่วงนะครับ หลังจากนี้เราจะมีโอกาสอีกครับ” ซานกงยิ้ม “ลุงเขยบอกว่าจะพาเราศึกษาเรื่องเมล็ดพันธุ์ให้มากกว่านี้ ดีกว่านี้ และคุณภาพสูงกว่านี้ครับ เพื่อให้คนทั้งประเทศได้กินอิ่ม”

“ดี ๆ! ปู่เชื่อว่าต้องมีวันนั้นแน่นอน” ชายชราซาบซึ้งจนพูดไม่ออก ได้แต่บอกว่าดีเท่านั้น

ถัดมาคือเสี่ยวซื่อ

เขาพูดจาดีมาก “ผมแค่อยากหาเงินครับ ไม่ได้มีความทะเยอทะยานแบบพี่สามหรือเก่งกาจแบบพี่ใหญ่พี่รอง แต่ผมก็ทำเงินได้ไม่น้อยเลย”

พอได้ยินหลานอีกคนโอ้อวดเรื่องหาเงินได้เยอะ สามพี่น้องบ้านซูยิ่งพูดไม่ออกกว่าเดิม

เพราะทีแรกคิดว่าพูดส่ง ๆ แต่ใครจะรู้เล่าว่าดันหาเงินได้จริง ๆ!

พวกเราไม่ได้พูดต่อ แล้วรอเสี่ยวซื่อเป็นคนพูดต่อ

“ปีนี้ผมหาเงินได้ทั้งหมด สองพันสองร้อยหยวนครับ แบบไม่นับเศษ ผมได้ หนึ่งพันหยวนจากการทำธุรกิจกับฉืออี้หย่วน ส่วนอีกหนึ่งพันสองร้อยหยวน คือเป็นธุรกิจเล็ก ๆ ที่ผมทำเองครับ”

ไม่ต้องพูดถึงพ่อทั้งสามหรอก ขนาดพี่น้องด้วยกันเองยังตกใจ

นอกจากเป็นหุ้นส่วนกันแล้วเสี่ยวซื่อยังมีธุรกิจเป็นของตัวเองอีก ถึงพวกเรารู้อยู่แล้วแต่ไม่ได้คาดหวังไว้ว่าจะหาได้เงินในเวลาอันสั้นแบบนี้!

ว่าจบทุกคนก็มองไปที่เสี่ยวอู่

พอเห็นสายตาคาดหวัง ชายหนุ่มพลันสะดุ้ง เอื้อมมือแตะกระเป๋าเงินอันเหี่ยวเฉาของตัวเอง

เหมือนเขาจะไม่ได้ทำอะไรเลยนอกจากฝึกทหาร

เห็นสีหน้าพูดไม่ออกของพี่ชายเสี่ยวเถียนก็เข้าใจ

ถึงพี่ห้าจะเข้ามหาวิทยาลัยแล้วก็จริง อันที่จริงมันก็ไม่ได้ต่างอะไรจากการเป็นทหารมากนัก เรื่องหาเงินอะไรก็ตามนับจากนี้จะไม่ได้เกี่ยวกับเขาเลย

“พี่ห้า พี่ไปเป็นทหารไงคะ สิ่งสำคัญคือไปปกป้องประเทศชาติบ้านเมืองของเรา ไม่ต้องเอาไปเทียบกับพี่ ๆ คนอื่นนะ”

เด็กสาวเห็นความลำบากใจเลยยิ้มปลอบ

“ใช่แล้ว บ้านเรามีเสี่ยวอู่เก่งที่สุด ได้ยินว่าโรงเรียนหลานในภายภาคหน้าจะมีแต่นายทหาร! ไม่แน่นะบ้านเราอาจจะผลิตทหารออกมาก็ได้!”

หาได้ยากมากที่ปู่จะเอ่ยชม นี่ก็เพื่อปลอบโยนหลานชายที่หัวใจดวงน้อยกำลังแตกสลาย

ซูอู่ร่างรู้สึกดีขึ้นกับคำพูดเหล่านั้น

ช่างเรื่องเงินไปเถอะ นักเรียนทหารของเราเทียบไม่ได้กับคนอื่นหรอก

“ปู่ครับ ย่าครับ ยกเรื่องหาเงินให้พี่น้องคนอื่น ๆ จัดการดีกว่า ยังไงก็ขาดแค่ผมคนเดียวเอง เดี๋ยวผมจะเอาเหรียญทหารให้นะครับ!”

พอได้ยินคำสาบาน หญิงชรามีความสุขเหมือนกับโดนแต่งตั้ง

“พี่น้องของหลานหาเงินได้ ปู่ย่าไม่ได้เรื่องมากหรอก แล้วจะรอเหรียญทหารจากหลานนะ!”

สิ่งที่แม่พูด พวกลูกชายและลูกสะใภ้ไม่มีใครเชื่อเลย

แม่เป็นคนแบบไหนมีหรือจะไม่รู้น่ะ?

ไม่เรื่องมากเรื่องเงิน หลอกใครอยู่?

อู่ร่างที่มีใบหน้ามืดมนแปลงเปลี่ยนเป็นสดใสเพราะคำพูดของย่า

แววตาเป็นประกายราวกับดวงดาวสุกสกาวบนท้องฟ้า

เหลืออีกไม่กี่หน่อที่จะพูดต่อ

เพราะพวกเขาทำธุรกิจร่วมกัน หารายได้ร่วมกันและแจกจ่ายกันอย่างเท่าเทียม

ก็เลยมีรายได้เท่ากันหมด ดังนั้นเราจึงเลือกเสี่ยวลิ่วที่อายุมากสุดในกลุ่มมาพูด

พวกเขารู้ว่ามันไม่ได้ง่าย แถมเวลาที่ทำก็ไม่ได้นานแต่ด้วยความขยันเลยมีกันคนละ แปดร้อยหยวน

แม้อู่ร่างจะได้รับคำปลอบโยน แต่ก็ยังไม่มีความสุขอยู่ดี

ช่องว่างระหว่างกันปรากฏออกมาแล้วหรือ?

เทียบกับพวกพี่ ๆ ได้ไม่เป็นไรหรอก แต่ทำไมถึงเทียบกับน้องไม่ได้นะ?

โอ๊ะ ยังเหลือเสี่ยวเถียนอยู่ ไม่รู้ว่าน้องหาเงินได้กับเขาบ้างไหม?

ถึงจะคิดอยู่พักหนึ่งแต่เชื่อว่าน้องเก่งที่สุด

อาจจะหาเงินได้เยอะกว่าใครเพื่อนเลยก็ได้

เขาเริ่มกังวลขึ้นมาบ้างแล้ว บางทีชีวิตนี้พี่ ๆ กับน้อง ๆ อาจจะมีชีวิตดีกว่าเขาก็ได้

แต่เขาเลือกมาเป็นทหารเอง ถามว่าเสียใจไหม?

ไม่เสียใจแน่นอน

เพื่อเครื่องแบบสีเขียวแล้ว เขายินดีที่จะอยู่อย่างแร้นแค้นไปตลอดชีวิต!

พี่ชายทั้งสามของบ้านซูรู้สึกเหมือนโดนเขี่ยทิ้งเลย!

ยังไม่ทันได้เปล่งประกายก็โดนกำจัดเสียแล้ว!

เป็นวัยที่แข็งแกร่งอะไรกัน หลอกกันทั้งนั้นแหละ ดูอายุเด็ก ๆ ตอนนี้สิ

ไม่เห็นหรือว่าแม้แต่เสี่ยวจิ่วที่อายุไม่กี่สิบปีพวกเรายังเทียบไม่ได้น่ะ?

เฉินจื่ออันมองเด็ก ๆ อย่างครุ่นคิด

สิ่งที่พวกเขาพูดน่าประทับใจมาก

บางทีอาจเป็นจิตวิญญาณที่คนรุ่นใหม่ควรมี กล้าที่จะต่อสู้และสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ

เด็กพวกนี้ไม่ธรรมดาเลย

ไม่รู้ว่าอนาคตจะเลือกเส้นทางไหนกัน!

อาจเก่งขึ้นได้อีกด้วยซ้ำ

“เสี่ยวเถียน ปีนี้หลานหาเงินได้บ้างไหมจ๊ะ?” หม่านซิ่วไม่รู้ว่าสามีคิดอะไรอยู่ พอได้ยินหลานชายทำเงินได้กับเขา เธอก็มีความสุขมาก หันมาถามหลานด้วยรอยยิ้ม

เสี่ยวเถียนพยักหน้า “ได้ค่ะ ได้เยอะกว่าพี่ ๆ นิดหน่อย!”

อืม ท่าทางเหมือนซื่อเลี่ยงเลย

คิดจะตอกย้ำกันใช่ไหมเนี่ย?

นี่คือความคิดของพวกพี่ ๆ

“ถ้างั้นบอกอาใหญ่หน่อยว่าหนูหาได้เท่าไร” หม่านซิ่วสนใจมาก

เพราะหลานสาวตัวน้อยเก่งที่สุด

แต่ตอนนั้นเธอไม่คิดเลยว่าหลานจะไปได้ถึงขนาดนั้น

เสี่ยวเถียนนับนิ้ว “ปีนี้หนูหาได้เยอะเลยค่ะ หนูซื้อบ้านในเมืองหลวงสองเรือน มีเงินในกระเป๋ากว่า หนึ่งหมื่นแปดพันหยวน ส่วนใหญ่มาจากงานแปลค่ะ แล้วก็มีไปเป็นล่ามให้สองพี่น้องคริสติน่าที่โรงงานผ้าไหมด้วย”

“เสี่ยวเถียน ผ้าไหมที่ส่งมาให้จากโรงงานนั่นคุณภาพดีนะ แต่เสียดายที่ลายมันเชยไปหน่อย”

หม่านซิ่วจำได้ว่าเสี่ยวเถียนเคยส่งมาให้อยู่ ครั้งแรกเป็นเสื้อผ้า ครั้งสองเป็นม้วนผ้าไหม

“ใช่ค่ะ มันเป็นผลิตภัณฑ์แปรรูปของโรงงานค่ะ หนูไปเป็นล่ามให้แล้วก็ได้ค่าตอบแทนมาค่ะ” เธอเอ่ยอย่างภาคภูมิใจ

“เสี่ยวเถียน คริสติน่าที่พูดถึงนี่เป็นชาวต่างชาติหรือ?” เฉินจื่ออันสนใจกับชื่อที่เหมือนคนต่างชาตินั่น